พอถีบประตูออก ก็มีลมพัดหอบมาอย่างแรง ม้วนหอบเอาเปลวเพลิงพุ่งทะยานทะลุถึงสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เสวียนจีไม่อาจสนใจอันใดมากนัก ลอยตามเข้าไปทันที เห็นเพียงเทพสงครามตวัดกระบี่บุกเข้าไป บรรดานางกำนัลในตำหนักแตกตื่นตกใจพากันส่งเสียงหวีดร้องดังกุมหัวหนีหัวซุกหัวซุน คนที่มีความกล้าและภักดีก็ออกมายืนขวางหน้าไว้ กระบี่ติ้งคุนเปล่งประกายเพลิงลุกโชนร้อนแรงจนน่าตกใจ เข้าใกล้ก็ย่อมรู้สึกเจ็บปวดราวไฟแผดเผา
เทพสงครามมีเพลิงอัคคีคลุมกาย ทุกที่ที่ผ่านไปล้วนราวกับมีดคมกริบตัดเต้าหู้อ่อนนิ่ม ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง พวกผู้ถวายการรับใช้ในตำหนักกรูกันออกมาคิดยับยั้ง พอเห็นนางเช่นนี้ ก็หวาดกลัวตัวสั่นพากันหลีกทาง ปล่อยให้นางทุบโคมแก้วหลิวหลี เผาม่านโปร่งและผลักโคมไฟสำริดล้มระเนระนาด พังในตำหนักเละเทะไม่เหลือ
“ข้าต้องการเข้าเฝ้าราชันสวรรค์!” น้ำเสียงนางยังคงเย็นเยียบ หันกลับไปมองทุกคนในตำหนัก ไม่มีสักคนที่กล้ากล่าวอันใด
เสวียนจีเห็นนางท่าทางบ้าคลั่ง ในใจอยู่ๆ รู้สึกสัมผัสได้ เรื่องอะไรกันที่ทำให้คนไร้ใจออกอาการเช่นนี้ได้ หรือว่าเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น นางก็เรียนรู้ที่จะคิดไตร่ตรองด้วยตนเองแล้ว
“ขอราชันสวรรค์ออกมาพบข้า!” นางกล่าวอีกครั้ง ในที่สุดครั้งนี้ก็มีนางกำนัลจากมุมหนึ่งท่าทางกลัวๆ กล้าๆ ออกมาตอบว่า “ราชันสวรรค์…ไม่ได้ประทับที่นี่…ตอนนี้มีแต่ไป๋ตี้ประทับอยู่ พะ พักผ่อนอยู่!”
นางราวกับคิดไปคิดมาก็กล่าวว่า “เช่นนั้นก็เหมือนกัน! บอกให้เขาออกมา!”
ทหารนายหนึ่งยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ มีแต่ขุนนางไปขอเข้าเฝ้าราชัน แม้ท่านแม่ทัพไร้ผู้ต้านทาน…ก็ไม่ควรตะโกนเรียกราชันสวรรค์”
เทพสงครามกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “วันนี้เริ่มมีธรรมเนียมนี้หรือ! ฮึ ขุนนาง! ผู้ใดเป็นขุนนางพวกเขา! ข้ามีหลายคำถามต้องถามพวกเขาให้ได้!”
ในใจเสวียนจีรู้สึกตกใจ นางรู้! ตอนนั้นนางต้องรู้ว่าตนเองมาด้วยเหตุใด! จากนั้นจะเกิดอะไร ราชันสวรรค์กับไป๋ตี้ให้นางเข้าเฝ้า บอกทุกอย่างกับนาง?
ไม่ พวกเขาต้องไม่ได้บอกนาง และยังลงโทษนางอย่างหนัก ดังนั้นตนเองจึงได้ถูกให้ลงไปเกิด ดังนั้นพวกเขาจึงได้บอกว่าทำความผิดคิดกบฏ!
นี่มันเรียกฟ้าอะไร? นี่มันเรียกดินอะไร ฟ้าดินเช่นนี้ใช่ว่าทำคนอยากหัวเราะเยาะหรือ?!
เสวียนจีสูดลมหายใจเข้าลึก ยามนี้แม้ว่านางไม่มีร่างกาย แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความร้อนดังไฟแผดเผา บัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวหนาว ตรงหน้าวูบวาบราวดวงดาวสีทองกระจัดกระจาย
เทพสงครามคิดไตร่ตรองอยู่หน้าตำหนักได้ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าไม่มีคนออกมาสักคน จึงเริ่มยกเท้าก้าวเดินไปยังหลังกำบังท้ายตำหนัก ได้ยินเสียง โครม ดังมา กำบังลมหยกขาวมันแพะครึ่งกำแพงนั่น ถูกนางถีบด้วยเท้าทีเดียวก็ล้มครืนแตกกระจายเป็นเศษละเอียดกราวลงพื้น
ประตูตำหนักหลังบังอยู่ นางก้าวข้ามซากปรักหักพัง เปล่งกลิ่นไอสังหารบุกเข้าประตูหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ ร่างนางจะแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยการค่อยๆ ถอยกลับมา เสวียนจีจ้องมองไปยังประตูหลัง ก็เห็นมีคนค่อยๆ ผลักประตูนั้นออกมา เป็นชายหนุ่มหน้าตาสง่างามในชุดขาว หน้าผากมีรอยผนึกทองคำ เป็นหนุ่มน้อยที่เหมือนเพิ่งจะย่างสู่วัยหนุ่ม…ไป๋ตี้
ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาได้ ไม่ทันรู้ตัว นางมองไปยังสองมือของไป๋ตี้ มือขวาเขายังอยู่!
ในใจเสวียนจีก็ยิ่งตกใจ แอบมีลางสังหรณ์ไม่ดีนักขึ้นมา
ไป๋ตี้ผมยุ่งเหยิงอยู่สักหน่อย เสื้อผ้าก็ดูสวมใส่อย่างเร่งรีบ เห็นชัดว่าเมื่อครู่กำลังนอนพักช่วงบ่าย ถูกเสียงตะโกนของเทพสงครามปลุกขึ้นมา บรรดาผู้รับใช้ในตำหนักพอเห็นเขาก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น มีบางคนโล่งอก มีบางคนเป็นกังวล ไม่รู้เขาจะโมโหฟ้าผ่าอย่างไร
เขากวาดตามองไปรอบตำหนัก เห็นสภาพเละเทะระเนระนาด หว่างคิ้วก็ขมวดแน่น หันไปมองเทพสงคราม กล่าวน้ำเสียงตำหนิว่า “ท่านเอะอะโวยวายอันใด? ดูสิ! ทำที่นี่กลายเป็นอะไรไปแล้ว!”
นางแค่นเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด ไป๋ตี้มองนางครู่หนึ่ง หน้าตาไม่พอใจนัก เทพผู้รับใช้ที่หัวไวและใจกล้าผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่า “เมื่อครู่ท่านแม่ทัพเทพสงครามบุกรุกเข้ามา ยังเปล่งอัคคีเพลิงคลุมกาย พวกกระหม่อมไม่อาจรั้งไว้ได้ ทำให้ไป๋ตี้ตกใจแล้ว…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ไป๋ตี้ก็โบกมือ “พวกเจ้าถอยไป”
ในใจทุกคนไม่ยินยอมอย่างยิ่ง พวกเขามาดูแลรับใช้ในตำหนักวันนี้ หากไป๋ตี้เป็นอะไรไป ทุกคนย่อมต้องโชคร้ายด้วยกัน สถานเบาก็ลงไปเกิดแดนมนุษย์ สถานหนักก็ถูกส่งไปรับโทษแดนปรภพ ทรมานยิ่ง เทพสงครามดูท่าก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร เกิดทำอะไรไป๋ตี้ขึ้นมา พวกเขาแม้มีเก้าหัวก็ไม่พอ พวกเขารู้ว่าแม้ตนเองอยู่ต่อก็ทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยวันหน้าหากมีคนถามก็จะได้มีคำตอบ
ไป๋ตี้ตบมือเสียงดัง “ยังไม่ถอยไปอีก!”
ทุกคนได้แต่ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างช้าๆ แต่ไม่กล้าปิดประตูแน่น ยังคงเหลือช่องไว้ หากเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ก็จะได้บุกเข้าไปได้
ไป๋ตี้กวักมือเรียกเทพสงคราม “ขุนนางที่รัก เจ้าตามเรามา”
เขานำเทพสงครามเดินผ่านประตูหลังของตำหนัก ที่แท้ข้างนอกเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ผืนหนึ่งคั่นไว้ก่อนถึงตำหนักในที่ไว้สำหรับพักผ่อน
ไป๋ตี้ยืนอยู่หน้าต้นโบตั๋น จ้องมองนางเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ท่านมาหาเราด้วยเรื่องอู๋จือฉี?”
ไม่เสียทีที่เป็นไป๋ตี้ พอเอ่ยขึ้นก็ถามตรงประเด็นทันที เสวียนจีอึ้งมองชาติก่อนตนเอง ไม่รู้นางตอบอย่างไร
“ไม่เพียงเรื่องเขา! ยังเรื่องชาติกำเนิดข้าเอง…”
“อู๋จือฉีถูกขังคุกสวรรค์แล้ว ให้เทพกรมอาญาลงโทษความผิด ท่านมีความชอบในเรื่องนี้ไม่น้อย วันหน้าต้องได้รับบำเหน็จรางวัล อนาคตสดใส ไยต้องมาระเบิดโทสะด้วยเรื่องวานรเหิมเกริมนี่ด้วย”
ราวกับไม่อยากให้นางเอ่ยเรื่องชาติก่อน ไป๋ตี้รีบตัดบทนาง
เทพสงครามกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “อนาคตและบำเหน็จรางวัลล้วนจอมปลอม ข้าขอถามพวกท่านแค่ไม่กี่คำ ทำไมข้าได้ชื่อว่าท่านแม่ทัพ แต่กลับไม่มีทหารในสังกัดสักคน ทำไมข้าไม่มีชื่อ เหตุใดข้าจึงมีหลายอย่างไม่เหมือนคนอื่นๆ!”
นางกระชากเกราะทองคำออก ด้านในมีเสื้อตัวในชั้นบางชั้นหนึ่ง เผยโครงร่างบอบบางดังเช่นดรุณีน้อย นางกลับไม่รู้ละอาย ถึงกับฉีกเสื้อตัวในออก เผยผิวเปลือยขาวราวหิมะราวบุปผาแรกแย้ม ผิวกายยามต้องแสงตะวันอยู่ในยามนี้ขาวละมุนเป็นยองใย รูปร่างอรชร ช่างงามยิ่ง แต่ที่ไหล่ คอ ข้อศอก หน้าอก ล้วนมีรอยแผลเป็นอัปลักษณ์อย่างเห็นได้ชัด รอยแผลเป็นพวกนั้นราวกับตะขาบสีแดงโลหิตเป็นปื้นหนา วนรอบข้อต่อแต่ละแห่งของนาง ดูแล้วน่าขนลุก
ในใจเสวียนจีราวกับถูกฟาดเต็มแรง หน้ามืดในทันที อดยกมือกดหน้าอกไว้ไม่ได้ นางราวกับลืมไปว่าตอนนี้นางไม่มีร่างกาย การกดเช่นนี้ย่อมไม่ได้ผล
ตอนเสวียนจีเกิดมาแรกๆ ข้อต่อทั่วร่างกายก็ล้วนมีรอยปานแดงเด่นชัด เหมือนกับร่างเทพสงครามเบื้องหน้านี้ เหอตันผิงเห็นครั้งแรกได้แต่ตกใจ แอบคุยกับฉู่เหล่ยสองคนว่าน่าแปลก ทั้งสองยังล้อเล่นว่า บุตรสาวชาติก่อนไม่รู้ทำความผิดอะไร ตอนตายน่าจะโดนโทษห้าม้าแยกร่าง แต่ละส่วนเลยแยกจากกันชัดเจน
ต่อมาเมื่อนางเติบโตขึ้น ปานแต่กำเนิดนั้นก็ค่อยๆ จางลง มาถึงวันนี้ หากไม่เพ่งมองละเอียด ก็ย่อมมองปานแต่กำเนิดมากมายนั้นของนางไม่ออก ตอนนางได้ยินเรื่องปานแต่กำเนิด ก็รู้สึกเพียงแค่เหมือนสัมผัสอะไรได้ แต่ก็ไม่เคยได้ใคร่ครวญให้ละเอียด วันนี้เห็นร่างเทพสงคราม ก็เริ่มเดาไปต่างๆ นานาอย่างระงับไม่อยู่ ราวกับน้ำท่วมทะลักพังเขื่อนออกมา
ไป๋ตี้มองร่างนางดรุณีน้อย หว่างคิ้วยังคงนิ่งไม่ขยับ เพียงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขุนนางที่รักเผยร่างเปลือยเปล่าเช่นนี้ ไร้ธรรมเนียมยิ่ง รีบสวมเสื้อผ้าเสีย”
เทพสงครามชี้ไปที่รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ตรงหน้าอก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตอบข้า! นี่คืออะไร”
ไป๋ตี้กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพออกรบนานปี ขุนพลเทพออกสนามรบ ผู้ใดไม่มีรอยแผล หากท่านรู้สึกน่าเกลียด กลับไปจะให้หมอหลวงทายาให้ท่าน ลบรอยทิ้งไปก็ย่อมได้”
เทพสงครามกดรอยแผลเป็นตรงหน้าอกไว้ น้ำเสียงสลดลง “ท่านไม่กล้าตอบ”
ไป๋ตี้เงียบอยู่เป็นนานก่อนจะถอดชุดขาวตนออกคลุมไหล่ให้นาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขุนนางที่รักกลับไปเถิด ระยะนี้ลำบากท่านแล้วจริงๆ ไว้เราจะรายงานราชันสวรรค์ให้ทรงประทานวันพักผ่อนให้ท่าน พักผ่อนให้ดีๆ ก็พอ”
เทพสงครามยิ้มกล่าวว่า “พวกท่านทำกับข้า ยังมีความละอายอยู่สักนิดไหม”
“ท่านแม่ทัพ!” ในที่สุดไป๋ตี้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
นางไม่กลัวแม้แต่น้อย กล่าวตรงไปตรงมาว่า “หรือไม่ควรเรียกข้าว่าหลัวโหวจี้ตู”
ไป๋ตี้ขมวดคิ้วไม่กล่าวอันใด นางกล่าวกับตนเองว่า “ร่างกายนี้ ทุกอณูเป็นผู้ใดประกอบให้ข้า ข้าเผยร่างนี้ใต้แสงตะวันก็ไร้ธรรมเนียม? ในอดีตตอนประกอบร่างนี้ ทำไมพวกท่านไม่ว่าไร้ธรรมเนียมเล่า”
ข้อมือนางเริ่มสั่นเทา สองตาสาดแสงประหลาด กล่าวต่อว่า “วันนั้นข้าอยู่ในอุทยาน ได้ยินสองขุนพลเทพพูดเรื่องของข้า ที่แท้ทุกคนล้วนรู้ว่าข้าคือตัวอะไร มาจากไหน แต่ข้าเองกลับไม่รู้ หึ ท่านแม่ทัพเทพสงคราม ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าทั้งแดนสวรรค์ล้วนใช้ประโยชน์จากข้า!”
“ท่านไม่ตอบคำถามข้าก็ไม่เป็นไร ข้าตอบท่านเอง ข้าไม่มีทหารในบังคับสักคน เพราะพวกท่านแม้ว่าใช้ความสามารถข้า แต่กลับระแวงข้า กลัวข้านึกอะไรออกจนนำทหารก่อกบฏ ข้าไม่มีชื่อ…เพราะพวกท่านไม่อยากเอ่ยถึงชื่อข้า! ที่ข้าต่างจากคนอื่นมากมาย เพราะข้าไม่ใช่ข้า! พวกท่านแน่ใจเช่นนี้ คิดว่าข้าจะยอมให้พวกท่านจับวางตรงไหนก็ได้ตลอดไปหรือ”
ไป๋ตี้ไม่รอให้นางกล่าวจบ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเหนื่อยแล้ว พูดเหลวไหลมากมาย เราเห็นแก่ท่านที่ออกรบสร้างความชอบมามาก ท่านไปเถอะ”
นางส่ายหน้าหัวเราะขึ้นมา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล หลายปีนี้ ข้าดำเนินชีวิตมาอย่างเลอะเลือน! ข้าไม่เคยกระจ่างในตนเองเท่าวันนี้เลย!”
นางตบหน้าอกเสียงดังป้าบ ตามมาด้วยรอยยิ้มประหลาด พึมพำกล่าวว่า “ดวงจิตจากผลึกแก้วหลิวหลีไม่ควรเข้าใจโลกหรือ”
ไป๋ตี้สีหน้าแปรเปลี่ยน อยู่ๆ ก็เสียงดังขึ้นว่า “สั่งการกรมอาญา! จับอู๋จือฉีประหารวันนี้! โยนไปนรกขุมสิบแปด ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดอีก!”
เขายังคงไม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา! เสวียนจีแทบจะกรีดร้องออกมา เทพสงครามถูกเขาเบนความสนใจได้สำเร็จดังคาด น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ไม่อนุญาตให้สังหารเขา!”
ไป๋ตี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “ท่านแม่ทัพคิดต่อรองกับเรา?”
เทพสงครามสีหน้าซีดเผือด ชุดขาวที่คลุมไหล่ให้นางก่อนหน้ากระพือตามแรงลม ก่อนจะถูกลมพัดปลิวร่วงลงกับพื้น นางเงียบงันไม่กล่าวอันใด ไป๋ตี้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ทำไมต้องขอร้องแทนมารปีศาจ”
นางหลุดปากกล่าวว่า “เพราะข้ากับเขาเป็นสหายกัน! ข้ากับพวกท่านต่างกัน! ข้ารู้ว่าสหายมีไว้เพื่ออะไร สหายไม่ใช่มีไว้ใช้ประโยชน์!”
ไป๋ตี้กล่าวว่า “เราไม่สังหารเขา ท่านไปได้ เรื่องวันนี้ วันหน้าไม่ต้องเอ่ยถึงอีก!”
เทพสงครามพลันสะดุ้ง เงยหน้าถลึงตาใส่เขา สายตาดุดันทำเอาเย็นวาบ ไป๋ตี้ถูกจ้องจนต้องผงะถอยไปสองก้าว กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไปเสีย! เราไม่คิดจะพูดครั้งที่สาม!”
นางเอาแต่จ้องมองเขา พึมพำกล่าวว่า “เป็นเจ้า! ข้านึกออกแล้ว! วันนั้นคนรับโถผลึกแก้วหลิวหลีมา ก็คือเจ้า!”
ไป๋ตี้สีหน้าแปรเปลี่ยน ยกมือจับนางไว้ ไม่ทันระวังมีเสียงแว่วมาข้างใบหูดัง ฉับ เบื้องหน้ามีแสงวาบขึ้น แขนซ้ายของเขาเย็นวาบ เลือดสดไหลทะลักราวสายฝน
แขนซ้ายเขาถูกตัดออกเสียอย่างนั้น กระเด็นลอยออกไปไกล