ถ้าไม่ทำให้คนอื่นตกใจ ฉันจะไม่ได้ตายอย่างสงบสุข!
ทันทีที่คำพูดของเฟิงหลินดังออกมา พวกมันก็เหมือนฟ้าผ่า ทำให้ทั่วพื้นที่ตกอยู่ในความเงียบ
ทุกสายตาของสมาชิกตระกูลเฟิงหันมองกัน มีสีหน้าสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด
“น่าสนใจ!” บนแท่นสูง ชายรูปหล่อยืนขึ้นและทำการสำรวจเฟิงหลินอย่างจริงจัง ความสนใจเติบโตขึ้นราวกับว่าเขากำลังมองของเล่นที่น่าตื่นเต้นมาก
“อวดดี! แกคิดว่าแกเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงหรือไง?พวกเราไม่ใช่ผู้บ่มเพาะดวงดาวหรือยังไง? แกกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง?!” เฟิงจินเผิงป็นสายเลือดตรง ดังนั้นเขาไม่เคยเห็นใครหยิ่งยโสกว่าเขา เขาเป็นคนแรกที่ไม่สามารถระงับอารมณ์ของเขาได้
สำหรับผู้เข้าร่วมคนอื่น พวกเขากลายเป็นผู้บ่มเพาะดวงดาวทั้งๆที่อายุยังน้อย ใครจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจ?
การไม่สนใจเรื่องนี้ ทำให้พวกเขาโกรธมาก
“แกต้องการที่จะสู้กับพวกเราทุกคนพร้อมกัน?คนอื่นไม่ต้อง ฉันจะจัดการแกก่อนเอง!”
“แกควรอธิษฐานให้แกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นฉันรับรองว่าแกจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก!”
“แกคิดว่าแกเป็นใคร?”
….
เสียงวิจารณ์ต่างๆดังขึ้น
เฟิงหลี่หนึ่งในผู้เข้าร่วมไม่ทำอะไรเพียงแค่หรี่ตาแคบและจ้องมองเฟิงหลิน สายตาของเขาคมชัดราวกับดาบและเปล่งกลิ่นอายทรงพลังอย่างมาก
เฟิงหลินไม่สนใจเรื่องการดูถูกเหยียดหยามที่คนอื่นมีต่อเขา
แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่หยิ่งยโสและเยาะเย้ยหรือสาปแช่งเขา แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาไม่ใช่ของจริง
สายตาของเฟิงหลินกวาดมองฝูงชนอย่างเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไรและมองไปที่ผู้นำตระกูล
ทำไมมีความจำเป็นที่จะเอาคนพวกนี้มาใส่ใจ?
การต่อสู้ทีเดียวจะเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของหัวหน้าตระกูล
เมื่อเห็นว่าเฟิงหลินไม่สนใจ ผู้เข้าร่วมก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเหมือนถูกตบจนหน้าชา
เฟิงหลินไม่สนใจพวกเขาจริงๆ
“เห้ยไอหนู อย่างมากแกมันก็แค่มดปลวก!” ชายที่ดูดุร้ายพูด
สมาชิกในตระกูลได้สติกลับคืนเหมือนกลัวว่าโลกจะไร้ความวุ่นวาย และเริ่มตะโกนอย่างตื่นเต้น “เฟิงปู้ นายพูดถูก ขึ้นไปและสอนบทเรียนให้แก่มัน!”
“นายเป็นคนชั้นสูงในตระกูล นายจะยอมถูกคนชั้นต่ำรังแกได้ยังไง?”
“กำจัดเด็กเหลือขอนี่เร็วๆ ทำลายความเย่อหยิ่งของมัน!”
….
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังวุ่นวายหัวหน้าตระกูลก็ทนไม่ได้อีกต่อไป “เงียบ!”
ขณะที่เขาตะโกน เสียงของเขาก้องไปในอากาศเหมือนเสียงฟ้าร้องดังลั่น
ในฐานะผู้นำของตระกูล เขาสามารถควบคุมชะตากรรมของคนส่วนใหญ่ที่นี่ ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับผู้นำตระกูล
ตาของหัวหน้าตระกูลเหมือนตาของนกอินทรี เขาจ้องมองเฟิงหลินและถามอย่างจริงจังว่า “เฟิงหลินเธอต้องการต่อสู้กับผู้เข้าร่วมที่เหลือทั้งหมดพร้อมกันจริงๆงั้นหรอ?เธอต้องรู้ว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ในสิบอันดับแรก “
เฟิงหลินพยักหน้าเพราะเจตนาของเขาชัดเจนมาก
ผู้เข้าร่วมคนอื่นมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่เพราะว่าพวกเขากลัวหัวหน้าตระกูลจึงไม่เอ่ยปากอะไร
ใบหน้าเฟิงหลินยังคงดูสงบ เขาตัดสินใจชัดเจนแล้ว
ถ้าเขาทำตามการจัดการของหัวหน้าตระกูลและต่อสู้กับคนเหล่านี้ทีละคน มันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
รากฐานของเขาในตระกูลนั้นต่ำมาก แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ทุกครั้งโดยการต่อสู้ทีละคน เขาจะยังคงถูกคนอื่นสงสัยอยู่ หลายๆคนจะบอกว่าเขาชนะเพราะเขาโชคดี
เฟิงหลินไม่อยากจะใส่ใจกับเรื่องเล็กๆเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเขาอาจจะแสดงพลังที่พอจะสร้างความตกใจอย่างมาก ในเวลาเดียวกันคนเหล่านี้จะเป็นพยาน ความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่งระหว่างเขาและอัจฉริยะของตระกูล
หากเขาทำเช่นนั้นจะไม่มีใครกล้าพูดได้ว่าเป็นเพราะโชค
“ นี่…” เมื่อเห็นว่าเฟิงหลินเป็นเด็กหัวดื้อ หัวหน้าตระกูลก็ลังเล เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบรับคำขอของเฟิงหลินดีไหม
ถ้าเขาเห็นด้วยเขาจะไม่ทำลายความภาคภูมิใจของอัจฉริยะเหล่านี้หรอ?
ถ้าเขาไม่เห็นด้วยและถ้าเฟิงหลินไม่ยอมแพ้ เฟิงหลินจะกระตุ้นอัจฉริยะของตระกูลโดยการยั่วโมโหว่าพวกเขากลัวใช่ไหม?นั่นจะไม่ยิ่งน่าอายหรือยังไง?
“น่าสนใจ!” เมื่อหัวหน้าตระกูลลังเล ชายหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ข้างเขาหัวเราะเบาๆจากนั้นเขาก็แนะนำ “ผมเห็นด้วยกับคำขอของเฟิงหลิน!”
“นายน้อยเฟิง ท่านมีข้อเสนอแนะอะไร?” ผู้นำกตระกูลงงงวย “ถ้าผมเห็นด้วยกับคำขอของเขามันจะไม่ยุติธรรมกับอัจฉริยะคนอื่นหรือไม่?”
“ นี่ง่ายมาก” ชายหนุ่มรูปหล่อยิ้ม “ทำให้การต่อสู้รอบสุดท้ายเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แบบอิสระสำหรับทุกคน นั่นไม่ใช่แก้ปัญหาเหรอ? ยิ่งพวกเขาอยู่ได้นานเท่าไหร่ อันดับของพวกเขาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น คนสุดท้ายที่ยืนจะเป็นผู้ชนะโดยธรรมชาติ! โดยการเปลี่ยนรูปแบบ มันคล้ายกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญในอวกาศระหว่างดวงดาว ในสนามรบที่วุ่นวายจะไม่มีใครโง่พอจะต่อสู้กับคุณแบบหนึ่งต่อหนึ่ง อิสระสำหรับทุกคนสามารถทดสอบความสามารถของพวกเขาได้ดีขึ้น “
“เป็นความคิดที่ดีมาก!” จากหน้าบึ้งตึง ตอนนี้หน้าของหัวหน้าตระกูลเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
โดยการทำเช่นนี้เขาสามารถตอบสนองคำขอของเฟิงหลิน และปกป้องความภาคภูมิใจของอัจฉริยะของตระกูลเฟิงได้
เขาไม่ลังเลอีกต่อไป `’ทีนี้ฉันจะประกาศว่ารูปแบบการจัดอันดับของการแข่งขันจะเปลี่ยนเป็นแบบอิสระ สำหรับทุกคนในรอบการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ ผู้เข้าร่วมสิบอันดับแรกจะต่อสู้บนลานประลองเดียวกันและใครอยู่ได้นานกว่าจะได้อยู่ในอันดับที่สูงขึ้น ผู้ที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเฟิง! “
หลังจากความประหลาดใจช่วงสั้นๆ ฝูงชนต่างก็โห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นรูปแบบใหม่ที่สิบอันดับแรกจะต่อสู้กันอย่างอิสระ ฉากการต่อสู้จะน่าสนใจและเข้มข้นขึ้นมาก วิธีนี้น่าตื่นเต้น!
พวกเขาไม่คาดหวังว่าหัวหน้าตระกูลจะเห็นด้วยกับคำแนะนำที่หยิ่งยโสของเฟิงหลิน
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ
ดวงตาหลายคู่นับไม่ถ้วนจ้องที่ลานประลองตาไม่กระพริบ กลัวที่จะพลาดในฉากที่น่าสนใจ
ผู้เข้าร่วมเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากพวกเขาหายจากอาการช็อกพวกเขาทั้งหมดก็ย้ายไปที่ลานประลองที่ถูกกำหนด ตอนนี้สายตาของพวกเขาที่จ้องมองเฟิงหลินน่ากลัวกว่าเดิม
ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็สามารถร่วมมือกันและกำจัดมันออกไปจากลานเป็นคนแรก พวกเราอยากจะรู้ว่าแกจะหยิ่งได้สักแค่ไหน
พวกเขาเข้าหาเฟิงหลินอย่างช้าๆ มีรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา อย่างไรก็ตามสักพักรอยยิ้มของพวกเขาหายไปในทันที
“เข้ามาพร้อมกันนั่นแหละ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน ถ้าเข้ามาทีละคนพวกแกไม่มีทางชนะแน่” เฟิงหลินไม่พอใจ เขาต้องการสรุปการแข่งขันจัดอันดับให้เร็วที่สุด
เขาปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดของยีนลิงหิน และปลดปล่อยข้อจำกัดทั้งหมดในร่างกายออกมาแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของเขา
ระลอกคลื่นทรงพลังจากสถานะพลังของเขาพุ่งทะยานออกมา มองด้วยตาเปล่าสามารถมองเห็นคลื่นพลังงานปั่นป่วนอย่างรุนแรงในอากาศรอบตัวเขา
จุดที่เฟิงหลินยืนอยู่กลายเป็นศูนย์กลางของกระแสพลังงานวน แรงกดดันไร้รูปแบบอาจพุ่งออกมาทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“อะไรกีน?” ผู้เข้าร่วมคนอื่นอุทานด้วยความตกใจเมื่อพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันคล้ายภูเขาลูกใหญ่ทับตัว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
ดูเหมือนว่าจิตใจของพวกเขาจะถูกก้อนหินก้อนใหญ่ทับจมลงไปในหุบเขา พวกเขาไม่มีความคิดที่จะต่อต้านอีกต่อไป
สิ่งที่พวกเขาทำได้คือเปิดตาและจ้องมองไปที่ร่างคล้ายกพระเจ้าหรือปีศาจ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น
เฟิงหลินพร้อมที่จะใช้กำลังในการกำจัดอัจฉริยะสูงสุดของตระกูลเพียงลำพัง!