ภาคอวสาน ตอนที่ 24 ผลึกแก้วหลิวหลี (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

สีหน้าไป๋ตี้ซีดขาว มีเสียงครางดังจากลำคอพลางผงะถอยไปหลายก้าว ในที่สุดก็คุกเข่าลงกับพื้น มือขวายังคงกดบาดแผลที่ไหล่ซ้ายไว้แน่น เลือดสดไหลพุ่งกระเซ็นไหลรินจากบาดแผลเปรอะเปื้อนไปหมด

เทพสงครามหอบหายใจแรงจ้องมองเขานิ่งอึ้ง สีหน้าไม่แน่ใจ เป็นนานนางจึงได้ค่อยๆ ขยับ หันหลังก้าวออกไปได้สองสามก้าว เก็บแขนที่ขาดขึ้นมาปาใส่หน้าอกเข้าเต็มแรง น้ำเสียงสลดกล่าวว่า “คืนท่าน! พวกท่านทำอะไรกับข้า ย่อมรู้ตัวเองดี! แขนข้างเดียวตัดมาคืนเพียงพอหรือ!”

นางกล่าวจบก็ลุกขึ้นไปเก็บชุดขาวที่เขาคลุมให้นางก่อนหน้าขึ้นมา นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะคลุมร่างตนเองให้เรียบร้อย กล่าวอีกว่า “บุญคุณที่มอบชุดหนึ่งนี้ ขอบคุณ”

หน้าผากไป๋ตี้หลั่งเหงื่อเย็น เงียบงันเป็นนาน พลันน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ท่านรีบไปเร็ว อย่าอยู่แดนสวรรค์ต่อ! การกระทำนี้ถือเป็นการกบฏ หากยังอยู่ต่อเกรงว่าโทษตายยากละเว้น”

เทพสงครามหัวเราะเยาะขึ้นเสียงหนึ่ง “ไม่ต้องให้ท่านเสแสร้งเป็นห่วงข้า! ที่พวกท่านทำกับข้าเรียกว่าเมตตาธรรม หากข้าไม่ยินยอมก็เป็นกบฏ? ใต้หล้าถึงกับมีหลักการเช่นนี้! นับประสาอันใดกับการที่ข้าคิดจากไป พวกท่านยังกล้าบอกว่าไม่เอาเรื่อง วางท่าวางทางเสียใหญ่โต เห็นแล้วอยากจะอาเจียน!”

ไป๋ตี้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรารับรองว่าไม่มีผู้ใดมาตำหนิท่าน เรื่องนี้เป็นเพราะแดนสวรรค์ผิดต่อท่านก่อน ท่านไปได้ อย่ากลับมาอีก!”

เทพสงครามถอยออกไปก้าวหนึ่ง ยังคงหัวเราะ เสียงหัวเราะนี้กลับราวดูไม่ยี่หระ “หากข้ากลัวจะถูกลงโทษ วันนี้ก็ย่อมไม่มาเอาเรื่องใหญ่โต ความผิดยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเพียงใด พวกเจ้าก็รวมมาลงที่ข้าก็แล้วกัน! แต่ไรมาข้าก็โดดเดี่ยวคนเดียว มีอันใดต้องกลัวเกรง”

นางหันกายจากไป ผลักประตูหลังตำหนักออกก็เห็นด้านนอกวุ่นวายไปหมด คิดว่าขุนพลเทพมากมายมาออกันหน้าประตูเพื่อจับกุมนาง แต่เพราะมีคำสั่งก่อนหน้าของไป๋ตี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าบุกรุกเข้าไป สีหน้านางเผยแววดูแคลน สบถใส่คำเดียวว่า “พวกหนูสกปรก!”

ไป๋ตี้รู้ว่าทันทีที่นางไม่อาจระงับตนเองได้ ก็ย่อมเผยความบ้าคลั่งออกมา หากสังหารฟาดฟันไปถึงเบื้องหน้าราชันสวรรค์ ก็ย่อมมีแต่ตายสถานเดียว ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็คงไม่อาจปกป้องนางได้อีก ยามนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านอยู่ก่อน ท่านแค้นใจที่แดนสวรรค์ผิดต่อท่าน รังแกท่าน จะต้องแก้แค้นใช่ไหม”

นางหันหน้าไปมองด้วยดวงตาลุกโชน ไม่ปฏิเสธ

ไป๋ตี้กัดฟันลุกขึ้น ร่างกายสั่นเทิ้ม เลือดไหลไม่หยุด เขายกมือสกัดไปที่บาดแผลที่ขาดสองที ใช้พลังเทพปิดบาดแผลไว้ไม่ให้เลือดไหลออกมาอีก ก่อนจะถอดเสื้อออก เผยให้เห็นแผ่นอกพลางกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “คนที่ผิดต่อท่าน รังแกท่าน ก็คือเราคนเดียว คนออกอุบายนี้ก็คือเรา เอาโถผลึกแก้วหลิวหลีมาสร้างดวงจิตให้ท่านก็คือเราเองทั้งนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น มีเหตุวันวาน จึงมีผลวันนี้ เรารู้สึกผิดมาตลอด ที่รออยู่บางทีก็อาจเป็นช่วงเวลานี้ ท่านมาสังหารเรา จบสิ้นเหตุกรรม ดวงจิตเราจะปกป้องท่านให้ปลอดภัย ไม่ถูกแดนสวรรค์ลงโทษ”

เทพสงครามไม่กล่าวอันใด เพียงจ้องมองเขานิ่ง นอกตำหนักมีเสียงดังเอะอะ บรรดาขุนพลเทพเห็นชัดว่าทนไม่ไหวแล้ว คิดจะบุกเข้ามา เลือดไป๋ตี้หยดลงพื้นส่งเสียงติ๋งๆ ทำให้แทบทนไม่ไหว ทุกเสียงสัมผัสดังก้องอยู่ในโสตประสาทของนางและเสวียนจี สร้างความเคร่งเครียดอย่างที่สุด

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร อยู่ๆเทพสงครามก็สูดลมหายใจเข้าลึกพลางกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ทำไม…จึงได้คิดแปลงข้าเป็นหญิง เมื่อก่อนเจ้าและข้านับว่าเคยรู้จักกันมาก็ไม่เคยมีคำถามนี้”

ไป๋ตี้สลดใจยิ้มกล่าวว่า “ท่าน แม้แต่ท่านและเราเคยรู้จักกันก็จำได้หมดแล้ว?”

นางสบถเบาๆ “ข้าเกิดในแดนอสูร เป็นมหาอสูรมาร รู้สึกว่าท่านสูงส่งสะอาดบริสุทธิ์ ได้คบหากับท่านเดิมคิดว่าได้สหายจริงใจ ผู้ใดจะคิดว่า…ช่างเถอะ เรื่องเก่าๆ พวกนี้เอ่ยถึงอีกทำไมกัน ท่านตอบข้า”

ไป๋ตี้ผิดหวังกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเติบโตที่ริมแม่น้ำสวรรค์ เป็นท่านอาที่ดูแลเลี้ยงดูข้า ทุกวันนางทอผ้าขับร้องเพลงอยู่ใต้ต้นหม่อน สุดท้ายต้องมากลายเป็นก้อนหินริมแม่น้ำ ไม่มีจิตรับรู้อีก ข้าไม่อาจลืมนางชั่วชีวิต”

เขาเอ่ยถึงเรื่องเก่าแต่โบราณกาล ไม่เรียกตนเองว่า ‘เรา’ อีก แต่ใช้คำว่า ‘ข้า’

คำตอบนี้ทำให้รู้สึกเหนือความคาดหมาย เทพสงครามไม่กล่าวอันใด ที่แท้รูปโฉมนี้เขาตั้งใจทำตามแบบสตรีในห้วงคำนึง ยามมองนางก็ราวกับได้เห็นรอยยิ้มคนผู้นั้นปลอบประโลมใจ ที่แท้เขามักจะไปเดินเล่นริมแม่น้ำสวรรค์ เก็บหาวัตถุที่หาได้ยาก ทุกคนล้วนคิดว่าเขาตั้งใจในเรื่องนี้ ผู้ใดจะคิดว่าที่แท้ก็แค่เรื่องลวง เก็บหาวัตถุมาหลอมกระบี่เป็นเรื่องลวง การไปเยี่ยมเยือนก้อนหินท่านอาเขานั้นคือเรื่องจริง

เทพสงครามหัวเราะยาว ผลักประตูก้าวออกไป กล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ท่านอาท่าน! เจ้าแอบทำเพื่อส่วนตัว หยิบยกเอาผู้อื่นมาล้อเล่น!”

ไป๋ตี้ร้อนใจกล่าวว่า “ออกไปไม่ได้…”

แต่วาจานั้นสายไปเสียแล้ว พอประตูถูกผลักออก บรรดาขุนพลเทพที่ทนรอไม่ไหวก็พากันกรูเข้ามา พริบตาทั้งสองก็ถูกโอบล้อมแน่นขนัดอย่างไม่มีที่ว่าง ทุกคนย่อมเห็นว่าไป๋ตี้ไร้แขนและกระบี่ติ้งคุนเปื้อนเลือดในมือเทพสงคราม ทุกคนล้วนตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายไป๋ตี้ นี่มันความผิดฐานกบฏ ร้ายแรงจนไม่อาจให้อภัยได้ เพียงพอจะสังหารนางในตอนนี้ได้ทันที

เห็นนางไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงยืนเปล่งรัศมีเย็นเยียบท่ามกลางผู้คน ผู้ใดก็ไม่กล้าลงมือก่อน จะได้ไม่กลายเป็นผีใต้คมกระบี่นางอย่างไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา ได้แต่ล้อมนางไว้ ไม่ให้นางไป อีกพวกหนึ่งก็เข้าไปประคองไป๋ตี้ที่ใบหน้าไร้สีเลือดกำลังจะล้มลง ทั่วบริเวณฉับพลันก็ไม่รู้จะไปกันอย่างไรต่อ

ไป๋ตี้ย่อมยืนหยัดได้อีกไม่นาน เกรงว่าใกล้จะสลบแล้ว พึมพำออกคำสั่งว่า “ห้ามทำร้ายนาง…ปล่อยนางไป”

ผู้ใดยังกล้าฟังคำสั่งเขาอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ไป๋ตี้ใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจใช้กระดาษห่อไฟได้ ทุกคนได้แต่รับคำไปอย่างนั้น ประคองเขาออกไปให้ไกลก่อน

ขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเอง ก็พลันได้ยินเสียงระฆังดังมาจากหอระฆัง รัศมีมงคลเปล่งประกายสี่ทิศ ทุกคนผ่อนลมหายใจลงทันที รู้ว่าราชันสวรรค์เสด็จแล้ว อยู่ๆ พลันเริ่มฮึกเหิมขึ้นมา เขยิบเข้าล้อมเทพสงครามไว้จนวงล้อมยิ่งขมวดเล็กลง เทพสงครามส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นพลางชักกระบี่ขึ้นทันที วันนี้นางแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่ายอมตาย อย่างไรก็ต้องทวงความยุติธรรมกลับคืนมา สังหารทหารสักคนสองคน นางจะต้องสนใจอันใดอีก

แดนสวรรค์เดิมก็ไม่มีขุนพลเทพกล้าหาญ พวกมังกรเขียวและมกรนับว่าเก่งกล้าแล้ว แต่หากต้องเผชิญกับอสูรมากมายก็ย่อมทำอะไรไม่ได้ เทพสงครามคนเดียวเคยเผชิญกับกองทัพมหาอสูรมาร ฝีมือไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย หากจะอาละวาดแดนสวรรค์ก็ย่อมไม่เปลืองแรงสักเท่าไร กระบี่ติ้งคุนเดิมก็เป็นไป๋ตี้ไปหาวัตถุหายากจากแม่น้ำสวรรค์มาหลอมให้เป็นอาวุธประจำกายของนางโดยเฉพาะ อาวุธน้อยมากที่จะต้านทานมันได้ กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่วิเศษที่ได้ดื่มเลือดอสูรมานับไม่ถ้วนในสงคราม วันนี้กลับต้องมาสังหารเทพแดนสวรรค์ วันนั้นหากไป๋ตี้รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ยังจะออกหน้าหลอมเทพศาสตราหายากเช่นนี้ให้นางอีกหรือไม่

พลังไร้ขีดจำกัดทำให้นางตวัดเพียงกระบี่เดียวก็ทำลายอาวุธรอบๆ ร่วงลงพื้นไปหมด บุกทะลวงกวาดล้างทหารห้อมล้อมหนาแน่นเปิดพื้นที่ว่างออกด้วยพละกำลัง คมกระบี่กวาดล้างขุนพลเทพล้มระเนระนาดกองกับพื้น ชีวิตยังอยู่ แต่อาการบาดเจ็บหนักถึงเอ็นถึงกระดูกก็ยากเลี่ยง

ขณะที่ทุกคนกำลังไร้หนทางรับมือกับนางอยู่นั้น พลันได้ยินเหนือศีรษะมีเสียงดังก้องเสนาะหูดังมาเสียงหนึ่ง ราวกับเป็นเสียงเคาะเครื่องภาชนะอะไรสักอย่างเบาๆ สีหน้าเทพสงครามแปรเปลี่ยน เผยแววทรมานแสนสาหัส มือกุมหน้าอกล้มลงกับพื้นขยับไม่ได้อีก ทุกคนตะลึงงันก่อนจะไม่รู้ผู้ใดตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง “จับไว้!” จึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองตามมา ทุกคนกรูกันเข้ามาจับเทพสงครามที่อ่อนแรงมัดแน่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้นางจะมีความสามารถสะเทือนฟ้าดินก็ย่อมไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก

เทพสงครามถูกทุกคนใช้อาวุธจี้ร่างเอาไว้ นางฝืนเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นกลางท้องฟ้ามีราชรถงดงามหลังใหญ่ รอบๆ แผ่ปกคลุมด้วยรัศมีเมฆมงคล มีทหารราชองครักษ์ยืนล้อม หน้ารถมีม่านสีม่วงโปร่งบางพลิ้วตามแรงลม หลังม่านสีม่วงมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง แม้ว่ามองเห็นหน้าไม่ชัด แต่เสวียนจีรู้ว่าย่อมเป็นราชันสวรรค์

ยามนี้ม่านสีม่วงถูกราชันสวรรค์ค่อยๆ แหวกออก สองมือเขาประคองสิ่งหนึ่งไว้ ประทับนิ่งไม่ขยับ

พอเสวียนจีเห็นสิ่งนั้นก็รู้สึกเพียงแค่ร่างกายราวกับถูกทุบอย่างแรงด้วยค้อนขนาดใหญ่จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก เห็นชัดว่าเทพสงครามที่ถูกมัดไว้มีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงยิ่งกว่า นางสั่นเทาไปทั้งตัวราวกับกระด้งฝัดข้าว

นั่นไม่ใช่อาการสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว แต่ทว่าเป็น…ความตื่นตระหนกที่ไม่รู้สาเหตุ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่ไม่อาจระงับได้

สองมือประคองโถผลึกแก้วหลิวหลีสูงราวสามฉื่อ ขอบโถหายไปส่วนหนึ่ง ขอบของรอยแตกเฉียบคมราวกับถูกตัดออกไปด้วยมีดคมกริบ นั่นไม่ใช่โถผลึกแก้วหลิวหลีธรรมดา เพราะมันส่องประกายหมื่นพันแสง ลูกไฟสีราวเปลวเพลิงเจิดจ้า ดูดดึงสายตาให้ทุกคนต้องจมสู่ห้วงภวังค์ ราวกับของล้ำค่าในโถผลึกส่องแสงวาววับ ได้แต่มองจนตะลึงงัน

ในมือยังมีแท่งสำริดท่อนหนึ่ง พอยกขึ้นเคาะลงเบาๆ เคาะที่โถผลึกแก้วหลิวหลีส่งเสียง กริ๊ง ดังเสนาะหู

หน้าอกเสวียนจีราวกับทุบกระแทกเต็มแรง รู้สึกเพียงแค่หน้ามืดไปหมด แอบรู้สึกได้ถึงเทพสงครามที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ค่อยๆ มองไม่เห็นอันใดอีก

ในหูได้ยินเสียงราชันสวรรค์กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เทพสงครามกบฏ จับเข้าคุกสวรรค์ รอไต่สวนลงโทษ”

ดังนั้นนางทำความผิดมหันต์ที่ไม่อาจให้อภัยได้เช่นนี้ ถูกจับเข้าคุกสวรรค์ ถูกลงโทษให้ลงไปเกิด ผ่านมาสามสี่ภพชาติ แต่ความแค้นก็ไม่จางหาย ทุกชาติผ่านพ้นไปอย่างเลอะเลือน จุดจบสุดท้ายไม่ใช่ตนเองปลิดชีพตนเอง ก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต จิตเอาแต่คิดสังหาร สุดท้ายถูกจับลงแดนปรภพ มหาเทพโฮ่วถู่ออกหน้าปิดผนึกจิตรับรู้นางก่อนหน้าทั้งหมด ให้นางมีชีวิตใหม่ดังผลึกแก้วหลิวหลี เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือ! ทั้งหมดที่พวกเขาทำกับนางก็เป็นอันจบกันไป?

อะไรเรียกว่ามหาเทพโฮ่วถู่ผู้ทรงปัญญา อะไรเรียกว่าผู้พิพากษาโจวตั้งใจสอนสั่ง! อะไรเรียกว่าไป๋ตี้สูงส่งบริสุทธ์! อะไรเรียกว่าราชันสวรรค์ทรงเปี่ยมพระเมตตา!

พวกเขาถึงกับเลือกที่จะยกเว้นโทษผิดนางทั้งหมด แต่มาตอนนี้ถึงกับยังประกาศความผิดนางอีก!

เสวียนจีพลันลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าคือตำหนักข้าง เบื้องหน้าคือม่านแพรไหมพลิ้วบาง หน้าผืนม่านมีกระถางสำริด ในกระถางมีไม้กำยานกลิ่นกรุ่นกำจาย เงาคนหลังม่านเลือนรางผู้นั้นก็คือราชันสวรรค์

เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านแม่ทัพรู้แล้วใช่ไหม”

เสวียนจีสูดหายใจเข้า ยกมือปาดใบหน้าเบาๆ รู้สึกได้ว่าเต็มไปด้วยน้ำตา

นางน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เป็นพวกท่าน…หลอกข้า!”

ราชันสวรรค์ทอดถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “แดนสวรรค์ทำผิดก่อน ไม่มีข้อแก้ตัวใดจริงๆ”

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านบอกเรื่องพวกนี้ข้า ไม่กลัวข้าจะก่อเรื่องอีกครั้ง?! หรือว่าท่านเสแสร้งทำอ่อนน้อมก่อน เพื่อให้ข้าอภัยให้พวกท่าน?!”

ราชันสวรรค์เงียบ ไม่ตรัสอันใด นางพลันหัวเราะเยียบเย็นกล่าวว่า “ข้าลืมไป ท่านมีของวิเศษในมือ เพียงเคาะโถผลึกแก้วหลิวหลี ข้าก็ขยับไม่ได้ ท่านไม่เอาออกมาจัดการข้าตอนนี้ล่ะ”

ราชันสวรรค์กล่าวอ่อนโยนว่า “เรื่องที่เกิดในวันวานเป็นเพราะเหตุการณ์บังคับ ตอนนี้ท่านแม่ทัพลงไปผ่านเคราะห์กรรมมา จิตใจและสติปัญญากระจ่าง เราย่อมไม่ใช้ของนั่นอีก กลับกัน เรากะว่าจะคืนให้ท่านแม่ทัพ”

“วาจาสวยหรูลวงหลอก!” เสวียนจียิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง ยกมือจะกระชากม่านแพรไหมผืนบางออก น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ท่านปิดม่านนี้ไว้ทำไม!”