หลินหรูส่งสายตาประหลาดใจมองถังซีซึ่งยืนเม้มริมฝีปาก ถังซีรู้ดีว่าหลินหรูอาจยอมรับไม่ค่อยได้กับน้ำเสียงเธอในตอนนี้ เมื่อเธอกล่าวว่า “แม่ยังบาดเจ็บอยู่ เพราะฉะนั้นควรดูแลตัวเองให้ดีก่อนค่ะ ถึงแม่จะอยากไปเจอพวกเขา ไปถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ก็ควรให้หายดีก่อนค่อยทำอย่างนั้น ตงลงไหมคะ”
หลินหรูพยักหน้าอย่างงุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่โหรวโหรวพูดกับเธอยาวๆ และที่โหรวโหรวทำก็เพื่อประโยชน์ของเธอเอง เพื่อปลอบใจเธอ…
หลินหรูรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาฉับพลันจากความขมขื่นที่ซัดมาเป็นระลอก กลับกลายเป็นว่าเธอรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากลูกสาว
ถังซีรู้สึกโล่งอกที่เห็นว่าในที่สุดเธอก็สามารถโน้มน้าวหลินหรูได้สำเร็จ ในอดีตเธอใช้ชีวิตราวกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ เป็นศูนย์กลางของผู้คนรอบตัวตลอดเวลา เธอจึงไม่ค่อยให้ความสนใจกับคนอื่น ไม่ต้องพูดถึงการพยายามเกลี้ยกล่อมหรือปลอบโยนคนอื่นเหมือนตอนนี้เลย
หยางจิ้งเสียนซึ่งหิ้วกล่องอาหารเก็บความร้อนมาด้วย กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉันต้มซุปซี่โครงมาให้ อาหรู เธอไม่ได้ทานอะไรเลยวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเต็มๆ เธอต้องหิวแน่ๆ ทานซุปหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะกลับไปต้มโจ๊กมาให้เธอตอนเที่ยง”
หลินหรูเงยหน้าขึ้นมองหยางจิ้งเสียนและยิ้มให้ เธอซาบซึ้งกับความใจดีของน้องสะใภ้มากๆ “ขอบคุณมากนะ จิ้งเสียน ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอต้องลำบาก”
หยางจิ้งเสียนยิ้มขณะเดินไปที่เตียงหลินหรู เธอวางซุปลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ให้พี่ใหญ่ป้อนให้นะ ฉันขับรถมาเอง เดี๋ยวโหรวโหรวจะไปพบหลินเจียว ฉันต้องไปส่งลูก”
“ขอบคุณนะจ๊ะ จิ้งเสียน”
หยางจิ้งเสียนยิ้มแล้วหันไปหาถังซีซึ่งยืนเงียบอยู่ข้างๆ และกล่าวอย่างอ่อนโยน “เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว”
หลังจากถังซีกับหยางจิ้งเสียนออกจากห้องคนไข้ หลินหรูก็หันไปมองเซียวหงอี้ เม้มปากก่อนจะถามว่า “พวกนั้นทุกคนอยู่ที่สถานีตำรวจเหรอ”
เซียวหงอี้พยักหน้า ขณะเปิดกล่องเก็บความร้อน เทน้ำซุปใส่ลงในถ้วย แล้วเริ่มใช้ช้อนตักป้อนหลินหรู เขาตอบว่า “แม่กับจิ้นหนิงถูกตำรวจนำตัวไปที่นั่น ส่วนพ่อ โหรวโหรวขอให้เซียวจิ่งกับเซียวส่าเฝ้าไว้ ทานซุปเถอะ ไม่ต้องกังวล ดูแลตัวเองก่อน พยายามฟื้นร่างกายให้หายโดยเร็วที่สุด”
หลังจากกล่าวจบเขาก็ป้อนหลินหรูต่อไป หลินหรูมองหน้าเซียวหงอี้ขณะซดน้ำซุป เมื่อทานใกล้หมดหลินหรูก็ถามขึ้นเบาๆ “คุณดีใจไหม ที่รู้ว่าเถาเยี่ยนและหลินรั่วจื้อไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดฉัน”
เซียวหงอี้หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางช้อนลงในถ้วย แล้ววางถ้วยลงบนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นก็มองหน้าหลินหรูพร้อมกับเม้มริมฝีปากแล้วตอบว่า “อาหรู พูดตามตรงนะ ผมรู้สึกโล่งอกจริงๆ ตอนที่เห็นรายงานผลการตรวจพิสูจน์เมื่อวานนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคุณดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาไม่เคยพอใจ…” เซียวหงอี้เริ่มขุ่นเคืองขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเขาเริ่มแดงขณะกล่าวต่อไป “คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไงตอนที่เห็นคุณถูกเถาเยี่ยนผลักตกบันได ผมรู้สึกหมดความอดทน ผมอยากตรงเข้าไปฆ่าพวกเขา…”
ในความเป็นจริงเวลานั้นเขาทำอย่างนั้นไปแล้วจริงๆ เขาพุ่งตัวเข้าไปด้วยความตั้งใจจะผลักเถาเยี่ยนให้ตกบันไดลงไป ให้นางได้รู้ถึงความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่หลินหรูได้รับ แต่เซียวหงลี่กับหยางจิ้งเสียนห้ามเขาไว้ บอกให้รีบพาหลินหรูมาโรงพยาบาล และเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วนั่นแหละเขาจึงค่อยสงบลง
แต่เมื่อสงบลงแล้วเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะคนสองคนนั้นเป็นพ่อแม่เธอ เขาจะทำอะไรคนพวกนี้ได้
แม้เขาจะเป็นคนที่ฝักใฝ่ในเงินและอำนาจ แต่เขาก็รักหลินหรูด้วยใจจริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แต่งงานกับหลินหรู พนักงานฝึกหัดที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และเริ่มทำงานครั้งแรกในบริษัทเขา เขาเลือกเธอแม้จะมีสายตาจ้องมองแปลกๆ จากคนอื่นก็ตาม
ต่อมาหลังจากนั้นหลินหรูก็แสดงให้เห็นว่าเธอทำงานเก่ง สร้างผลงานดีเด่น ช่วยเขาพัฒนาบริษัทให้เจริญก้าวหน้า เธอกลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ และแสดงออกถึงความสามารถในการทำงานได้แข็งแกร่งกว่าเขา บางครั้งเธอดูมีความสามารถมากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ความรักที่เขามีต่อเธอนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ขณะเห็นเธอกลิ้งตกบันไดเขารู้สึกว่าหัวใจเขาหยุดเต้นไปแล้ว เขาต้องการให้เธออยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ดูแลเขา หรือแม้จะอยู่กันไปทะเลาะกันไปก็ตาม เขาไม่เคยอยากให้เธอจากเขาไปแบบนั้น
เมื่อเห็นอารมณ์บนใบหน้าเซียวหงอี้ หลินหรูก็จับมือเขาไว้และยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฉันก็เหมือนกันค่ะ เมื่อกี้ตอนที่ได้ยินว่าสองคนนั้นไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของฉัน ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ฉันคิดว่า ‘ดีแล้วที่พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ฉัน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ฉันจะเป็นเด็กกำพร้า ครอบครัวของฉันจะได้ไม่เลวร้ายเหลือทนอย่างที่ฉันเคยคิด อย่างน้อยที่สุดฉันก็เติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีพ่อแม่ดูแล”
ขณะกล่าวเช่นนี้ดวงตาเธอค่อยๆ หม่นลง เธอยิ้มหยันตัวเองแล้วกล่าวต่อไป “แต่ทุกครั้งที่ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉัน โหรวโหรวของฉันถึงต้องทนทุกข์ทรมานมานานกว่า 20 ปี ฉันรู้สึกเป็นทุกข์มาก ฉันเกลียดที่ตัวเองต้องเกี่ยวพันอยู่กับครอบครัวแบบนี้!”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไร ทุกอย่างจบลงแล้ว” เซียวหงอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ขณะเช็ดน้ำตาที่หางตาให้หลินหรู “ตอนนี้โหรวโหรวของเราได้สร้างชีวิตที่ดีให้กับตัวเองแล้ว คุณเห็นไหมเธอเพิ่งกลับมา แต่เธอมีพ่อแม่อีกคู่หนึ่งที่รักเธอ และเธอได้รับความรักมากมาย คุณควรจะมีความสุขสิ จริงไหม”
หลินหรูยิ้ม พยักหน้าให้เซียวหงอี้ เมื่อเห็นภาพนี้จากประตูทางเข้า ถังซีก็ทำปากยื่นแล้วยิ้มออกมา เธอได้เห็นแล้วว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันเพราะความรักที่แท้จริง ดูเหมือนว่าเซียวหงอี้ไม่ใช่คนเห็นแก่เงินเหมือนบุคลิกที่เขาเป็น ถ้าเขาเป็นคนเห็นแก่เงินจริงๆ เขาจะต้องหาผู้หญิงที่มีภูมิหลังแบบเดียวกันกับเขามาแต่งงาน แทนที่จะเป็นหลินหรู ซึ่งมีพื้นฐานครอบครัวที่แย่มาก
ขณะยืนรออยู่ที่โถงทางเดินและเห็นถังซียิ้มออกมาแบบนี้ หยางจิ้งเสียนก็ยื่นมือมาหาลูกสาวแล้วกระซิบ “จริงๆ แล้ว ทุกคนมีความรักที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นรักพ่อแม่ รักคู่สามีภรรยา หรือรักลูก และความรักที่ได้รับการดูแลใส่ใจด้วยหัวใจจากใครก็ตาม คือความรักที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนที่สุด”
ถังซียิ้ม ควงแขนหยางจิ้งเสียนเดินออกไปข้างนอก แล้วหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “หนูคิดว่าไม่เสมอไปนะคะ คนบางคนไม่เคยมีส่วนที่อ่อนโยนในหัวใจเลย ไม่ต้องพูดถึงความรักที่อ่อนโยนที่สุด ดูอย่างหลินเจียวสิคะ”
ถังซีมองหน้าหยางจิ้งเสียนแล้วยิ้ม แต่ดวงตาเธอเยือกเย็นขณะกล่าวต่อไป “ถ้าหนูเดาถูกว่าเซียวจิ้นหนิงเป็นลูกสาวหลินเจียว แล้วหลินเจียวเพียงแค่อยากใช้เซียวจิ้นหนิงหาผลประโยชน์ล่ะค่ะ ถ้าความรักที่อ่อนโยนและจริงใจของเธอคือเซียวจิ้นหนิง เธอจะไม่มีเอาเซียวจิ้นหนิงมาให้คุณแม่หนูเลี้ยง เพราะฉะนั้นคำพูดของคุณแม่เป็นจริงแค่กับบางคนเท่านั้นค่ะ”
“แต่แม่รู้นะ โหรวโหรว ว่าความรักที่อ่อนโยนที่สุดของหนูคือครอบครัวหนู ใช่ไหมจ๊ะ” หยางจิ้งเสียน มองตาถังซีแล้วยิ้ม “แม่ดูออกจ้ะ”