ตอนที่ 677 ลูกแก้วมังกร
เจี้ยนรั่วหยานหรี่ตามองที่ฉินหยุน ฟันของนางต้องกัดแน่นขณะ
กล่าวคำ “เจ้ามันไม่ใช่คน! และเจ้าก็ไม่มีทางแข็งแกร่งทัดเทียมพี่หู่
เพราะเขาได้ก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางแล้ว!”
“เจี้ยนหนันหู่ออกจะยุ่งยากรับมือไปบ้างก็จริง” ฉินหยุนยิ้มกล่าวอย่าง
ไม่ใส่ใจนัก “แต่เขาก็พ่ายแพ้ต่อข้าไปสองครั้งครา ทั้งยังถูกช่วยเอาไว้
ครั้งหนึ่ง ไม่คล้ายว่าจะเอาชนะข้าได้ที่ตรงใด!”
“หากพี่หู่เอาชนะเจ้าได้ ข้าก็ไม่ต้องเรียกเจ้าเป็นพี่หยุน อย่างนี้เป็นไร?”
เจี้ยนรั่วหยานอายุมากกว่าฉินหยุน นางต้องรู้สึกอับอายไม่น้อยยาม
ต้องเรียกหาเด็กน้อยตรงหน้าเป็นพี่ชาย
ฉินหยุนหัวเราะรับ “ย่อมได้!”
แม่เฒ่าหม่ากล่าว “การทดสอบที่สอง เป็นการทดสอบพลังจิต! ถัด
จากนี้ ท่านจ้าวสำนักจะปลดปล่อยพลังจิตโจมตีพวกเจ้า หากไม่อาจ
ต้านรับ พวกเจ้าก็หมดสติ!”
“พลังจิตของท่านจ้าวสำนักแข็งแกร่งยิ่ง กระนั้นปัญหาอื่นใดล้วนไม่
มี เพียงแค่ทำให้หมดสติ สี่คนที่ต้านรับได้จนถึงสุดท้ายจะได้เป็น
ตัวแทนนครเซียนยุทธภัณฑ์เข้าร่วมงานประลองยุทธ์!”
ฉินหยุนค่อนข้างมั่นใจในพลังจิตของตนเอง พอได้ยินว่าเป็นการ
ทดสอบเช่นนี้ เขาค่อยวางใจ
เปาเฉิงโฉ่วกล่าว “เริ่มได้!”
คำพอกล่าวจบ หมอกพลังงานพลันเข้าปกคลุมฉินหยุนและกลุ่มคน
กว่ายี่สิบ
ตึง ตึง ตึง!
เพียงอึดใจ ผู้คนจำนวนหนึ่งหมดสิ้นสติ พวกเขาเหล่านี้คือขอบเขต
วรยุทธ์วิญญาณระดับสูง
พลังจิตของฉินหยุนแกร่งกล้าอย่างยิ่ง กระนั้นเขาก็ไม่คาดคิด ว่าศีรษะ
ตนเองจะถึงขั้นเกิดอาการมึนงง จนเขาต้องใช้จิตผลึกแก้วดวงดาว
ปลดปล่อยคลื่นพลังจิตรุนแรงออกมาต้านรับ
หลังจากนั้น อีกหลายคนค่อยหมดสติตามกันไป
บรรดาผู้ที่สิ้นสติ ทั้งหมดอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง
เจี้ยนรั่วหยานยังสามารถยืนหยัด นั่นหมายความถึงพลังจิตของนาง
แข็งแกร่งยิ่ง
หลังจากที่ฉินหยุนปลดปล่อยพลังจากจิตผลึกแก้วดวงดาวเพื่อต้านรับ
เขาค่อยรู้สึกว่าพลังจิตของเปาเฉิงโฉ่วได้ปะทะกับจิตของเขา แม้ว่า
รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรให้เขาต้องสิ้นสติ
เพียงไม่นาน เย่ว์ผูเฟิงจึงหมดสิ้นสติไปอีกคนหนึ่ง!
ฉินหยุนรู้สึกว่าน่าเสียดาย เพราะเย่ว์ผูเฟิงมีฝีมือที่ดีเยี่ยมไม่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลงเฉียวเฟิงที่ไม่อาจทนได้ไหวจึงหมดสติล้มลงกับ
พื้น
ตอนนี้เหลือกันอยู่เพียงเจ็ดคน!
หอพิทักษ์กฎ อย่างไรแล้วก็ต้องมีศิษย์ที่ครอบครองพลังจิตแกร่งกล้า
หลังจากที่อีกหลายคนสิ้นสติ สุดท้ายจึงเหลือกันเพียงสี่คน!
ฉินหยุน เจี้ยนรั่วหยาน และชายหนุ่มอีกสองคน
เปาเฉิงโฉ่วจึงถอนพลังจิตกลับคืนพร้อมเผยยิ้ม “พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยม
นัก เป็นข้าตั้งใจทำให้พวกเจ้าหมดสติ กระนั้นไม่คิดว่าจะยังยืนหยัด
ได้ถึงตรงนี้!”
หลังจากที่พลังจิตรุนแรงถูกถอนกลับ ชายหนุ่มทั้งสองของหอพิทักษ์
กฎจึงล้มร่างลงกับพื้น
เจี้ยนรั่วหยานก็อ่อนแรง ขณะนางใกล้ล้มพับ ฉินหยุนจึงเดินเข้ามา
ช่วยพยุงนางไว้
บางทีอาจเป็นเพราะฉินหยุนขาดความระวังยามคิดช่วยพยุงตัวนาง
มือนั้นกลับสัมผัสเข้ากับส่วนอ่อนนุ่มของร่างกายเจี้ยนรั่วหยาน ทั้ง
ยังคล้ายไม่รู้ตัว เขายิ้มให้เจี้ยนรั่วหยานอย่างยินดีที่ผ่านเข้ารอบมา
ด้วยกันได้
“เจ้า!” เจี้ยนรั่วหยานผลักฉินหยุนออกพ้นห่างก่อนจะปาดเช็ดเหงื่อที่
หน้าผาก
ทางด้านฉินหยุน เขายังอยู่ดีครบถ้วนสมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าพลังจิต
ของเขาเหนือล้ำกว่าศิษย์ผู้อื่นมากมายเพียงใด
“ฉินหยุน เจ้ายังไม่เข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางด้วยซ้ำ
กระนั้นกลับมีพลังจิตที่เหนือล้ำยิ่งนัก!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าวออกด้วย
อาการประหลาดใจ
“ข้าเพียงเพิ่มมันขึ้นมาได้เล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” ฉินหยุนถอนหายใจ
“มันคงดีหากข้าเลื่อนระดับพลังได้ เช่นนั้นข้าจะได้แข็งแกร่งอย่าง
ครบถ้วน!”
เปาเฉิงโฉ่วทำการปลุกเหล่าศิษย์ให้ตื่นขึ้น เขากล่าว “แม้พวกเจ้า
ล้มเหลว ทว่าหากต้องการย่อมสามารถร่วมทางไปกับข้าเพื่อรับชม
ศึกประลองได้!”
เย่ว์ผูเฟิงและหลงเฉียวเฟิงต่างรู้สึกเสียดาย เพราะหากตามเทียบอันดับ
ยุทธ์เต๋าที่เขตแดนจินตภาพเซียนยุทธภัณฑ์ พวกเขาสมควรมีโอกาส
ได้เข้าร่วม กระนั้นตอนนี้กลับต้องเสียโอกาสนั้นไป
“เอาละ พวกเราออกเดินทางกันได้แล้ว!” เปาเฉิงโฉ่วยิ้มพลางเดิน
ออกไปจากห้องโถง
เมื่อออกมาสู่ด้านนอก เขาจึงปล่อยเรือบินออกมา
หลังขึ้นเรือบินเรียบร้อย ฉินหยุนจึงค่อยเข้ามาในห้องโถงท้องเรือ
เขาเอ่ยถาม “จ้าวสำนักขอรับ พวกเราจะไปที่ใด? งานประลองยุทธ์
จัดขึ้นที่ใดกันขอรับ?”
แม่เฒ่าหม่ากล่าวตอบ “พวกเราจะไปยังตำหนักเซียนดาบ ครั้งนี้ข้า
คงไม่อาจร่วมทางไป ข้ายังมีหลายเรื่องราวต้องจัดการที่นี่!”
หลังได้รับฟัง เจี้ยนรั่วหยานย่อมยินดี “ตำหนักเซียนดาบหรือ? วิเศษ
นัก ข้าอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยังเด็ก ให้ข้าพาพวกเจ้าเที่ยวชมเอง!”
“น้องหยาน เจ้าย่อมสามารถเข้าร่วมตำหนักเซียนดาบได้ กระนั้น
เหตุใดจึงเลือกนครเซียนยุทธภัณฑ์กันเล่า?” ฉินหยุนถามขึ้นมา
“เพราะข้าชอบจึงเข้าร่วม ยังต้องมีเหตุผลใด?”
เจี้ยนรั่วหยานแทบไม่อยากยอมรับฉินหยุน เพราะนางคิดว่าฉินหยุน
เป็นไก่อ่อนตัวหนึ่งนับตั้งแต่แรกเริ่มพบเจอ
กระนั้นตอนนี้ ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่านาง เขากระทั่งแข็งแกร่งยิ่ง
กว่าพี่หู่ที่นางให้ความนับถือ
“ตำหนักเซียนดาบเป็นบ้านของเจี้ยนหนันหู่ เหตุใดงานประลองยุทธ์
จึงจัดในเขตของตำหนักเซียนดาบกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถามด้วยความ
สงสัย
“เจี้ยนสือเทียนเป็นกังวลว่าจะมีกลุ่มคนโฉดชั่วจากตำหนักจารึกเทวะ
ร่วมทางมา ดังนั้นเขาจึงยืนกรานให้จัดขึ้นในพื้นที่ของตนเอง นอกจากนี้
แล้ว พวกเราสำนักเซียนทั้งหลายต่างตกลงยอมรับ! หลานชายของ
เจี้ยนสือเทียนเกือบตายที่เกาะยุทธ์อสูร ดังนั้นตำหนักจารึกเทวะต้อง
หาทางไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น เจี้ยนสือเทียนได้ก่อเรื่องราวไม่
หยุดหย่อนแน่!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าว
“ฉินหยุน อย่าได้กังวลไป ที่ตำหนักเซียนดาบจะไม่มีผู้ใดกล้าก่อการ
บุ่มบ่ามแน่!” เจี้ยนรั่วหยานยิ้มภาคภูมิ “ที่นั่นคือบ้านหลังที่สองของ
ผู้คนตระกูลเจี้ยน!”
“เรียกข้าเป็นพี่หยุน!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าคล้าย
ความจำไม่ดีนัก!”
“ข้าไม่ใช่ศิษย์ของตระกูลเจี้ยน นอกจากนี้ ข้ายังเอาชนะเจี้ยนหนันหู่
หลายครั้งครา นึกว่าตำหนักเซียนดาบแทบทั้งหมดจะเกลียดชังข้า
เสียด้วยซ้ำ!”
“พวกเราก็เพียงเกลียดชัง แต่จะไม่มีการลงมือใดทั้งสิ้น!” เจี้ยนรั่ว
หยานยังไม่ยอมรับ ว่าฉินหยุนคู่ควรให้นางต้องเรียกหาเป็นพี่หยุน
หลงเฉียวเฟิงพลันกล่าวเสียงเบา “เดินทางไปตำหนักเซียนดาบต้อง
ใช้เวลานานเพียงใด?”
“สักสองวันเห็นจะได้ ข้าจะพยายามไปให้ช้าลงหน่อย!” เปาเฉิงโฉ่ว
หัวเราะ “บอกพวกเจ้าตามตรง เรือบินนี้เป็นของข้า มันไม่เพียงแต่
งดงามและใหญ่โต แต่ยังเป็นอุปกรณ์เต๋าระดับสูง เมื่อพวกเราคิดไป
เยือนที่อื่น ย่อมต้องอวดโอ่เสียบ้าง!”
หลงเฉียวเฟิงมองที่ฉินหยุนพร้อมเอ่ยคำเบา “แม้เจ้าเป็นศัตรูกับตระกูล
หลง ทว่าข้าไม่มีเจตนาร้ายใดต่อเจ้า เจ้าพอช่วยอะไรข้าได้หรือไม่?
ช่วยข้าหลอมยันต์แล้วข้าจะจ่ายเป็นเหรียญม่วงตอบแทนให้!”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!” ฉินหยุนทราบ ว่าหลงเฉียวเฟิงจงใจกล่าวเช่นนี้
เพราะมีเรื่องต้องการหารือกับเขา
“พี่หยุนระวังนางด้วย อย่าได้ลืมว่าตระกูลหลงชั่วช้าเพียงใด!” เจี้ยน
รั่วหยานเร่งรีบกล่าวเตือน
“จ้าวสำนักก็อยู่ที่นี่ เจ้าวางใจได้!” ฉินหยุนยิ้มตอบ ก่อนจะเดินตาม
หลงเฉียวเฟิงออกจากห้องโถงไป
เปาเฉิงโฉ่วหาได้กังวลว่าหลงเฉียวเฟิงจะก่อการใดไม่ เพราะด้วย
กำลังของนาง แทบไม่มีทางที่จะสามารถทำร้ายฉินหยุน
ฉินหยุนตามหลงเฉียวเฟิงถึงในห้อง
หลงเฉียวเฟิงวันนี้สวมใส่กระโปรงสั้นสีแดงงดงาม ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
ดึงดูด ดวงตาหงส์อมตะแดงเพลิงงดงามของนางจับจ้องที่ฉินหยุน
“ฉินหยุน หลังจากที่ข้าก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง ข้า
พบเจอสถานการณ์อะไรบางอย่างกับการฝึกฝนของตนเอง!” หลง
เฉียวเฟิงกล่าวเสียงเบา “ข้าไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น และข้าก็ไม่
กล้าเอ่ยถามเรื่องนี้ต่อผู้อื่นด้วย!”
ตอนนี้ ฉินหยุนคือผู้ที่หลงเฉียวเฟิงเชื่อใจมากที่สุด
“ลองบอกมา” ฉินหยุนถาม เพราะเขาคือผู้แกะสลักโทเทมมังกรให้แก่
วิญญาณยุทธ์ของหลงเฉียวเฟิง
“ครั้งที่ข้าก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง ข้าได้ฝึกฝนวิชา
ยุทธ์โทเทมมังกร จากนั้นข้าจึงได้ฝึกฝนนี่!” หลงเฉียวเฟิงอ้าปาก
งดงามเย้ายวนของนางออก คายเอาลูกแก้วอัคคีขนาดราวดวงตามังกร
ออกมา
“นี่คือวิญญาณต้นกำเนิดที่ข้าฝึกฝนในแก่นเต๋า!”
หลิงหยุนเอ๋อพิจารณาลูกแก้วดังกล่าวก่อนอุทานดัง “เสี่ยวหยุน นี่คือ
ลูกแก้วมังกร นางผู้นี้ถึงขั้นฝึกฝนลูกแก้วมังกรขนาดเล็กได้ ช่าง
แข็งแกร่งอะไรเยี่ยงนี้!”
“ฉินหยุน ระหว่างการทดสอบ ข้าเก็บงำกำลังตนเองเอาไว้เพราะไม่
ต้องการเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ข้าเกรงว่าอาจจะเผลอเปิดเผยอะไร
ออกไป!” หลงเฉียวเฟิงกล่าวอีกครั้ง
“เฉียวเฟิง สิ่งนี้คือลูกแก้วมังกร เจ้าคือบุตรหลานตระกูลหลง เคยได้
ยินคำใดเกี่ยวข้องกันนี้บ้างหรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ลูกแก้วมังกร?” หลงเฉียวเฟิงตื่นตะลึง “นั่นเป็นสิ่งที่มีแต่เซียนจึง
สามารถฝึกฝน ได้ฝึกฝนลูกแก้วมังกรหมายความถึงผู้นั้นสามารถ
จำแลงกายเป็นมังกรได้ ทว่าข้ายังมีวิญญาณยุทธ์หงส์อมตะร่วมอยู่
ด้วย!”
“เฉียวเฟิง เจ้าคิดว่าวิญญาณยุทธ์หงส์อมตะยังส่งผลใดต่อเจ้า
หรือไม่?” ฉินหยุนเอ่ยถามซ้ำ
“ไม่ส่งผลใด!” หลงเฉียวเฟิงส่ายศีรษะ
“หากไม่ส่งผลใด อย่างนั้นก็ไม่มีอะไร!” ฉินหยุนมองที่ลูกแก้วมังกร
พร้อมเอ่ยคำชื่นชม “สิ่งนี้เป็นเจ้าได้รับผ่านการฝึกฝนวิชายุทธ์โทเทม
มังกร เหมือนว่าวิชายุทธ์โทเทมมังกรที่เจ้าได้รู้แจ้งมานั้นจะน่า
ประทับใจไม่น้อย!”
“เป็นน้องสาวเจ้าที่ชี้ทางให้ข้าได้เข้าใจมัน!” หลงเฉียวเฟิงยิ้มตอบ
“ฉินหยุน รับลูกแก้วมังกรนี้ไว้ ทดลองดูว่าสามารถเชื่อมต่อกับจิต
ของข้าได้หรือไม่ ข้าจะได้ส่งถ่ายวิชายุทธ์โทเทมมังกรที่เข้าใจให้แก่
เจ้า!”
ฉินหยุนรับลูกแก้วมังกรไว้บนฝ่ามือ ชั่วขณะนี้ เขายังเกาะกุมมือของ
หลงเฉียวเฟิงเอาไว้ด้วย
ระหว่างฝ่ามือคนทั้งสองคือลูกแก้วมังกร มันกำลังส่องแสงหลาก
สีสันออกมา
เพียงไม่นาน วิชายุทธ์โทเทมมังกรจึงค่อยปรากฏในจิตของฉินหยุน
“เหมือนจะสำเร็จด้วยดี!” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างพึงพอใจ
“และนี่สมควรเป็นวิชาลับมังกรสวรรค์ของตระกูลหลง! ทว่าวิชาลับ
มังกรสวรรค์ของตระกูลหลงนั้นไม่สมบูรณ์ เป็นของข้าที่สมบูรณ์
เจ้าน่าจะฝึกฝนมันได้ตามสถานการณ์!” หลงเฉียวเฟิงเผยยิ้ม “ข้าทำ
ตามที่ให้สัญญาไว้แล้ว!”
“ใช่ ถือว่าพวกเราเสมอกันแล้ว” ฉินหยุนยิ้มตอบ
“นั่นยังไม่ ข้ายังต้องช่วยเหลือเจ้าสืบเสาะเรื่องราวในตระกูลหลงต่อ!”
หลงเฉียวเฟิงกล่าวกระซิบ “ฉินหยุน ภรรยาเจ้าจากเกาะจันทราปีศาจ
มีวิญญาณยุทธ์มังกรที่แกร่งกล้านัก ข้าสัมผัสได้ ว่ามันแข็งแกร่งยิ่ง
กว่าวิญญาณยุทธ์มังกรของข้า!”
“นอกจากเรื่องนี้ยังพบเห็นเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว
ถาม
“ฉินหยุน วิญญาณยุทธ์มังกรของภรรยาเจ้าไม่น่าจะใช่สีดำ! ให้ข้า
คาดเดา มันสมควรเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิญญาณยุทธ์สีดำ!”
หลงเฉียวเฟิงกล่าว “ข้าเคยพบเจอผู้คนที่มีวิญญาณยุทธ์มังกรสีดำ ข้า
ย่อมจดจำออร่าของมันได้!”
“อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ออกไปจากที่นี่กันดีกว่า!” ฉินหยุนกล่าว
“แล้วก็อย่าได้บอกเรื่องนี้ต่อผู้อื่นด้วย!”
หลงเฉียวเฟิงพยักหน้ารับ
หลังจากนั้น ฉินหยุนและหลงเฉียวเฟิงจึงกลับถึงห้องโถง
เย่ว์ผูเฟิงพบเห็นทั้งสองกลับมาถึง เขาจึงยิ้มกล่าวคำ “ฉินหยุน เหตุ
ใดจึงช่วยเหลือนางแกะสลักอักขระ? นางคือศิษย์ตระกูลหลง ภาย
หน้านางอาจทำร้ายเจ้าได้”
“เพราะนางงดงาม เป็นความงามที่มากกว่าน้องหยาน!” ฉินหยุนยิ้ม
ตอบ
“ฉินหยุน เจ้า… เจ้าจงบอกต่อข้า ว่าตรงใดของนางที่ดูดีกว่าข้า!”
เจี้ยนรั่วหยานโพล่งเสียงดังอย่างเดือดพล่าน
“หน้าอกของนางใหญ่กว่าเจ้านัก” ฉินหยุนหัวเราะคิกคัก
เจี้ยนรั่วหยานกระทืบเท้าอย่างโกรธแค้น ขณะนางใกล้ระเบิดโทสะ
ออก เรือบินลำใหญ่พลันต้องสั่นไหว
เปาเฉิงโฉ่วยืนขึ้นเผยเสียงลุ่มลึก “มีบางอย่างชนเรือบินลำนี้!”