บทที่ 50 Ink Stone_Romance

“นี่มัน…!”

เธอตั้งใจจะตะโกนถามว่านี่มันอะไรกันด้วยซ้ำ แต่ทันใดนั้นพลุก็ถูกจุดขึ้นทั่วทุกสารทิศ และบรรดาคนที่ตกใจจากประกายไฟก็พากันกรีดร้องวิ่งวุ่นไปตรงนั้นตรงนี้เพื่อจะออกจากจัตุรัสให้ได้

อาเรียเองก็ตกใจจนลุกออกจากที่เช่นกัน ร่างทั้งร่างแข็งค้างเพราะตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะทันได้รู้ตัวว่ามันไม่ใช่พลุที่ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ แต่มีแค่เสียงอึกทึกเท่านั้นเอง

‘เลดี้!’ เธอได้ยินเสียงที่ไม่รู้ว่าเรียกเธออยู่หรือเปล่าดังมาจากใกล้ๆ นี้ เธอควรทำอย่างไรดี…!

“ทางนี้!”

พลันเรี่ยวแรงมหาศาลก็มาจับมือเธอที่กำลังตกอยู่ในอาการตกใจแล้วลากเธอไป อาเรียได้แต่ไปตามแรงจูงที่มืออย่างช่วยไม่ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางความโกลาหล

ราวกับสัมผัสที่มือนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะช่วยเธอได้

พวกเขาวิ่งฝ่าคลื่นมวลชนออกมาจากจัตุรัสไกลออกมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ยังคงวิ่งและวิ่งจนแทบจะขาดอากาศหายใจ

ทั้งสองวิ่งผ่านผู้คนที่ผ่านไปปานความไวแสงจนเธอได้แต่คิดว่าเธอเคยวิ่งเร็วขนาดนี้บ้างหรือเปล่าในชีวิตนี้

เธอคิดว่าเป็นโชคดีของเธอที่เลือกใส่รองเท้าสบายๆ มาแทนที่จะเป็นรองเท้าปลายแหลม และในระหว่างที่คิดนั้นเธอก็ได้เข้ามาในซอยเงียบๆ ซอยหนึ่งที่เธอไม่เคยมาแม้กระทั่งตอนยังเป็นสามัญชน

ตอนนั้นเองเธอจึงได้รู้ว่าคนที่จับมือเธออยู่ไม่ใช่ผู้คุ้มกันหรือเจสซี่ หากแต่เป็นชายผู้เป็นดั่งสัตว์ร้ายคนนั้นนั่นเอง

“แฮ่ก แฮ่ก…”

อาซยังดูสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากอาเรียที่หอบหนักเป็นหมาหอบแดด เขาก้มลงประคองอาเรียที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

“…แฮ่ก แฮ่ก …มากค่ะ”

ท่าทางของเธอตอนนี้ไม่ว่าใครมองก็คงรู้ว่าเธอไม่ไหวแล้ว แต่อาซก็ยังถามอาการอาเรียพลางช่วยตบหลังเธอเบาๆ

เขาทำกระทั่งใช้แขนเสื้อซับเหงื่อให้เธอ เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผ่านข้างแก้มลงมาจนถึงคาง

“ผมไม่มีผ้าเช็ดหน้า ฉะนั้นโปรดอภัยผมด้วยที่ต้องเสียมารยาท”

แล้วมันแปลกตรงไหนกัน ในเมื่อเขาก็ทำตัวไร้มารยาทมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อจึงกลายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยไม่สามารถมองเป็นการเสียมารยาทได้ด้วยซ้ำ

ผ่านไปไม่นาน อาเรียที่เริ่มสงบลงเยอะแล้วก็ผละออกจากอ้อมแขนเขาพลางหันมองรอบตัวแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ที่นี่… ที่ไหนคะ”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ คงเป็นสักที่ในนครหลวงนี่ล่ะครับ”

“ดิฉันไม่เห็นจำที่นี่ได้เลย… หรือว่าเราอยู่ไกลออกมาจากใจกลางเมืองมากใช่ไหมคะ”

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”

อย่าว่าแต่เงาคน นี่รถม้าสักคันก็ยังไม่มีผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้ขึ้นรถอะไรมาเลย แล้วเธอมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

จู่ๆ เธอก็รู้สึกวิงเวียน ตรงหน้ากลับมืดมิดไปหมด เธอไม่รู้เลยว่าจะกลับไปได้อย่างไร เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ทั้งยังไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกด้วย

ส่วนอาซไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ต่างจากอาเรียที่กำลังกังวลเป็นอย่างมาก เธอลองถามเผื่อเขาจะรู้ว่าจะกลับไปได้อย่างไร แต่คำตอบที่ได้กลับมาดันเป็นคำว่า ‘ไม่ครับ’ เสียนี่

“ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”

เธอถามออกไปทั้งที่ยังกุมขมับ และในครั้งนี้คำตอบที่เธอได้ก็ยังมีแต่คำว่าไม่รู้เหมือนเดิม

มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะพวกเขาทั้งคู่ต่างก็วิ่งหนีมาอย่างไร้สติ อาเรียตัดสินใจได้ในที่สุดว่าเธอจะไม่ถามอะไรกับเขาอีก

“ก่อนอื่น เราต้องหาทางกลับกันก่อน”

“ยังไงล่ะคะ”

“ถ้าเราลองเดินไปเรื่อยๆ ก็คงไปออกที่ไหนสักที่ได้นะครับ”

“แล้วถ้าเราหลุดออกไปไกลขึ้นล่ะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้วครับ”

เป็นเรื่องปกติหากจะเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอหนทาง แต่เธอยังมีเรื่องกังวลอยู่อีกอย่าง นั่นคือเรียวขาอันบอบบางของเธอจะทนไหวหรือไม่

ฝ่าเท้าของเธอเริ่มมีอาการเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว และเธอก็แน่ใจว่าอีกไม่นานจะต้องมีอาการผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับข้อเท้าเธอแน่นอน

‘จะไม่เป็นไรจริงๆ น่ะหรือ’

ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าสายตาของอาเรียกำลังก้มมองขาตนเองอยู่ เขาจมอยู่นิ่งคิดเพราะความสงสัยไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามเอาคำตอบจากเธอ

“หรือเพราะเลดี้เจ็บขาหรือครับ”

“…”

ในเมื่อเธอคือธิดาขุนนาง มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น สมกับเป็นพวกเธอที่แค่เดินเล่นอยู่ในสวนของคฤหาสน์เพียงพักเดียวจริงๆ

แม้จะเคยชินกับรองเท้าปลายแหลมที่ถูกใช้งานมาอย่างหนัก แต่มันก็เจ็บปวดจนทรมานเกินกว่าจะทนเดินนานๆ ได้

“ขี่หลังผมไหม”

“…อะไรนะคะ”

“ถ้าเดินลำบากมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ครับ”

“ไม่ค่ะ!”

จะให้เธอทำเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน! อาเรียทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไรแล้วเริ่มออกเดินนำหน้าไปก่อน

อาซหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะภาพแผ่นหลังของเธอที่ออกเดินไปอย่างมั่นใจทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเดินไปไหน

“ไปพร้อมกันสิครับ!”

“…”

นี่เขาไม่รู้สึกอะไรกับสถานการณ์ในตอนนี้บ้างเลยหรือ อาซเข้าไปใกล้อาเรียทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอกำลังจะเดินไปไหนและกำลังรู้สึกอย่างไร ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปพร้อมกับเธอ

“ถ้าไม่ขี่หลังผมแล้ว คุณจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือครับ”

“แน่นอนค่ะ”

“แต่ถ้าเจ็บขาก็บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ ยังไงถนนนี้ก็ไม่มีคนอยู่แล้วน่ะครับ”

“มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ”

อาเรียให้คำมั่นกับตัวเองว่าเธอจะไม่ยอมขี่หลังเขาเด็ดขาดถึงจาเธอจะหักจนตายไปเลยก็ตาม เธอไม่หันมองอาซเลยสักนิด ท่าทางนั้นไม่อาจทำให้อาซหุบยิ้มลงได้เลย

“ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้มาเดินกับเลดี้แค่สองคนแบบนี้”

“ดิฉันก็ไม่เคยคิดเช่นกันค่ะ เพราะดิฉันไม่น่าจะต้องมาเดินอยู่กับผู้ชายสองคนแบบนี้”

“แต่อย่างว่าล่ะครับ บางทีการได้พบเจอกันใหม่ก็เป็นเรื่องที่โชคดีนะครับ”

“ดิฉันเห็นด้วย แต่จะเป็นแบบนั้นก็ต่อเมื่อได้เจอคนที่จะช่วยเหลือกันได้มากกว่านะคะ”

“ผมก็คิดว่าเลดี้คือคนที่จะช่วยผมได้นะครับ”

“คุณคิดตรงกันข้ามกับดิฉันเลยล่ะค่ะ”

เธอใช้ชีวิตเป็นนางมารร้ายมาอย่างยาวนานและไหนจะประสบการณ์ในชีวิตของเธออีก ทำให้เธอสามารถรักษาท่าทีเย็นชาต่อคำพูดของอาซได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพูดกับเธอ ทั้งยังแสดงออกว่าชื่นชอบในตัวเธอราวกับไม่ได้รับความเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว

‘นี่เขามีศักดิ์ศรีอยู่แค่ฝุ่นธุลีหรืออย่างไร’

แม้ภายในใจจะตกใจที่เขาดูแตกต่างจากตอนเจอกันครั้งแรกราวกับคนละคน แต่ก็ยังพยายามทำเหมือนไม่มีอะไร

ตัวตนที่แท้จริงที่เขาซ่อนเอาไว้จะต้องต่างจากตอนนี้อย่างแน่นอน เขาเพียงแค่ถอยลงไปก้าวหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการก็เท่านั้น เธอยืดหลังตรงเมื่อคิดได้ว่าเธอไม่ควรหลงไปตามคำของเขาง่ายๆ

“เลดี้เองก็ยังไม่รู้จักผมดีพอที่จะยืนยันได้นี่ครับ”

“เรื่องนั้นคุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ เราต่างก็ไม่รู้จักตัวตนของกันและกันทั้งคู่ ดังนั้นก็ยังตัดสินไม่ได้อยู่ดีนะคะว่าเราจะช่วยกันได้หรือไม่”

นี่เธอเดินมาผิดทางหรือเปล่านะ รอบกายตอนนี้กลับมืดลงไปเรื่อยๆ แล้ว นี่ใช่เมืองหลวงจริงๆ หรือเปล่า ในเมืองหลวงมีที่ที่มืดและเงียบสงบขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ

เธอสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อมาถึงสถานที่ที่เธอไม่รู้จัก ทั้งยังกลัวว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดไปอีกด้วย

“ไม่รู้สิครับ…”

เขาจ้องมองอาเรียที่ยืดขาออกไปสุดแรงพร้อมใบหน้าซีดเผือดด้วยนัยน์ตาที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม

“แต่ผมอยากรู้เกี่ยวกับเลดี้มากๆ เลยนะ…”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”

“ไม่ใช่แค่คิด แต่ผมพูดจริงครับ”

นี่เขากำลังพูดพล่อยๆ ออกมาว่าตัวเองรู้ดี หลังจากได้ฟังข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเขาก็โง่สิ้นดี

ยิ่งเขาเชื่อข่าวลืออย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็ยิ่งง่ายที่เขาจะเข้าไปพัวพันกับข่าวลือนั้นจนตัวเองต้องพังทลาย อีกไม่นานชายหนุ่มคนนี้คงได้ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้กับพื้นเป็นแน่

“เพราะผมคิดว่าภายในใจของเลดี้ ต่างจากที่ผมเห็นภายนอกน่ะครับ”

เสียงทุ้มต่ำของอาซดังก้องพื้นที่ว่างเปล่าที่มีเพียงเสียงเดินเท้า เธอไม่อาจรู้ได้เพราะไม่ได้มองหน้าเขาโดยตรง แต่เสียงที่ได้ยินนั้นช่างเย็นชาเหลือเกิน

‘นายเคยเจอฉันแค่ไม่กี่ครั้ง นายจะไปรู้อะไร!’

เธอหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้า เมื่อได้ยินคำพูดที่ทำให้รำคาญใจ เธอไม่ชอบใจที่เขาคอยมาปรากฏตัวมากวนใจเธออยู่เรื่อยโดยที่ไม่เคยแสดงตัวตนที่แท้จริงให้เห็นบ้างเลย

ในเมื่อเธอแสดงออกว่าไม่ชอบเสียขนาดนี้ จะดีกว่าหรือไม่หากเขาจะยอมถอยลงมาสักหน่อย เพราะถึงเขาจะไม่ใช่ชนชั้นสูง แต่ทั้งมารยาทและความใส่ใจก็ถือเป็นเรื่องของสามัญชนเช่นกัน

ณ พื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครอยู่นี้ ผู้ชายนามว่าอาซคือสิ่งที่เธออยากจะหลีกหนีเสียให้พ้น อาเรียดึงเอาใบหน้าโหดร้ายที่ซ่อนไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาออกมาใช้ ก่อนจะหันไปยังทิศทางที่อาซอยู่

“ที่จริงแล้ว…!”

แต่เธอกลับไม่สามารถเอ่ยคำต่อว่าต่อขานอย่างโหดร้ายออกไปได้จนจบ เพราะนัยน์ตาสีน้ำเงินที่เป็นประกายเด่นชัดท่ามกลางความมืดนั้น แย่งเอาความคิดของเธอไปจนหมด

‘นั่น แววตาแบบนั้น… คือแววตาที่ออกมาจากมนุษย์ได้จริงๆ น่ะหรือ’

แววตาสีน้ำเงินที่คล้ายจะเปล่งแสงออกมาได้นั้น ปิดกั้นทุกคำพูดของอาเรียไว้ และหยุดทุกการกระทำของเธอเช่นกัน แม้แต่หมู่ดาวในค่ำคืนอันมืดมิดยังไม่เปล่งแสงสุกสกาวได้เท่านี้

“นี่คุณ… คุณเป็นใคร เป็นอะไรกันแน่…”

เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากทั้งสองสั่นเครืออย่างน่าสงสาร

ความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจอย่างความหวาดกลัวว่าเขาอาจเป็นอสูรร้ายที่แปลงกายมา และการต้องพานพบตัวตนอย่างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์พุ่งพรวดขึ้นมาทันที

“ในที่สุดก็สนใจผมแล้วหรือครับ เลดี้แห่งโรสเซนต์”

ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่ออาซขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ระยะห่างที่แคบอยู่แล้วก็ยิ่งแคบลงกว่าเดิม

เขาหลุบตาลงมองอาเรียที่อยู่ห่างกันเพียงคืบเดียวพลางยื่นมือไปลูบแก้มขาว

ฝ่ามืออุ่นของอาซอ้อยอิ่งอยู่บนแก้มของอาเรียอยู่เป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีหลบหลีกแม้จะผงะไปบ้างก็ตาม

เมื่อนัยน์ตาสีน้ำเงินที่จ้องตรงมายังนัยน์ตาสีเขียวของอาเรียเริ่มเป็นประกายเข้มขึ้น อาซก็เอ่ยทำลายความเงียบที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน

“เรื่องนั้น ไว้เลดี้สนิทกับผมมากกว่านี้ ผมจะบอกนะครับ”

ส่วนตัวแล้วผมอยากบอกเลดี้เหลือเกินครับ เมื่อเธอยังคงมองตาอาซไม่ละไปไหน ทั้งยังไม่อาจตอบอะไรกลับไปได้ราวกับลุ่มหลงในนัยน์ตาสีน้ำเงินนั้น เขาจึงน้อมตัวลงมากดจูบบนหน้าผากของอาเรีย

สัมผัสคล้ายแสงดาวพรมจูบลงมา ทำให้อาเรียค่อยๆ หลับตาลงเบาๆ อาเรียไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เพราะภาพเลือนรางที่ทำให้คิดไปเองราวกับเธอกำลังฝัน

“…ถ้าเช่นนั้น ผมจะรอวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งในเร็ววันนี้นะครับ”

เธอลืมตาขึ้นมาเพราะสัมผัสบนหน้าผากได้ผละจากไป และน้ำเสียงที่บอกให้รู้ถึงการจากลา แต่อาซกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งที่เธอแน่ใจว่าเธอเพิ่งได้ยินเสียงเขาอยู่เมื่อครู่นี้เอง

ยิ่งไปกว่านั้น ที่โล่งกว้างอันมืดมิดซึ่งมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากแววตาของอาซเมื่อครู่นี้กลับหายไป ทั้งยังเปลี่ยนเป็นถนนที่มีผู้คนแออัดอีกต่างหาก

‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…’

เธอยกมือขึ้นแตะหน้าผากเพราะรู้สึกว่าไออุ่นที่ริมฝีปากของเขาแตะลงมายังหลงเหลืออยู่

สิ่งที่สัมผัสได้คือความชุ่มชื้นแม้จะเพียงเล็กน้อยมากก็ตาม ซึ่งยากที่จะบอกได้ว่าความชื้นนั้นคือรอยจูบจากอาซหรือเหงื่อของเธอที่ไหลออกมาเพราะความเครียดกันแน่

“เลดี้!”

เมื่อหันหน้าไปตามเสียงที่แว่วมาจากไกลๆ เธอก็พบกับคนสองคนที่วิ่งเข้ามาหาเธออย่างรีบร้อน

“…เจสซี่”

“จู่ๆ เลดี้ก็หายไป ดิฉันตกใจแทบแย่!”

“…ฉันก็เหมือนกัน”

คนที่ตกใจไม่ได้มีเจสซี่เพียงคนเดียว อาเรียเองก็ยังไม่สามารถทำให้หัวใจที่เต้นรัวเร็วของเธอสงบลงได้เช่นกัน

“ดิฉันว่ามันอันตราย เรารีบกลับคฤหาสน์กันก่อนดีกว่านะคะ ดิฉันสนุกกับงานเทศกาลมาพอแล้วล่ะค่ะ”

อาเรียปล่อยเจสซี่ที่วิ่งพล่านจนวุ่นวายไว้ข้างหน้า ขณะที่เธอเองยังไม่อาจตั้งสติได้ไปพักใหญ่จากเรื่องก่อนหน้านี้ที่ยังเอาแต่ตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวเธอ

……………………….