ตอนที่ 409 คุณชาย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 409 คุณชาย

หลังจากที่สะสางค่ายทหารของแคว้นฮวงแห่งนี้เสร็จแล้ว

กองพลที่สามได้ให้พลทหารมาทำการซ่อมแซมเบื้องต้น

ในหัวของเฉียนห้าวตอนนี้ยังคงสะท้อนคำเอ่ยของเยียนกุ่ยที่ว่า “ทั้งหมดนี้ คือน้ำพักน้ำแรงของคุณชายและไป๋ยู่เหลียน ! ”

เขารู้จักไป๋ยู่เหลียนเป็นอย่างดี แต่กลับรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชายน้อยเป็นอย่างมาก

เขาเคยได้ยินมาว่าชาวซีซานให้ความเคารพต่อคุณชายเป็นอย่างมาก และเขาก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณชาย แต่เขามิเคยเห็นคุณชายผู้นี้มาก่อนเลย

“คุณชาย…เขาเป็นคนแบบไหนกัน ? ”

ควันหนาถูกพ่นออกมาจากปากเยียนกุ่ย คล้ายกับว่าเขากำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์

“คุณชายเยี่ยงนั้นหรือ ข้าก็มิค่อยแน่ใจ แต่ปีก่อนพวกเราได้ตามไป๋ยู่เหลียนไปที่ภูเขาซีซาน นายพลไป๋บอกว่าเขาได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากและชายคนนั้นก็คือคุณชาย”

“ในตอนนั้นหลังจากที่พวกเราได้พบกับคุณชาย ขอเอ่ยตามตรงว่า พวกเรารู้สึกผิดหวังอย่างแท้จริง”

“เพราะเหตุใดหรือ ? ” เฉียนห้าวถามด้วยความสงสัย

“เพราะว่าคุณชายยังเยาว์เกินไป อายุเพียงแค่ 16 ปี เจ้าลองคิดดูเถิด เศรษฐีที่ดินที่อายุเพียง 16 ปี จะทำอันใดเป็นบ้างเล่า เขาจะเข้าใจอะไร แต่แล้วพวกเราก็ได้รู้ว่าสายตาของพวกเรานั้นมองผิดไป”

จากนั้นเยียนกุ่ยก็เอ่ยถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของดาบเทวะ และจุดกำเนิดตำราการฝึกดาบเทวะที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคุณชาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ทั้งชุดเกราะและอื่น ๆ ก็ด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของคุณชาย

“ฆ่า 20,000 คนให้ตกตายด้วยคน 1,000 คน แต่ก่อนเพียงแค่คิดก็มิกล้าแล้ว แต่คืนนี้ ดูสิว่ามันง่ายถึงเพียงใด แต่ถ้าเจ้าลองไตร่ตรองดูดี ๆ ถ้าหากมิได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ มิมียุทธวิธีและการประสานงานที่ดีและมิมีอาวุธชิ้นนี้… พวกเราจะเอาชนะคน 20,000 คนได้เยี่ยงไร ? ”

มิมีผู้ใดสามารถตอบคำถามของเยียนกุ่ยได้ ที่ได้รับชัยชนะในครานี้ก็เพราะว่ามีอาวุธชนิดใหม่ของคุณชาย

“ไป๋ยู่เหลียนเคยบอกว่า นี่เป็นกองทัพที่มิมีผู้ใดในใต้หล้านี้เหมือน ทุกคนในกองทัพนี้ล้วนเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

“ที่ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยมิได้ผิดเลย ข้ารับราชการในกองทัพชายแดนตะวันออกมาถึง 5 ปี และรู้ดีว่ากองทัพชายแดนของแคว้นอู๋เป็นเยี่ยงไร”

หัวหน้ากองพลที่สามวังเสี่ยวจู้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา เขารู้จักคุณชายเป็นอย่างดีแต่เขามิรู้ว่ากองทัพนั้นเป็นเยี่ยงไร เขาจึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“ในแง่มุมของการทำสงคราม กองทัพชายแดนทางเหนือเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทว่าก็ยังรบแพ้กงเซินจ่างอยู่ดี… ดาบเทวะของพวกเราย่อมมิเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเราสามารถโจมตีกงเซินจ่างได้เป็นแน่ นี่เพียงแค่เปรียบเทียบให้พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเท่านั้น พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเถิดว่ามันมีความแตกต่างกันมากถึงเพียงใด ? ”

หวังเสี่ยวจู้นิ่งเงียบไป กองทัพชายแดนทางเหนืออ่อนหัดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?

พวกเขาเป็นกองทัพประจำราชวงศ์หยู แต่โจรสักรายก็ยังจับมิได้ เลี้ยงไว้เปลืองข้าวเปลืองน้ำจริง ๆ

“แน่นอนว่าพวกเจ้าอย่าได้ประมาทกองทัพชายแดนเป็นอันขาด พวกเขาสามารถเอาชนะพวกเราได้เพราะจำนวนคนที่มากกว่า ถ้าหากพวกเราสู้บนที่ราบก็เท่ากับ 1,000 คนต่อ 100,000 คน… แสดงว่าครานี้ไป๋ยู่เหลียนจะต้องลงมาบัญชาการด้วยตนเอง มิมีอะไรที่สามารถคาดเดาได้ในตอนนี้”

เยียนกุ่ยเคาะกล้องยาสูบที่ขาของเขา เขม่าดำปลิวว่อนลงสู่พื้น และเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราคือกองกำลังพิเศษและสิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการโจมตีแบบพิเศษอย่างเช่นในค่ำคืนนี้ เช่นนั้นทุกคนเชื่อมั่นและมั่นใจเข้าไว้ ถ้าหากทั้งสองกองทัพต้องเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราก็มิมีอันใดที่ต้องกลัว”

100,000 คนเยี่ยงนั้นหรือ มันจะเป็นฉากแบบไหนกันนะ ?

หวังเสี่ยวจู้และคนอื่น ๆ ยังมิมีภาพความคิดใดในหัวเลยแม้แต่น้อย เขาเกาหัวและเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าทั้งสองกองทัพเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราคงต้องอาศัยปืนใหญ่หงอีแล้วล่ะ ! ”

เยียนกุ่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เพียงแค่ปืนใหญ่หงอียังมิเพียงพอหรอก เมื่อข้าศึกบุกมาปืนใหญ่หงอีต้องใช้เวลาในการบรรจุกระสุนใหม่อีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องใช้บอลลูนไฟร่วมด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่ มันสามารถลอยเข้าไปหาศัตรูได้ และถ้าหากอยากทิ้งระเบิดละก็ นี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ”

หวังเสี่ยวจู้ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “แล้วถ้าหากให้บอลลูนไฟลอยไปยังจุดที่นายพลสูงสุดอยู่จากนั้นก็ทิ้งระเบิดลงมา แบบนี้จะมิดียิ่งกว่าหรือ”

“น่าเสียดายมากยิ่งนักที่บอลลูนไฟต้องอาศัยทิศทางของลมประกอบด้วย และในการทำสงครามพวกเรามิสามารถควบคุมทิศทางของลมได้ ดังนั้นข้าคิดว่าบอลลูนไฟนี้มีประโยชน์ แต่ก็มิได้มากมายอันใดนัก”

หวังเสี่ยวจู้และคนอื่น ๆ พวกเขาได้ทดลองใช้บอลลูนไฟนี้เนิ่นนานแล้ว มันเป็นของใหม่ แต่ก็อย่างที่เยียนกุ่ยได้เอ่ยไปเมื่อครู่ ของสิ่งนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน

“เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ เกรงว่ากองพลอื่น ๆ จะไปถึงจุดยุทธศาสตร์กันหมดแล้ว ! ”

กองพลแห่งดาบเทวะทั้งสามหายเข้าไปในคืนที่ฝนตก เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพของทหารชาวฮวงราว 20,000 นาย

หลังจากที่กองพลที่สามหายไปมินาน ก็ได้มีหน่วยสอดแนมของท่าป๋าฉงผู้หนึ่งวิ่งกลับมา เขายังมีชีวิตอยู่และเมื่อเขามองเห็นซากศพที่เปื้อนเลือดกระจายอยู่ทั่วภูเขา เขาก็ตกใจเสียจนแทบสิ้นสติ

เขาใช้เวลา 2 เค่อในการหาข้อสรุปที่มิน่าจะเป็นไปได้ หลักจากที่ลงจากภูเขามาแล้ว เขาก็ได้ควบม้าศึกพุ่งตรงไปยังเมืองหลวง

……

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ในค่ายในขณะนี้

กองพลที่หนึ่งใช้เส้นทางตรงไปยังภูเขาเป่ยซานซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด และยังต้องรอให้อีกสามกองพลมาถึงจุดหมายเสียก่อน

เขามิได้สนทนากับไป๋ยู่เหลียนเรื่องการรบ เพราะประเด็นเหล่านี้มิได้น่าสนใจอีกต่อไป ตอนนี้เขากำลังดูข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋อยู่

อู๋หลิงเอ๋อร์ล้มป่วยและบัดนี้ได้พักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู

ราชสำนักของราชวงศ์อู๋ตกอยู่ในมือของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา โดยมีไทเฮาเป็นผู้ออกคำสั่งในกรณีที่มิสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้… ในข้อมูลเหล่านี้มิได้บอกว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ล้มป่วยด้วยโรคอะไร นางยังอยู่ในวัยหญิงสาว นางจะต้องป่วยหนักถึงเพียงใดกันถึงมิสามารถที่จะดูแลจัดการราชสำนักของราชวงศ์อู๋ได้ ?

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เพราะกลัวว่าอู๋หลิงเอ๋อร์อาจล้มตายกะทันหัน

น่าเสียดายที่ติดต่อศิษย์น้องมิได้ มิเช่นนั้นจะให้ศิษย์น้องไปดูอู๋หลิงเอ๋อร์เสียหน่อย

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมในเมืองกวนหยุนของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่บัดนี้ยังทำมิสำเร็จ

มีเพียงโรงงานชุดชั้นในเพียงแห่งเดียวที่เปิดแล้ว ส่วนโรงหมักสุราที่วางแผนไว้ตั้งแต่แรกรวมทั้งโรงงานสบู่และน้ำหอมได้ถูกล้มเลิกไปเสียแล้ว

ตงซิวจิ่นรับหน้าที่ดูแลร้านค้าทั้งสี่แห่งในเมืองกวนหยุน แต่บัดนี้เขากังวลเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาสินค้าเป็นอย่างมาก สินค้าเหล่านั้นขายดีมากเสียจนมิสามารถผลิตสินค้าได้ทัน โดยเฉพาะสบู่และน้ำหอม

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ สินค้าเหล่านี้จะต้องส่งไปจากซีซาน ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมากยิ่งนัก แม้ว่าต่งชูหลานจะส่งมอบสินค้าทั้งหมดที่ผลิตในเขตเหยาให้กับราชวงศ์อู๋ก็แล้ว แต่ก็ยังมิสามารถแก้ปัญหานี้ได้

ดังนั้นหลังจากการรบครานี้สิ้นสุดลง และได้ส่งองค์หญิงสามไปยังแคว้นฮวงอย่างปลอดภัย แล้วได้กลับมายังแคว้นหยู เขาจะต้องจัดการโรงงานที่เมืองกวนหยุนใหม่อีกครา

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่เพลิน ๆ ไป๋ยู่เลียนก็ได้เดินเข้ามาและยื่นกระดาษมาให้เขา

“กองพลที่สามมีการต่อสู้กับศัตรูที่ไหฉือ และศัตรูเหล่านั้นเป็นกองทัพทหารของแคว้นฮวง มีทั้งหมด 20,000 คน ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการรบและได้กวาดล้างกองทัพศัตรูทั้งหมดไปยังเนินเขาทางตอนเหนือ !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจ กองทัพของแคว้นฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ?

“และฝ่ายเราเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เสียชีวิต 6 คน ส่วนที่เหลือมิเป็นอะไร”

“ข้าว่ามันเริ่มน่าสงสัยแล้ว… แสดงว่ากงเซินจ่างกำลังสมรู้ร่วมคิดกับทหารชาวฮวง เช่นนั้นพวกเราจะต้องระวังให้ดี”

ไป๋ยู่เหลียนจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน “นี่ท่านจะมิกล่าวชมข้าสักหน่อยหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังไป๋ยู่เหลียน “ท่านนี่ช่างหล่อจริง ๆ เลย ! ”

“ใสหัวไป… ! ”

“ฮ่า ๆ ๆ… ! ”