บทที่ 49 Ink Stone_Romance

อาเรียในชุดกระโปรงเรียบๆ ไม่มีลายพร้อมผมที่ถูกถักเป็นเปียอย่างเรียบร้อย เธอได้แต่ลูบจับผมของตัวเองอยู่อย่างนั้นและรู้สึกแปลกประหลาดราวกับย้อนกลับไปในอดีตมากกว่าเดิมเป็น 10 ปี

‘ถ้าฉันใช้ชีวิตธรรมดาๆ แบบนี้ก่อนจะเข้าไปอยู่ในตระกูลท่านเคานต์ล่ะก็…’

ถ้าอย่างนั้น อนาคตจะเปลี่ยนไปบ้างใช่หรือเปล่า เธอคิดเช่นนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ตราบใดที่ยังมีนางปีศาจร้ายอย่างมิเอล เธอคงไม่สามารถสนุกไปกับชีวิตอันแสนสำราญได้แน่

หล่อนเริ่มเกลียดเคาน์ติสกับเธอด้วยเหตุผลไร้สาระ เธอจึงคิดว่าสุดท้ายตอนจบก็คงคล้ายกับเมื่อครั้งอดีต

เธอมองออกไปนอกหน้าต่างพลางสะบัดความเสียดายที่สายไปเสียแล้วออกไปจากหัว คงเพราะมันคือรถม้าที่บรรดามหาดเล็กใช้กัน สายตาเธอจึงต้องขยับขึ้นลงตลอดเวลาเช่นนี้

ทั้งรู้สึกคล้ายจะเมารถ ทั้งเจ็บก้น แต่มันสำคัญที่ไหนกัน ในเมื่อช่วงที่เธอเคยนอนบนพื้นหินยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานอยู่เลย

เธอเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างไม่พูดไม่จา เมื่อเห็นดังนั้นเจสซี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

“นั่งไม่สบายใช่ไหมคะ เลดี้ควรจะได้นั่งรถม้าที่เหมาะสมกว่านี้แท้ๆ…”

“เปล่าสักหน่อย ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องพยายามให้มันสะดุดตาหรอกนะ”

เด็กหญิงหรือเด็กสาววัยแรกรุ่นนั้นสามารถตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายเมื่ออยู่ในที่คนเยอะๆ ดังนั้นจึงต้องระวังการกระทำของตัวเอง แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตามที ด้วยเหตุนี้เธอจึงพาผู้คุ้มกันมาด้วยเพียงแค่คนเดียว มันคงจะแปลกน่าดูหากเธอมีชายร่างบึกบึนถึงสองคนตามติดมาด้วย

แม้ตอนนี้เธอจะมองไม่เห็นเพราะนั่งอยู่ในกูบรถม้า แต่ผู้คุ้มกันที่เพิ่งได้ติดตามอาเรียเป็นครั้งแรกนั้น กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดมากทีเดียว เพราะไม่ว่าข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอในช่วงนี้จะลดลงมากเพียงใด แต่สมญานามนางมารร้ายของเธอก็ยังไม่หายไปไหนเช่นกัน

เธอเป็นคนไปเลือกผู้คุ้มกันด้วยตัวเองเพราะกลัวว่าจะได้ผู้คุ้มกันโง่ๆ มาอีก แน่นอนว่าคนอย่างเธอไม่มีความสามารถพอจะเลือกผู้คุ้มกันได้อยู่แล้ว แต่ก็คงต้องให้เป็นเรื่องของดวงเผื่อจะเลือกได้ดีเหมือนกับคนบ้าง

ถึงอย่างไรเธอก็เลือกเขามาด้วยมือตัวเอง ดังนั้นหากผิดพลาดอีกเธอก็จะไม่โทษใคร

“เลดี้ เราน่าจะถึงกันแล้วล่ะค่ะ”

จากคฤหาสน์จนถึงใจกลางเมืองไม่ได้ใช้เวลายาวนานนัก ทำให้ทั้งสองมาถึงที่หมายในเวลาอันรวดเร็ว

อาเรียลงจากรถตรงจุดที่ห่างจากจัตุรัสมาเล็กน้อย เธอจับมือเจสซี่เอาไว้จนแน่นเพราะกลัวจะหลุดเข้าไปในฝูงชนที่กำลังพลุกพล่าน หากหลุดไปเพียงลำพังก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร

เธอรู้สึกวางใจเมื่อแน่ใจแล้วว่าผู้คุ้มกันยังตามติดอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามถนน โชคดีของเธอที่เขาน่าจะเป็นผู้คุ้มกันที่ดีเพราะดูท่าเขาจะเป็นห่วงเธอน่าดู

“เลดี้! ดูนี่สิคะ!”

ใครกันนะที่เคยลังเลตอนเธอสั่งให้มางานนี้ เจสซี่วิ่งไปมาด้วยความตื่นเต้นเหมือนปลาที่ได้เจอน้ำ หล่อนที่มองดูบรรดาเครื่องประดับและตุ๊กตาซอมซ่อเหล่านั้นตาเป็นประกายช่างน่ารักเหลือเกิน

ที่คฤหาสน์มีของมากมายที่ทั้งสวยและมีค่ามากกว่านี้เป็นหลายหมื่นเท่า แต่ทำไมหล่อนถึงไปอยากได้ของที่เหมือนจะพังมิพังแหล่แบบนั้นกัน

“เธอชอบหรือ”

  “ชอบค่ะ!  เป็นกิ๊บติดผมที่น่ารักจริงๆ เลยนะคะ”

“อย่างนั้นหรือ”

เธอรับกิ๊บติดผมในมือเจสซี่มา ก่อนจะนำไปติดให้บนหัวของหล่อน ตอนเห็นมันวางอยู่แค่อันเดียวเธอคิดว่ามันเก่าซอมซ่อ แต่พอเอามาติดผมจริงๆ กลับน่าดูไม่น้อยทีเดียว

อาจเพราะมันเข้ากับชุดเรียบง่ายไร้เครื่องประดับของหล่อนพอดีก็ได้

“เหมาะกว่าที่คิดอีกนะ เธอก็ซื้อสักอันสิ เท่าไหร่ล่ะ”

“เลดี้!”

อาเรียหยิบกระเป๋าเงินของเธอออกมาจากกระเป๋าด้านในของเจสซี่ เจสซี่พยายามห้ามเธออย่างเต็มที่ แต่เธอกลับรีบจ่ายเงินและหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากมาทะเลาะกันด้วยเรื่องกิ๊บติดผมที่ราคาเพียง 10 ชิลลิ่ง

“มันมากเกินไปสำหรับดิฉันนะคะเลดี้…”

“นี่เจสซี่ เวลามีคนให้ของขวัญเธอต้องขอบคุณสิ”

“แต่ว่า…!”

“ถ้าเธอยังทำหน้าไม่ชอบอกชอบใจอยู่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉันคงต้องทิ้งกิ๊บนั่นเสียแล้วสิ”

เธอแกล้งทำตัวเหมือนนางร้ายที่เคยทำร้ายหล่อนพลางเอ่ยเตือนเสียงเข้ม แต่นอกจากจะไม่ตกใจแล้ว เจสซี่ยังจับมืออาเรียแน่นขึ้นอีกหน่อยและยังยิ้มกว้างมาให้อีกต่างหาก

“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันก็ขอน้อมรับไว้ด้วยความขอบคุณค่ะ เลดี้ ดิฉันดีใจมากเหลือเกินค่ะ”

“ถ้ายอมพูดอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกฉันจะชอบกว่านี้อีก”

ตอนนี้หล่อนดูจะไม่กลัวอาเรียแล้วจริงๆ

เธอเพิ่งอนุญาตให้แอนนี้ซึ่งเป็นสาวใช้ของมิเอลลาไปเที่ยวงานเทศกาลได้ไม่นานก่อนหน้านี้ แล้วนี่เธอยังออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเจสซี่อีก

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเคยมอบเข็มกลัดที่ทำจากทองเป็นของขวัญให้หล่อนพร้อมกับบอกว่าแม้หล่อนจะมีเจตนาไม่ดีแต่ก็ยังตั้งใจทำงาน ทั้งยังให้ลาพักตอนไม่มีงานอะไรให้หล่อนทำอีกด้วย

แม้ทั้งโลกจะยังเรียกเธอว่านางร้าย แต่สำหรับพวกหล่อนแล้ว เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแม่พระเลยสักนิด

หลังจากเดินไปพลางให้เครื่องประดับและตุ๊กตาที่เจสซี่สนใจเป็นของขวัญกับหล่อนไปพลาง ไม่นานก็มองเห็นจัตุรัส บนเวทีที่ถูกจัดตั้งอยู่บริเวณหน้าลานน้ำพุยังคงมีการแสดงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจนเย็น

อาเรียมองดูผู้เฒ่าที่กำลังขับร้องท่วงทำนองแสนไพเราะอยู่สักพัก ก่อนจะไปซื้ออาหารข้างทางที่ขายอยู่ตรงมุมหนึ่ง

เธอซื้อมาสองชุดคล้ายตั้งใจจะมาทานด้วยกันกับเจสซี่ แต่จุดหมายปลายทางของอาหารกลับกลายเป็นผู้คุ้มกันกับเจสซี่แทน

“แล้วเลดี้ล่ะคะ”

“เธอคิดว่าฉันจะทานอาหารแบบนี้หรือไง”

“เลดี้ไม่ทานหรือครับ”

“ไม่ล่ะ เมื่อกี้ฉันดื่มชามามากพอแล้ว”

ผู้คุ้มกันมีสีหน้างุนงง เพราะไม่คิดว่าเธอจะดูแลมาถึงเขาด้วย หากเขาเป็นผู้คุ้มกันชั้นสูงที่มาจากครอบครัวขุนนางก็ว่าไปอย่าง แต่ชนชั้นสูงที่จะมาสนใจไยดีผู้คุ้มกันที่มีกำพืดเป็นเพียงสามัญชนอย่างเขานั้น แทบจะไม่มีเลย

เขารีบก้มหน้าขอโทษเมื่อเห็นเธอมองอาหารสลับกับตนไปมาแล้วเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจ

“ขอโทษครับ ผมจะทานอย่างดีครับ”

จากนั้นเธอจึงเลือกนั่งตรงที่ที่สามารถมองเห็นเวทีได้ชัดเจนแล้วชมการแสดงต่อไป ใบไม้ผลิคืบคลานเข้ามา ขณะที่สายลมอ่อนโยนและแสงแดดอันอบอุ่นก็โอบกอดหัวใจที่เหนื่อยล้าและเยือกแข็งของเธอไว้

พอได้นั่งหลับตาฟังเสียงเพลงอยู่เฉยๆ ความทรงจำที่เคยยากจนและโดดเดี่ยวอ้างว้างก็ปรากฏขึ้นมา

ในวันเทศกาล เธอเคยมีความสุขไปกับเสียงเพลงเบาๆ ที่ได้ยินมาจากที่ไกลๆ… เธอไม่มีอะไรสักอย่างต่างจากตอนนี้ลิบลับ แต่ก็ไม่มีเรื่องให้ว้าวุ่นใจเลยสักนิด

‘ฉันจะใช้ชีวิตแบบนี้อย่างมีความสุขได้หรือเปล่า’

ชีวิตที่ถูกใช้ไปเพื่อทำลายใครคนหนึ่งไม่มีทางที่จะมีความสุขได้หรอก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะการได้มีชีวิตอยู่เพื่อทำลายมิเอลแบบนี้คือความสุขที่ไม่อาจหาอะไรมาเทียบ

อาเรียส่ายหัวไปมา ใช่แล้วล่ะ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มอบชีวิตที่สองให้เธอเพื่อให้มาอยู่อย่างสุขสบาย แต่ให้มาเพื่อการล้างแค้นต่างหากล่ะ ดังนั้นสิ่งที่ควรหวังคือความพินาศของนางแม่พระ หาใช่ความสุขของเธอไม่

ขณะที่เธอกำลังจัดการกับความคิดที่กระจัดกระจายของตัวเองและเบือนหน้าหนีเรื่องราวในอดีตอยู่นั้นเอง ก็กลับมีเงาทาบทับลงมาเหนือหัว

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยว่าใครกันที่บังอาจมาบดบังทัศนวิสัยของเธอ ใบหน้าคุ้นเคยก็ปรากฏอยู่ตรงนั้นพอดี

“ไม่คิดมาก่อนเลยนะครับว่าจะได้เจอคุณในที่แบบนี้ด้วย”

“คุณ…!”

“เราเจอกันบ่อยกว่าที่คิดอีกนะครับ”

อาซเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขาคือคนที่เธอเคยเจอครั้งแรกที่ร้านขายของชำ และอีกครั้งที่ร้านขายอัญมณี

เขามักทำให้เธอจนปัญญาและลำบากใจเสมอ อาเรียรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับอาซ โดยเฉพาะกับแววตาสีน้ำเงินคู่นั้นที่ชอบจ้องมองมาราวกับเขารู้ทุกสิ่ง

“ออกมาเดินเล่นหรือครับ”

“…”

แล้วเธอควรตอบตามน้ำไปดีหรือไม่ อาเรียเหลือบมองผู้คุ้มกันที่ยืนอารักขาอยู่ข้างกาย เธอเห็นไหล่แกร่งที่กำลังเกร็งและแขนขวาที่พร้อมจะเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อ

เห็นดังนั้น อาเรียจึงได้วางใจและพยักหน้ากลับไป เพราะคิดว่ามันคงดีกว่าหากเธอเลือกจะรีบตอบกลับไปอย่างเย็นชา

“ผมก็เหมือนกันครับ ก็งานเทศกาลของสามัญชนน่ะสนุกแล้วก็มีชีวิตชีวาออกนี่ครับ”

“ดิฉันทราบว่าคุณหมายถึงอะไรค่ะ เพราะดิฉันก็คิดเช่นนั้น แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้วน่ะสิคะ”

งานเทศกาลที่น่าเพลิดเพลินและน่าประทับใจกลับหมดสนุกไปได้ในชั่วพริบตา ผู้คุ้มกันที่ตอนแรกกำลังทานอาหารอยู่ตอนนี้กลับกลายเป็นเคร่งเครียด และเจสซี่ที่จดจำชายหนุ่มได้ก็กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ

นี่มันแย่ที่สุดเลยไม่ใช่หรือไร เธอรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เจอหน้าเขา ดังนั้นเธอจึงได้แต่หวังว่าคนความรู้สึกไวอย่างอาซจะรับรู้และหายตัวไปเสียที

“โธ่ถัง อย่างนี้เองสินะครับ”

แต่อาซกลับยิ้มออกมาให้เห็นราวกับนึกสนุกกับท่าทางของอาเรีย ตรงกันข้ามกับสิ่งที่อาเรียหวังอย่างสิ้นเชิง เขาดูเหมือนเด็กที่ถือลูกกวาดที่รอคอยมาแสนนานอยู่ในมือ ใบหน้าของเด็กชายเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าสิ่งที่อยู่ในกำมือจะทำให้เขาสนุกสนานได้มากแค่ไหน

“ถ้าอย่างนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้นะครับ”

นี่เขาหมายความว่าจะล่าถอยเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ เธอเงยหน้าขึ้นมองอาซพร้อมกับใจที่พร่ำบอกให้เขารีบไปจากเธอเสียที แต่อาซกลับไม่ยอมละสายตาไปจากนัยน์ตาใสราวอัญมณีของอาเรียอยู่พักใหญ่

‘ผู้ชายคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่’

เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาจึงมาให้ความสนใจกับคนที่ไม่มีอะไรให้เขาฉกฉวยอย่างเธอแบบนี้

แน่นอนว่าสำหรับอาเรียแล้ว ความสนใจและมิตรไมตรีจากบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายเปรียบเสมือนอากาศธาตุ ดังนั้นคำพูดของคนแปลกหน้าเหล่านั้นจึงเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับต่างออกไป

‘เขาต้องมีสิ่งที่ต้องการอยู่แน่ๆ…’

และสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความรักหรือความสนใจของอาเรียเสียด้วย เธอไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาได้

อาเรียได้แต่เผชิญหน้ากับอาซโดยที่ไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาที่เหมือนสัตว์ร้ายกำลังมองหาอาหารคู่นั้นได้เลย

ขณะที่เธอกำลังรู้สึกว่านัยน์ตาสีน้ำเงินของเขากำลังเข้มขึ้นนั้นเอง ใครคนหนึ่งที่น่าจะเป็นกลุ่มของเขาก็เดินเข้ามาพอดี

“คุณอาซ”

เขาคือคนที่กำราบจอห์นกับพอลเมื่อวันก่อนนั่นเอง เขาทำให้ผู้คุ้มกันทั้งสองแพ้ราบคาบได้ในชั่วพริบตาทั้งที่อยู่ในที่แคบ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่มีความสามารถจริงๆ ไม่มีทางทำได้แน่

จู่ๆ ความกลัวในช่วงเวลานั้นก็อุบัติขึ้นมาอีกคราจนขนลุก พร้อมกันนั้นเจสซี่ก็จับแขนเสื้อของอาเรียไว้ราวกับหล่อนเองก็จำชายคนนี้ได้เช่นกัน

 “เลดี้…!”

อันตราย เจสซี่จะต้องคิดอย่างนี้อยู่แน่ๆ

และอาเรียก็คิดเหมือนกันกับหล่อน พวกเขาไม่เคยทำอันตรายกับพวกเธอโดยตรง และเธอก็คิดว่าตำแหน่งของพวกเขาไม่น่าจะสูงส่งได้ขนาดนั้น แต่บรรยากาศที่พวกเขาปล่อยออกมาต่างหากที่อันตราย อาซเรียกชื่อเธอ แต่เธอกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

“…เอายังไงดีครับ”

เมื่อเขาไม่ยอมละสายตาจากอาเรียเสียที ผู้มาใหม่จึงเอาหูเข้าไปใกล้ใบหน้าของอาซ

ทันใดนั้นเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูชายคนนั้นราวกับกำลังรออยู่ ก่อนที่กลุ่มคนซึ่งมาตามหาอาซจะหายไปในฝูงชนอีกครั้ง

“เพื่อนผมบอกว่ามีเรื่องต้องไปดูสักเดี๋ยว ผมเลยต้องถูกทิ้งให้เป็นหมาหัวเน่าเสียแล้วล่ะครับ”

เขายักไหล่ตีหน้าซื่อราวกับไม่เคยทำสายตาเหมือนสัตว์ร้ายที่จ้องจะจับเหยื่อมาก่อน

“…แล้วยังไงคะ”

“เลดี้พอจะอยู่เป็นเพื่อนกันสักครู่ได้ไหมครับ อยู่คนเดียวกลางกลุ่มคนมหาศาลแบบนี้จะไม่อันตรายแย่หรือครับ”

“…ไม่ทราบสิคะ ดิฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นอันตรายหรอกค่ะ”

การที่มีเขาอยู่มันอันตรายยิ่งกว่าอีกไม่ใช่หรือไง อาเรียตอบเป็นเชิงปฏิเสธ แต่อาซกลับไม่สนใจทั้งยังทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้าเธออีกต่างหาก

บนพื้นไม่มีอะไรอยู่เลย และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจหากว่ามันจะมีฝุ่นอยู่ก็ตาม อารียได้แต่กลืนเสียงแค่นหัวเราะลงไปเพราะการกระทำตามอำเภอใจและไม่แม้แต่จะขออนุญาตนั้น

“เป็นสิครับ อันตรายมากเลยล่ะ”

เขาตอบเหมือนอันตรายกำลังเจียนตัวเข้ามา

หรือถ้าไม่มี ก็เหมือนเขานี่ล่ะที่จะทำให้มันมี

คิดได้ดังนั้นเธอก็หลบสายตาพร้อมกับลูบแขนที่ขนลุกขึ้นมาเพราะความกลัว เธอนึกอยากให้เพื่อนเขารีบกลับมาแล้วพากันหายไปให้พ้นๆ เสียที

“จะว่าไปแล้ว… ชุดของเลดี้ดูเรียบง่ายจังเลยนะครับ”

เขากวาดสายตาไปทั่วทั้งเรือนร่างของอาเรีย คงเพราะชุดของเธอดูต่างไปจากเมื่อก่อนหน้านี้ และคงเพราะตอนแรกที่เจอกันนั้น เธอใส่ชุดที่ออสการ์มอบเป็นของขวัญให้แก่มิเอล

อาเรียรู้สึกว่ามันไม่ได้มีค่าพอให้เธอตอบ หากเขาพอจะมีความคิดอยู่บ้างก็คงจะไม่ถามคำถามแบบนี้ออกมา มันใช่เรื่องเหมาะสมหรือไรที่จะมาแต่งตัวสวยงามในที่ที่มีคนพลุกพล่านเช่นนี้

“เลดี้คงได้รับของขวัญมากมาย… แต่ดูเหมือนจะไม่มีของขวัญที่ชอบเลยสินะครับ”

คำพูดของผู้ชายนั้นมีกระดูกอยู่ แม้จะคาดเดาความหมายได้ลำบากเพราะมีแต่กล้ามเนื้อและผิวหนังที่ทั้งหนาและทนทานเหลือเกิน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคำพูดที่พ่นออกมาโดยไม่คิด

อาเรียหรี่ตาลง มันคือสายตาแห่งความคลางแคลงใจ

“…หมายความว่ายังไงคะ”

“ไม่ได้หมายถึงอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ผมหมายความว่าเลดี้เป็นคนสวย คงไม่มีใครปล่อยให้เลดี้อยู่รอบตัวเฉยๆ หรอก แค่นี้เองครับ”

จริงหรือ แล้วเหตุใดเธอจึงต้องมานั่งกังวลใจด้วยล่ะ ทั้งที่จะแค่เมินเฉยแล้วมองข้ามไปเลยก็ย่อมได้ แต่เธอก็ยังมองข้ามคำบางคำไปแล้วยอมเอ่ยตอบเขาตลอดอยู่ดี

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอเลียริมฝีปากพลางคิดว่าจะตอบอะไรกลับไปดี แต่แล้วก็กลืนคำพูดกลับลงไปเหมือนเดิม ทำให้เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วระยะหนึ่ง

ระหว่างนั้น คนที่ร้องเพลงบนเวทีก็เปลี่ยนจากผู้สูงวัยมาเป็นวัยรุ่น และเพลงจังหวะเร็วสนุกสนานก็ถูกเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น

ชายหนุ่มหันไปมองด้านหลังเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะบ่นพึมพำว่ามันเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ จากนั้นก็กลับมาจับมืออาเรียไว้อย่างรวดเร็วไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว

……………………….