ตอนที่ 260 ส่งคืนกระบี่

บุตรอสูรบรรพกาล

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 260 ส่งคืนกระบี่

 

“ลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่ ช่างดีจริงๆ” หลังจากฟังเรื่องราวจากพยัคฆ์อัสนี หวังเย่หลิงก็พยายามเช็ดน้ําตาของตนเอง แต่ไม่ว่าจะซับไปเท่าไหร่น้ําตาของนางก็ยังไหลไม่หยุดอยู่ดี

 

“ทําไมเจ้าไม่หนีออกไปเล่า มังกรคู่นี้ก็น่าจะพอให้เจ้าหนีได้แล้วไม่ใช่หรือ” พยัคฆ์อัสนีถามพลางมองเจ้ามังกรสีดํา และขาวที่ลอยอยู่บนหัวตนเอง พวกมันมีพลังสูงกว่าพยัคฆ์อัสนีเสียอีก ซึ่งพยัคฆ์อัสนีไม่คิดว่าจะมีมนุษย์ต่อต้านพวกมันทั้งสองได้ไม่กี่คนนักหรอก

 

“ไม่ได้หรอก” หวังเย่หลิงตอบพลางยื่นฝ่ามือให้พยัคฆ์อัสนีดู มือของนางมีรอยสีฟ้าปรากฏอยู่ตั้งแต่ข้อมือลามเข้าไปในเสื้อผ้า จึงไม่ทราบว่ารอยนั่นลามไปถึงไหนกันแน่ แต่แค่ที่เห็นภายนอกพยัคฆ์อัสนีก็เข้าใจทันทีว่าเย่หลิงหมายถึงอะไร

 

“ข้าโดนวิชาจิตภูติอุดรเข้าไป ตอนนี้หากไม่ได้ยาที่หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตทําทุกวันก็จะตายทันที” หวังเย่หลิงส่ายหน้าเบาๆพลางวางแขนของตัวเองลง หากไม่ได้รับยา ยามพระอาทิตย์ตกดินนางจะทรมานอย่างมาก บางครั้งรู้สึกราวกับจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ํา มีเพียงยาของหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตเท่านั้นที่บรรเทาอาการเย็นยะเยียบนี้ได้ เพราะผู้ที่ทําให้นางมีอาการเช่นนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตนั่นเอง

 

“ถ้าเช่นนั้นไปกับข้า ข้ามีพี่ชายตนหนึ่งที่น่าจะสามารถรักษาเจ้าได้” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางทําท่าจะพังหน้าต่างของศาลาเข้าไป

 

“เจ้าเดินทางไปหาพี่ชายเจ้าได้ใน 1 วันงั้นหรือ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนไปจับตัวเจ้ากลับมาใช้เวลาร่วม 3 เดือนเชียวนะ ต่อให้เป็นขาไปอย่างเดียวก็ต้องเดือนครึ่งเข้าไปแล้ว”มังกรสีขาวสวนออกมาทันที ไม่ช่าว่ามันไม่อยากพาเย่หลิงหนี แต่หากพาหนีแล้วรักษาอาการที่ว่าไม่ได้ใน 1 วันพวกมันก็เท่ากับฆ่าเย่หลิงด้วยตนเองนะสิ

 

“เรื่องนั้น…” พยัคฆ์อัสนี้เงียบไปครู่หนึ่ง แม้จะใช้ร่างสายฟ้า แต่ระยะทางขนาดนั้นไม่มีวันไปถึงใน 1 วันโดยต้องพามนุษย์คนหนึ่งติดไปด้วยแน่ๆ หรือมันจะไปคนเดียวดี ไม่ ไม่ได้ พวกมันขู่เอาไว้ว่าหากพวกมันหนีไปจะทรมานเย่หลิง ซึ่งอสูรทั้งหมดรวมทั้งพยัคฆ์อัสนีเองก็ไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่ๆ ยิ่งได้รู้ว่าเย่หลิงคือมารดาที่แท้จริงของไป๋จูเหวินมันยิ่งไม่มีทางยอม

 

“เจ้าออกมาทําอะไรที่นี่”อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมาที่ประตูทางเข้า เพราะมัวแต่ครุ่นคิดเรื่องที่จะแก้ปัญหาของเย่หลิง มันเลยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา

 

“ท่านรองท่านก็น่าจะทราบว่าอสูรทนแรงดึงดูดของข้าไม่ได้”เย่หลิงรีบตอบพลางมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา

 

“แต่มันก็หนีออกจากกรงอยู่ดี” คนที่ถูกเรียกว่าท่านรอง พูดพลางเดินมายืนอยู่ตรงหน้าพยัคฆ์อัสนี ทันทีที่เห็นพยัคฆ์อัสนีเริ่มมีท่าที่จะจู่โจมมันก็ชูสิ่งๆหนึ่งขึ้นมา

 

“นี่คือยาที่จะทําให้หวังเย่หลิงไม่ตาย หากเจ้าโจมตีเข้ามา ข้าจะทําลายทิ้ง”ชายคนนั้นว่าพลางยื่นยาเม็ดนั้นให้เย่หลิง

 

“แน่นอน ว่าถ้าโจมตีข้าตอนนี้ ยาในวันต่อไปก็อย่าหวังเลย” พูดจบ มันก็มองพยัคฆ์อัสนีตั้งแต่หัวจรดเท้า มันไม่ทราบว่าพลังของพยัคฆ์อัสนี้อยู่ระดับไหน แต่สามารถหนีออกมาจากคุกใต้ดินได้โดยไม่มีคนรู้เลยแสดงว่ามันไม่ธรรมดาเหมือนกัน

 

“มันอยู่ระดับเดียวกับ เทียนหลิง และเย่หลิง”เย่หลิงพูด พลางมองไปทางมังกรทั้งสองตัวที่ลอยอยู่บนฟ้า แน่นอนว่าพวกมันแสดงท่าที่ไม่พอใจนิดหน่อย เพราะจริงๆแล้วพวกมันอยู่ระดับเหนือกว่าพยัคฆ์อัสนี

 

“งั้นหรือ เยี่ยมไปเลย”ได้ยินเช่นนั้นรองหัวหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เท่านี้พวกมันก็ได้ขุมกําลังเพิ่มแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก

 

“แล้วก็อย่าลืมล่ะ”รองหัวหน้าว่าพลางยื่นมือเข้าไปในหน้าต่างก่อนจะดึงเส้นผมของเย่หลิงขึ้นมาลูบคลําเบาๆ

 

“เป็นเพราะข้าขอร้องท่านหัวหน้าให้ไว้ชีวิตเจ้า เจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ได้”รองหัวหน้าหัวเราะพลางเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี เห็นท่าทีของมันเช่นนั้นแล้วก็ทําเอาเย่หลิงได้แต่กัดฟันแน่น

 

“อยู่แบบนี้สู้ตายไปซะดีกว่า”เย่หลิงว่าพลางหันหลังให้กับหน้าต่าง นางถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเอาอสูรมาสร้างกองทัพ นางต้องทนเห็นเหล่าอสูรที่นางรักโดนจับมาขังตนแล้วตนเล่าทําเอานางแทบจะทนไม่ได้

 

“อย่าพูดเช่นนั้น” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางนั่งลงที่ข้างๆหน้าต่างอย่างช้าๆ

 

“หากเจ้าตายจูเอ๋อ…บุตรชายของเจ้าจะเสียใจแน่ๆ ข้าจะพยายามหาทางพาเจ้าออกไปเอง” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางกําหมัดแน่น

 

“องค์จักรพรรดิ” ขณะเดียวกันในวังหลวงของอาณาจักรซิน อยู่ๆทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในท้องพระโรงที่ยังมีเหล่าขุนนางประชุมกันอยู่เต็มห้อง

 

“มีอะไร ทําไมเจ้าถึงรีบร้อนนัก” องค์จักรพรรดิถามพลางมองท่าทีของทหารที่พึ่งวิ่งเข้ามา

 

“มีชายคนหนึ่งมาขอพบท่านขอรับ” ทหารคนนั้นว่าพลางมองไปทางประตูที่ตนพึ่งวิ่งเข้ามา

 

“แล้วทําไมเจ้าต้องรีบร้อนขนาดนั้น มันเป็นใครกัน” องค์จักรพรรดิถามพลางถอนหายใจออกมา แค่คนมาขอพบทําไมต้องทําท่าร้อนรนปานนั้น

“มันอ้างว่าเป็นคนในราชวงศ์ชินขอรับ และยังนํากระบี่ทองราชวงศ์ชินมาด้วย”ได้ยินเช่นนั้นองค์จักรพรรดิก็ขมวดคิ้วนุ่น กระบี่ที่ว่าเป็นตํานานของแผ่นดิน ทําให้คนทั้งอาณาจักรทราบเรื่องนี้ดี สิ่งแรกที่องค์จักรพรรดิคิดคือพวกหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถอ้างตัวว่ามีกระบี่ทองราชวงศ์ชินได้กันทั้งนั้น

 

“พามันเข้ามา” จักรพรรดิว่าพลางลุกขึ้น ไม่ใช่ว่ามันเชื่อ แต่หากคนที่มาโกหก มันจะลงโทษและประจานกลางเมืองซะ

 

ตึง!! ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกระบี่สีทองที่ประดับตกแต่งอย่างงดงาม เพียงแต่ชายหนุ่มคนนั้นหาใช้ไป๋จูเหวินไม่

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ทองราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิถามพลางมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยท่าที่นิ่งเฉย ระดับพลังของมันอยู่เพียงชําระกระดูกไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอายุ

 

“ขอรับ นี่คือกระบี่ทองราชวงศ์ชิน บิดาของข้ามอบให้ข้า และบอกว่าจริงๆแล้วพวกเราสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชิน” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นกระบี่ทองไปด้านหน้า

 

กระบี่สีทองที่ประดับอย่างสวยงาม การตกแต่งนั้นตรงตามตํานานทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนทําให้เหล่าขุนนางที่อยู่ รอบๆพากันยิมออกมา

 

“ฮาๆ กระบี่ทองตามตํานานจริงๆด้วย”องค์จักรพรรดิหัวเราะพลางเดินลงมาจากบัลลังก์ ก่อนที่มันจะรับกระบี่มาจากชายหนุ่มตรงหน้า มันชักกระบี่ออกมาพลางมองคมกระบี่อย่างสนใจ กระบี่ถูกตีออกมาจากทองจริงๆ แถมยังมีสลักคําว่า ชิน เอาไว้จริงๆเสียด้วย

 

ฉับ! จักรพรรดิฟันกระบี่ใส่แขนของชายที่เอามาทําเอามือของมันขาดออกจากกันพร้อมหน้างงงวยของชายหนุ่ม

 

ตูมๆๆๆ !! ก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดลงมือทําอะไรทหารองครักษณ์ก็พุ่งเข้ามากดร่างของชายหนุ่มเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้

 

“คิดว่ากระบี่ราชวงศ์เป็นกระบี่ที่หลอมจากทองที่มีในเหรียญทองหรือยังไง”องค์จักรพรรดิว่าพลางฟาดกระบี่ลงพื้น ด้วยความเปราะของทองทําให้มันงอในพริบตา ถือว่าเป็นความโชคดีของราชวงศ์ชินก็ได้ที่ผู้วาดตํานานของกระบี่ทองนั้นแต่งแต้มเสริมแต่งจนกระบี่ในตํานานมีรูปร่างไม่เหมือนกระบี่ราชวงศ์ชินจริงๆเลย ผู้ที่รู้ว่ากระบี่ทองราชวงศ์ชินนั้นจริงๆแล้วมีรูปร่างเช่นใดมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นและส่วนใหญ่ก็เป็นผู้มีอํานาจในราชวงศ์ทั้งสิ้น แต่ที่สังเกตง่ายที่สุดคือตัวกระบี่ แม้จะเป็นสีทองสุกสะกราว แต่ไม่ได้ตีจากทองจริงๆ มันตีมาจากโลหะที่ชื่อว่าโลหะอาบตะวัน สีของมันเหมือนทองและให้แสงที่อบอุ่นอย่างมาก และที่สําคัญมันแข็งแกร่งมากจนกลายเป็นกระบี่อันดับต้นๆของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“เอามันไปซึ่งประจานที่กลางเมืองหลวง เขียนอักษรตัวโตๆว่ามันคือผู้แอบอ้างเป็นผู้ถือครองกระบี่ทองราชวงศ์ซิน”องค์จักรพรรดิพูดด้วยท่าที่เกรียวโกรด พร้อมส่งกระบี่ทองให้กับพวกองครักษ์ของถูกๆเช่นนี้มีราคาไม่ถึง 1000 เหรียญทองเสียด้วยซ้ํา

 

“องค์จักรพรรดิ” อยู่ๆทหารอีกคนก็เข้ามาพร้อมทําท่าจะรายงานบางอย่าง

 

“มีอะไรอีก” องค์จักรพรรดิว่าพลางเดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์อีกครั้ง

 

“มีชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นคนของราชวงศ์ชินขอรับ และมันยังเอากระบี่ทองราชวงศ์ชิงมาด้วย” ราวกับบทท่องที่เตรียมมาด้วยกัน วันนี้ได้เจอมิจฉาชีพถึง 2 คนเลยงั้นหรือ

 

“เอาเจ้านี้ไปซ่อนไว้อีกห้อง จะได้เอาไปซึ่งประจานพร้อมกัน” องค์จักรพรรดิถอนหายใจออกมาพลางเท้าบัลลังก์อย่างเหนื่อยใจ ปกติจะมีพวกลองดีมาประมานปีละ 2 – 3 คน ไม่นึกว่าวันเดียวจะมีมา 2 คนพร้อมกัน

 

“เจ้านะหรือคือผู้นํากระบี่ราชวงศ์ชินกลับมา”องค์จักรพรรดิว่าพลางพูดด้วยน้ําเสียงเนือยๆ

 

“ขอรับ ท่านพ่อบอกข้าว่าตระกูลของท่านจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้หากนํากระบี่เล่มนี้มาส่งคืน”ไป๋จูเหวินพูดพลางยกกระบี่ขึ้นให้องค์จักรพรรดิได้เห็น

 

“ ”องค์จักรพรรดิที่มีท่าทีเนือยๆมาถึงเมื่อครู่ชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองกระบี่ในมือไป๋จูเหวินนิ่ง ก่อนอื่นเลยตัวไป๋จูเหวินนั้นเป็นยอดฝีมือที่เกือบจะแตะระดับเทียนเซียนอยู่แล้ว ด้วยอายุของมันนับว่าไม่ธรรมดา ยิ่งหญิงสาวที่อยู่ข้างๆนางอยู่ระดับเทียนเซียนไปแล้ว อายุพวกมันแทบจะไม่ต่างกันเลย ไม่นึกว่าจะมีอัจฉริยะแบบนี้อยู่ในอาณาจักรของพวกมันด้วย

 

“ขะ ขอข้าดูกระบี่หน่อย” แต่สิ่งที่ทําให้องค์จักรพรรดิอึ้งไปคือกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามา เมื่อเทียบกับกระบี่ก่อนหน้านี้ การตกแต่งของกระบี่ที่ไป๋จูเหวินนํามางดงามกว่ามาก แม้จะไม่หรูหราเท่า แต่ความละเอียดลออของผลงานนั้นเทียบกันไม่ติดเลย

 

“นี่มัน”องค์จักรพรรดิรับกระบี่มาถือ พลางชักออกมาจากฝัก เพียงเห็นตัวอักษรชินบนกระบี่ มันก็ชะงักค้างไปหลายวินาที โดยเฉพาะเนื้อกระบี่นั้นเป็นโลหะที่สะท้อนแสงสีทองออกมาได้ละมุนยิ่งกว่าทองคําเสียอีก ไม่ผิดแน่ มันคือกระบี่ทองราชวงศ์ชินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

“เจ้าเป็นบุตรชายของใคร”องค์จักรพรรดิถามพลางเก็บกระบี่ไป

 

“บิดาของข้ามีนามว่าชินหลุนขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองกระบี่ที่องค์จักรพรรดิถือเอาไว้ พอเห็นกระบี่มันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที ท่าทางกระบี่เล่มนี้จะใช้ได้กระมัง

 

“ชินหลุน.”องค์จักรพรรดิอึ้งไป ก่อนจะมองไปรอบๆ

 

“ขุนนางทุกท่าน…วันนี้ข้าขอรบกวนให้พวกท่านกลับไปก่อนได้หรือไม่” เห็นท่าทีแปลกๆขององค์จักรพรรดิเหล่าขุนนางก็พากันลิ้งเช่นกัน หรือว่ากระบี่เล่มนั้นจะเป็นของจริงกัน

 

“องค์จักรพรรดิ เช่นนั้นข้าขัวตัวก่อน” ชายคนหนึ่งพูดพลางเดินเข้ามาลาองค์จักรพรรดิ ชายคนนั้นอยู่ในชุดสีแดงเข้มตกแต่งอย่างสวยงาม ดูภายนอกแล้วเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางผอมบาง แต่พลังของมันนั้นกลับสูงจนน่าตกใจ

 

“ขอบคุณที่ท่านสละเวลามาร่วมประชุมท่านหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิต” องค์จักรพรรดิว่าพลางยิ้มบางๆ แต่ไป๋จูเหวินที่อยู่ข้างๆกลับสะดุ้งโหยง ตอนนี้มันยังไม่ทราบว่ามารดายังมีชีวิตอยู่ ในใจของมันจึงตราหน้าหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตว่าเป็นคนสังหารมารดาไปแล้ว ทําให้ไป๋จูเหวินเกิดพลังพุ่งพล่านขึ้นมา

 

“พี่ไป”เหม่ยหลินที่อยู่ข้างๆดึงแขนของไป๋จูเหวินเอาไว้ หากไป๋จูเหวินลงมือตอนนี้ได้เสียแผนแน่ๆ ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าจักรพรรดิเกรงใจหัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตแค่ไหน

 

“ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินลดพลังตนเองลงมาพลางหายใจเข้าลึกๆ ยังไม่ใช่ตอนนี้