บทที่ 341 ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
เมื่อมีแผ่นยันต์กระบี่โค้งมังกรบินอยู่ในการครอบครอง ถังกู่จินก็สามารถต่อกับมือกระบี่ขั้นปรมาจารย์ได้ทุกระดับชั้น
แต่ประเด็นสำคัญในการครอบครองแผ่นยันต์แผ่นนี้ไม่ได้อยู่ที่พลังทำลายล้างของมัน แต่อยู่ที่สถานะทางการเมืองของผู้ครอบครองแผ่นยันต์ต่างหาก
แผ่นยันต์กระบี่โค้งมังกรบินเป็นตัวแทนของเซียนกระบี่โจวหลูอี้
เขาคือหนึ่งในเจ็ดเซียนกระบี่ในตำนานของเมืองไป๋หยุน
แม้แต่ไป๋ไห่ชินซึ่งเป็นหนึ่งในสามเซียนกระบี่ยุคปัจจุบันของเมืองไป๋หยุน ก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อโจวหลูอี้เป็นอย่างสูง
จักรวรรดิเป่ยไห่ในปัจจุบันนี้ มีเซียนกระบี่ที่ได้รับการยกย่องอยู่ทั้งหมด 6 คน เป็นผู้คนที่อยู่ในเมืองไป๋หยุน 2 คน เป็นเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดูแลเมืองลับแลที่ไหนสักแห่งชั่วคราวอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลือนอกจากนั้น ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์บัลลังก์อยู่ในวังหลวง
เซียนกระบี่เหล่านี้นอกจากมีฝีมือเก่งกล้า สถานะทางการเมืองยังสูงส่ง
พวกเขาเปรียบเสมือนเสาหลักผู้ค้ำจุนจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างแท้จริง
ในอดีต โจวหลูอี้เคยทำงานรับใช้กองทัพและร่วมรบในสงครามอย่างดุเดือด จนได้รับการขนานนามให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามของจักรวรรดิเป่ยไห่ กล่าวได้ว่าเขาเป็นมือกระบี่ที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดของกองทัพ ก่อนที่จะถึงยุครุ่งเรืองของหลินจิ้นหนานผู้เป็นบิดาของหลินเป่ยเฉิน
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ นายทหารทุกคนของจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็ยังคงต้องเคารพบูชาโจวหลูอี้ไม่ต่างจากเทพเจ้า
และสองพี่น้องตระกูลหลิงก็เป็นนายทหารจากกองทัพเช่นกัน
เมื่อเห็นแผ่นยันต์กระบี่โค้งมังกรบินลอยขึ้นไปในอากาศ แม้แต่หลิงฉือก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้
ถังกู่จินสามารถครอบครองของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร?
โจวหลูอี้มีตัวตนสูงส่งถึงขนาดนั้น เหตุไฉนถึงมาเกี่ยวข้องกับตัวชั่วร้ายอย่างถังกู่จิน?
ทันใดนั้น หลิงฉือเริ่มเกิดความลังเลใจขึ้นมาแล้ว
ในฐานะนายทหาร เขาไม่สามารถดูหมิ่นผู้ครอบครองแผ่นยันต์ของเซียนกระบี่โจวได้เด็ดขาด
หากเขาล่วงเกินผู้ครอบครองแผ่นยันต์ นั่นเท่ากับว่าหลิงฉือจะละเมิดต่อหลักการมือกระบี่ของกองทัพแล้ว
“ประเสริฐมาก”
หลิงฉือตัดสินใจได้โดยเร็วและถอยเท้ากลับไป
เขามองหน้าถังกู่จินสลับกับมองแผ่นยันต์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แผ่นยันต์กระบี่โค้งมังกรบินสามารถใช้งานได้แค่ครั้งเดียว เมื่อใช้ออกมาแล้วก็จะหมดอำนาจโดยทันที ข้าจะยอมล่าถอย เจ้าสามารถประหารผู้บริสุทธิ์ได้ตามใจชอบ แต่ในนามของหลิงฉือ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง เมื่อเจ้าก้าวพ้นอาณาเขตเมืองหยุนเมิ่งเมื่อไหร่ ข้าจะสับร่างกายเจ้าเป็นพันๆ ชิ้น เพื่อชดใช้หนี้เลือดที่เจ้ากระทำต่อคนบริสุทธิ์เหล่านี้”
พูดจบแล้ว หลิงฉือก็กระโดดหายวับไปในอากาศ
ถังกู่จินอดรู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้
เขารู้ดีว่าหลิงฉือจะต้องทำตามที่พูดแน่นอน
เขาไม่อยากจะนำแผ่นยันต์กระบี่โค้งมังกรบินออกมาใช้งานเลย
แต่พวกตระกูลหลิงมีฝีมือไม่ธรรมดา
แผ่นยันต์ของเซียนกระบี่โจวสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เขาได้ชั่วคราว
ปัญหาเฉพาะหน้าจบลง ปัญหาต่อจากนี้ ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน
เกาทัณฑ์เมื่อถูกยิงออกไปแล้ว ก็ไม่สามารถรั้งคืนกลับมาได้อีก
ถังกู่จินจิตใจอำมหิตมาแต่ไหนแต่ไร เขาต้องการจะแสดงพลานุภาพของแผ่นยันต์ให้เต็มที่
แสงสว่างสีเหลืองทองเปล่งประกายออกมาจากแผ่นยันต์เก่าแก่
“ใครที่ขัดคำสั่งข้า มันจะต้องตาย” ถังกู่จินตะโกนออกมาเสียงดัง
วูบ!
แล้วพลังลมปราณลักษณะกึ่งโปร่งแสง ก็พุ่งออกมาจากแผ่นยันต์ด้านที่เขียนตัวอักษรคำว่ากระบี่โค้ง มันเปลี่ยนแปลงรูปทรงกลายเป็นกระบี่ห้าเล่มพุ่งออกไปปักบนพื้นเวที กักบริเวณพวกของหลิงไท่ซวี หลิงจุนเซวียนและหลิงอู๋อยู่ตรงกลาง
“ไม่ได้การแล้ว”
หลิงอู๋สีหน้าแปรเปลี่ยน เขาชักกระบี่ออกมายังไม่ทันได้ฟาดฟันด้วยซ้ำ
วูบ!
พลังลมปราณที่หนาแน่นพุ่งเข้ามากระแทกกระบี่ในมือของเขาลอยกระเด็นออกไป
หลิงจุนเซวียนก็ชักกระบี่ออกมาแล้วเช่นกัน แต่อาวุธของเขาก็ถูกลำแสงจากกระบี่ที่อยู่รอบตัว ยิงเข้าใส่จนมันหลุดลอยกระเด็นไปไกล
พวกเขาทั้งสามคนไม่เหลืออาวุธติดตัวอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ คำว่ากระบี่โค้งบนแผ่นยันต์ก็เลือนหายไปโดยสมบูรณ์
พื้นที่ด้านนั้นของแผ่นยันต์ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
ราวกับว่าไม่เคยมีถ้อยคำใดถูกเขียนมาก่อน
ถังกู่จินหัวเราะในลำคอ หันหน้ามาออกคำสั่งว่า “อาจารย์ไป๋ ซางหยาน ทำตามแผนเดิม… ออกคำสั่งให้จุดไฟเผาพวกสาวกปีศาจเดี๋ยวนี้”
“ขอรับใต้เท้า” เลือดที่เคยไหลออกมาจากบาดแผลทั่วตัวอู๋ซางหยานบัดนี้ได้หยุดลงแล้ว
เขากระโดดลงไปยืนหน้ากองฟืนที่พวกของฉู่เหินถูกจับมัดกับเสาไม้ แล้วองครักษ์หนุ่มก็แย่งคบเพลิงมาจากเจ้าหน้าที่ ก่อนจะโยนมันลงไปบนกองฟืนโดยทันที
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสว
“บัดซบ…” ฉู่เหินร้องเสียงหลง “คนมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องเผาพวกข้าก่อนด้วย”
ในเวลาเดียวกันนี้ เปลวเพลิงได้ลามเลียมาถึงใต้เท้าของพวกเขาแล้ว
“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ข้า…”
เยว่หงเซียงร้องตะโกนออกมาด้วยความหมดหวัง เมื่อเห็นว่าเปลวไฟลุกลามมาถึงข้างกายมารดาของนางแล้ว แต่เด็กสาวก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้น้ำตาไหลพราก
ในหัวใจของชาวเมืองเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ชายฉกรรจ์หลายคนส่งเสียงร้องตะโกนและอยากจะวิ่งมาช่วยเหลือ
แต่พวกเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่มือปราบขัดขวางเอาไว้
“ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องบุกรุกเข้ามา ให้ฆ่าทิ้งได้โดยทันที” ไป๋ไห่ชินคำรามเสียงดังปานฟ้าผ่า เพียงเขาระเบิดพลังลมปราณ ชาวเมืองหลายสิบชีวิตที่วิ่งเข้ามาก็ลอยกระเด็นกลับออกไป
“หยุดเดี๋ยวนี้” พลันเสียงคำรามที่แสนสดใสดังขึ้น
เงาร่างของใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ
หลังจากส่งไป๋ชินหยุนกลับที่พักเรียบร้อย เยว่เว่ยหยางก็เฝ้าสังเกตการณ์มาตลอด ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ต้องละเมิดคำสั่งของนักพรตหญิงชิน ชักกระบี่ออกมาตัดเชือกที่พันธนาการมารดาของเยว่หงเซียงออกจากเสาไม้ หญิงชราจึงสามารถหลบหนีออกมาจากเปลวไฟได้อย่างเฉียดฉิว…
“บังอาจนัก” อู๋ซางหยานคำรามด้วยความฉุนเฉียว “การลงทัณฑ์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เจ้ากล้าดีอย่างไรมาปลดปล่อยผู้คน… นี่คือการกระทำที่ผิดต่อหลักการของวิหารเทพกระบี่ ไม่สามารถให้อภัยได้เด็ดขาด”
ทันใดนั้น กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบพร้อมใจกันชักกระบี่ออกมาจากฝัก เงาร่างของพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็มาห้อมล้อมเยว่เว่ยหยางอยู่ตรงกลาง
แต่นักบวชสาวไม่ได้หวาดกลัว นางคำรามสวนกลับไปเสียงแข็งกระด้าง “ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าคิดสังหารผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ข้าเป็นนักบวชของวิหารแห่งนี้ ย่อมทำตามประสงค์ขององค์เทพเจ้า และนั่นก็คือการหยุดยั้งความโหดร้ายของพวกเจ้าให้ได้!”
ขณะนี้ ปีกกระบี่ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเยว่เว่ยหยางแล้ว
เส้นผมของนางปลิวไสว ทั่วร่างกายระเบิดลำแสงเป็นประกายเจิดจ้า ดูศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งไม่ต่างจากเทพธิดาแห่งสวรรค์
บรรดาเจ้าหน้าที่มือปราบรอบตัวเริ่มเกิดความลังเลขึ้นมาแล้ว เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่ง
อู๋ซางหยานก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
การลงมือของเยว่เว่ยหยางทำให้สถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมอีกครั้ง
แววตาของถังกู่จินพลันเต็มไปด้วยความเดือดดาลใจ ความอดทนของเขามาถึงขีดสุดแล้วตอนที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นักบวชน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่? ได้โปรดหลีกทางไปซะ!”
หลังจากนั้น เขาก็โคจรพลังใส่แผ่นยันต์อีกครั้ง
คราวนี้ ตัวอักษรที่เหลืออยู่บนด้านหลังของแผ่นยันต์ก็ระเบิดลำแสงเป็นประกายสีทองอร่ามออกมา มันเปลี่ยนรูปทรงเป็นกระบี่กลางอากาศ และพุ่งตรงเข้าไปหาเยว่เว่ยหยางด้วยความหนักหน่วงรุนแรง
วูบ!
เยว่เว่ยหยางมีเวลาเพียงชักกระบี่ออกมาป้องกันร่างกาย แต่นางก็ถูกกระบี่สีทองนั้นกระแทกจนลอยกระเด็นออกไป
นักบวชสาวผู้ช่วยชีวิตมารดาของเยว่หงเซียงลอยกระเด็นออกไปไกลนับสิบวา ก่อนจะตกกระแทกพื้นตรงหน้าชาวเมืองที่มารวมตัวกันอยู่ในจัตุรัส
ทุกคนกระจายตัวออกห่างโดยไม่รู้ตัว
เมื่อร่างของเยว่เว่ยหยางกระแทกพื้นดิน ปีกกระบี่บางส่วนบนแผ่นหลังของนางก็หักกระจัดกระจาย
นั่นทำให้ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องได้รับลูกหลงจากใบมีดของนาง เลือดสาดกระจายในอากาศ เพียงพริบตาเดียว ก็มีผู้บริสุทธิ์ต้องลงไปนอนจมกองเลือดหลายสิบคน
เยว่เว่ยหยางยันตัวลุกขึ้นยืน กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่
ความโกรธแค้นทำให้นางตัวสั่นเทา
นักบวชสาวไม่เคยคิดเลยว่าในโลกใบนี้จะมีคนที่จิตใจชั่วร้ายอย่างถังกู่จินอยู่จริงๆ
เห็นได้ชัดว่าถังกู่จินตั้งใจทำให้นางกระเด็นตกลงมาที่จุดนี้ เพื่อให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากปีกกระบี่ของนาง
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าคนเดียว คนบริสุทธิ์จำนวนมากถึงต้องได้รับอันตราย” ถังกู่จินหัวเราะเยาะและกล่าวต่อไปว่า “นักบวชน้อย เจ้าเข้ามาช่วยเหลือสาวกปีศาจ เพราะฉะนั้น วันนี้เจ้าก็ต้องถูกจับไปเผาไฟด้วยเช่นกัน”
ตัวอักษรที่เหลืออยู่บนแผ่นยันต์ระเบิดแสงสว่างอีกครั้ง
มันพวยพุ่งออกมาเป็นกระบี่ไฟเล่มหนึ่ง มีความดุดันและร้อนแรงน่าหวาดกลัว
ความร้อนนั้นทำให้เยว่หงเซียงซึ่งมีระดับพลังต่ำต้อยที่สุดในกลุ่มคน ทนไม่ไหวต้องกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาน
สถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤตร้ายแรง
ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะจบลงที่คำว่าหายนะ
เยว่เว่ยหยางยกมือปาดเลือดออกจากมุมปาก และขยับร่างมายืนบังมารดาของเยว่หงเซียงที่ล้มลงเกือบหมดสติอยู่บนพื้น
นักบวชสาวกำมือเป็นหมัด
“เจ้ามีชื่อว่าถังกู่จินใช่ไหม? ประเสริฐ จงเบิกตาดูให้ดี เดี๋ยวเจ้ากำลังจะได้รู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร”
ดูเหมือนว่าเยว่เว่ยหยางจะตัดสินใจบางอย่างแล้ว
แม้มันจะมีราคาที่นางต้องจ่ายอย่างสูงลิบก็ตาม
ทว่า ในโมงยามแห่งความเป็นความตายนั้นเอง…
ใครคนหนึ่งก็เดินแหวกกลุ่มคนดูเดินเข้ามาวางมือไว้บนไหล่ของนักบวชสาว
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เสียงพูดที่แสนอบอุ่นนั้น
เยว่เว่ยหยางสั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้วหรือ?