ตอนที่ 410 ก่อนรุ่งอรุณ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 410 ก่อนรุ่งอรุณ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนเก้า วันที่ยี่สิบห้า ยามอิ๋น ณ ภูเขาผิงหลิงมีฝนตกลงมาอย่างหนัก

มิมีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝนตก

แสงเทียนยังคงลุกโชนสว่างไสวอยู่หลายสิบจุดทั่วทุกทิศทาง

ขณะนี้กองพลของดาบเทวะทั้งสี่ ได้กระจายตัวกันออกประจำสี่ทิศ โดยการต่อสู้จะเริ่มจากกองพลที่หนึ่งทางทิศใต้

จ้งต้าฉุยได้กำชับคำสั่งไปยังกองทัพทั้งสามที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว และแผนการรบนี้ก็ไปถึงทหารทุก ๆ คนเรียบร้อยแล้ว

ทหาร 30 นายของกองพันที่หนึ่งกองร้อยที่สามแถวที่สองซึ่งนำโดยหัวหน้าทีมทั้งสามได้นำทัพทั้งหมดเดินทางไปยังป้อมรักษาการณ์อย่างเงียบ ๆ

ค่ำคืนฝนตกเยี่ยงนี้ มิมีผู้ใดคาดคิดเป็นแน่ว่าจะมีศัตรูบุกมา แต่ทหารรักษาการณ์ของกงเซินจ่างยังคงยืนยามด้วยความขยันขันแข็ง เขาถือกล้องส่องทางไกลคอยสอดส่องอยู่เสมอ ๆ ซึ่งทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจอยู่มิน้อย

คนผู้นี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มิน่าแปลกใจเลยที่เผิงเฉิงอู่ได้รับความพ่ายแพ้เยี่ยงนี้

จากนั้นเขาก็ยังเห็นทีมลาดตระเวนยามค่ำคืนที่เป็นระบบระเบียบอีกด้วย ในหนึ่งทีมมีราว 50 คน โดยมีระยะห่างกันราว 30 จั้ง

พวกเขาสวมงอบและถือตะเกียงเจ้าพายุ ทว่ามืออีกข้างของพวกเขายังคงจับด้ามมีดพกไว้ที่เอวอยู่เสมอ

นี่คือการต่อสู้ที่ยากอย่างแท้จริง !

ผู้นำกลุ่มทั้งสามคนพร้อมทั้งนายทหาร 30 คนหลบหลีกจากการลาดตระเวน พวกเขาไปถึงยังหอสังเกตการณ์ด้านล่างอย่างเงียบ ๆ ทหาร 3 นายปีนขึ้นไปบนหอคอยและทหารอีก 7 นายเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ด้านล่าง

พวกเขาสังหารศัตรูบนหอสังเกตการณ์ได้สำเร็จโดยมิให้พวกเขาได้มีโอกาสแจ้งเตือนเหตุ

ทั้งสามกองพันบุกเข้าไปและแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อไปลาดตระเวนดูศัตรู

ฉวยโอกาสในคืนที่ฝนตกเช่นนี้ พวกเขาใช้ธนูและดาบสังหารกองกำลังลาดตระเวนยามค่ำคืนทั้งสามกอง แต่กลับถูกหน่วยสอดแนมจับได้ในที่สุด

เสียงนกหวีดดังขึ้นทันที เมื่อศรธนูปักเข้าไปที่หน่วยสอดแนมผู้หนึ่ง เสียงนกหวีดของเขาได้ทำเอากองกำลังที่อยู่ในกระโจมพากันตื่นตระหนก

“ข้าศึกบุกโจมตี ! ”

“ประจันหน้า ! ”

“เร็วเข้า… ! ”

“แจ้งเหตุร้าย แจ้งเหตุร้าย… ! ”

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักหน่วง ค่ายทหารทั้งหมดในบริเวณนี้สว่างไสวขึ้นพลัน จากนั้นศัตรูเหล่านั้นก็ได้พากันวิ่งกรูออกมาพร้อมกับมีดและเสื้อผ้าที่ยังมิทันได้สวมใส่ให้เรียบร้อยดี

จ้งต้าฉุยสบถออกไปอย่างดุเดือด “สมควรตาย ! ”

เขาควักระเบิดไฟออกมาแล้วโยนมันเข้าไปกลางกองทัพศัตรู ด้วยการระเบิดครานี้ถือเป็นการเปิดฉากการต่อสู้

หลังจากได้ยินเสียงระเบิด อีกกองพลที่สองก็ได้เริ่มต้นโจมตีทันที มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาว่าฆ่าเสียให้สิ้น เสียงตะโกนนี้ดังกึกก้องเสียยิ่งกว่าเสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมา

มีเพียงกองพลที่สามเท่านั้นที่ยังมิเริ่มเปิดการโจมตี

กองพลที่สามที่หวังเสี่ยวจ้วงประจำอยู่ ยังคงรอคอยให้ศัตรูพ่ายแพ้และหนีไปยังทิศทางที่เขาประจำการอยู่

บนยอดเขามีการต่อสู้ มีเสียงระเบิดและเสียงปืนดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ที่ดุเดือดเยี่ยงนี้ แต่กองพลที่สามกลับทำได้เพียงแค่ฟังเสียงเท่านั้น

นี่เป็นเรื่องที่หวังเสี่ยวจ้วงรู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก ถ้าหากศัตรูมิถอยกลับมายังทิศทางนี้ ที่ข้าทำมาทั้งหมดจะมิเปล่าประโยชน์หรอกหรือ ?

แต่นี่เป็นคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เขาย่อมมิกล้าฝืนคำสั่ง ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่รออยู่ที่นี่อย่างโง่ ๆ

ซื่อโถวของกองพลที่สี่นำไปด้านหน้าก่อน โดยมีกองพันทั้งสามตามหลังมาติด ๆ เขาประเมินสถานการณ์และให้สัญญานมือกับกองพันที่สอง “รวบรวมพลและเตรียมระเบิดไฟทั้งหมดไว้ให้ดี แล้วบุกเข้าไปพร้อมกับข้าเพื่อระเบิดพวกมันให้เละเป็นชิ้นๆ ส่วนกองพันที่หนึ่งและสามให้ใช้ปืนคุ้มกันไว้ จัดการพวกมันเสียให้สิ้นซาก !

ด้วยการใช้ระเบิดไฟเปิดทาง ในที่สุดซื่อโถก็สามารถพากองพลบุกเข้ามาในส่วนลึกของค่ายได้

ภายใต้การโจมตีที่ประสานทั้งปืนและระเบิด สภาพกองกำลังนับหมื่นของกงเซินจ่างมิได้ต่างจากกองกำลังทหารอันเกรียงไกร 20,000 คนของแคว้นฮวงเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาแตกตื่นราวกับคนคลุ้มคลั่ง โดยที่มิรู้ว่าหัวหน้าของพวกเขาอยู่ที่ใด

มีเสียงของหัวหน้าตะโกนร้องดังอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าภายใต้เสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมา เสียงรบราฆ่าฟันและเสียงระเบิด ทำให้มิมีผู้ใดได้ยินเสียงของเขา

จึงทำให้เหตุการณ์ในยามนี้ชุลมุนมากยิ่งนัก !

กงเซินจ่างตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความฝัน เขาสวมเสื้อผ้าและถือมีดเล่มใหญ่เดินออกมาจากค่ายภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ส่วนตัว สิ่งที่เขาเห็นคือภาพแห่งความวุ่นวายใหญ่โต

“มันบุกเข้ามาตีรังโจรเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“นี่คือกองทัพของเผิงเฉิงอู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

มิมีผู้ใดสามารถตอบเขาได้ เขาจึงตะโกนเสียงดังว่า “มากับข้า ไปจัดการพวกมันกัน ! ”

วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเขาที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ !

เขากล้าทำในสิ่งที่บ้าบิ่น และสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้ !

กงเซินจ่างรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขากำลังจะวิ่งออกไป แต่กลับถูกซืออันวิ่งเข้ามาจับตัวเขาไว้ “ฝ่าบาทจะต้องมิเสี่ยง พวกเรามีกองทัพขนาดใหญ่นับแสนคน ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องลงมือเอง นี่ก็เพียงแค่เพียงศัตรูบุกมาอย่างกะทันหันเท่านั้น อีกราว 2 เค่อเมื่อกองทัพของพวกเรามารวมตัวกันพร้อมแล้ว นี้แหล่ะคือเวลาแห่งชัยชนะ”

จิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์เดินออกมา นางขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ มิมีศัตรูอยู่ข้างหลัง นางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้ากันแน่

นางเดินเข้าไปหาจินกังทั้งห้า “ให้พวกเจ้านำองครักษ์ส่วนตัวไปช่วยหนุนและเจ้าต้องกำจัดศัตรูไปให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันที่ฝ่าบาทจะขึ้นครองบัลลังก์ อย่าทำพลาดล่ะ ! ”

จินกังทั้งห้าน้อมรับคำสั่ง จากนั้นหลิวจิ่วเม่ย์จึงเดินมาหากงเซินจ่าง “ฝนตกหนักเยี่ยงนี้การสู้รบเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝ่าบาทกลับไปพักผ่อนเถอะเพคะ นางสนมจะเป็นผู้รินเหล้าให้แก่ฝ่าบาท บัดนี้ฝ่าบาทเพียงแค่นั่งรอฟังข่าวดี”

กงเซินจ่างคิดเรื่องนี้เพียงชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงตบไปที่บ่าของซืออัน “ซืออัน หากมีข่าวดีให้รีบแจ้งข้าโดยเร็วที่สุด ! ”

“เฉินซืออันรับคำสั่ง ! ”

กงเซินจ่างหันหลังเดินกลับไปยังค่าย ไฟในค่ายยังคงส่องสว่างอยู่ ซืออันมองดูการต่อสู้เบื้องหน้า แต่เขาก็ยังมิเข้าใจ เขาจึงหันกลับไปมองดูอีกครา…

ในค่ายมีเงาของทั้งสองกองทัพกำลังทำสงครามกันอย่างบ้าคลั่ง !

ฝ่าบาทให้ความสนใจเป็นอย่างมาก !

หลิวจิ่วเม่ย์ก็เจ้าเล่ห์มากยิ่งนัก !

และบัดนี้ข้ากำลังเปียกปอน !

รอยยิ้มเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้า เขายังยืนอยู่ที่เดิมและจ้องมองไปยังสนามรบเบื้องหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่น

แต่ก่อนเขาคิดว่าการทำสงครามเป็นเรื่องที่นับวันยิ่งไกลตัวเขามากขึ้นทุกที แต่ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าการทำสงครามเข้าใกล้เขามากขึ้นแล้ว

มีศัตรูมาทั้งหมดกี่คนกัน ?

แล้วอาวุธพวกนั้นคืออะไรกัน ?

ตอนที่ต่อสู้กับเผิงเฉิงอู่ก็มิเคยได้ยินเสียงดังเช่นนี้มาก่อนเลยสักครา เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใหม่ของราชวงศ์หยู ?

จิตใจของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข ขณะนี้เขาเห็นจิ้งสุ่ยจินกังวิ่งกลับมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเลือดที่ไหลท่วมร่างของเขา !

“เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”

“นี่มิใช่กองทัพธรรมดาแล้ว สู้มิได้เลย รีบบอกให้ท่านพี่กงถอยทัพเร็วเข้า ! ”

ซืออันรีบดึงจิ้งสุ่ยจินกังมาถามด้วยอารามตกใจ “บอกข้ามาสิว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”

“ตายหมดแล้ว กองกำลังของพวกเราตกตายไปหมดแล้ว ในจินกังทั้งห้าเหลือเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น ทั้งกองกำลังหลายแสนก็ยุ่งเหยิงไปหมด ลูกไฟที่พวกศัตรูทิ้งลงมาคร่าชีวิตพวกเขาไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเสียงระเบิดใหญ่โตทำให้ร่างจินกังทั้งสี่และกลุ่มชาวยุทธถูกกระแทกลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้าได้ยินเสียงดังสองสามครา…จากนั้นพวกเขาก็ตกลงมาตายทั้งหมด ! ”

ซืออันรู้สึกเย็นวาบ “นี่เป็นกองทัพของเผิงเฉิงอู่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่สักหน่อย ! นี้คือกองกำลังดาบเทวะต่างหากเล่า ! ”

“กองกำลังดาบเทวะ เป็นกองกำลังแบบไหนกัน ? ”

“ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร ? หากอยากรู้เจ้าก็ไปดูเอาเองเถอะ ! หลีกทาง ข้าจะไปพาท่านพี่กงหลบหนี ! ”

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องถอยกลับ ซืออันร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมาทันพลัน

ศึกครานี้จะยาวนานถึงเพียงใดกัน ?

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด และปล่อยให้เม็ดฝนตกตกกระทบกับใบหน้าของเขา

วันนี้ท้องฟ้ายังคงมิส่องสว่าง เหล่าทหารทั้งหลายเอ๋ย !

เช่นนี้เรียกว่าความพ่ายแพ้ได้แล้วหรือยัง ?