ตอนที่ 173 เข้าเมือง โดย Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้หลิ่วหมิงได้แต่พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ฮูหยินหมีกับหงเส่าพาเด็กชายกลับยังกองไฟกองเดิม และเริ่มเตรียมอาหารบำรุงให้เด็กชาย เมื่อเด็กชายฟื้นขึ้นมาจะได้ให้ทานเลย
เช้าวันที่สอง ทหารเกราะดำกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมรถม้าสองสามคันมุ่งหน้าไปยังเสวียนจิง แต่ว่าในนั้นมีรถม้าคันเล็กๆ ที่ใช้ล่อลาก เทียบกับคันอื่นๆ แล้วมันไม่เข้ากันเลย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาเมื่อวาน หน่วยพยัคฆ์ทมิฬเหล่านี้ก็มีคนตายไปเจ็ดถึงแปดคน และคนอื่นๆ ต่างก็มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ศพที่เสียชีวิตได้เผาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บก็ทาโอสถเล็กน้อย จากนั้นก็สวมใส่เกราะเหล็ก เมื่อมองดูจากภายนอกจะไม่พบความผิดปกติใดๆ
ธนูยักษ์บนหลังของหญิงแซ่ตู้ก็ถูกเปลี่ยนสายธนูเส้นใหม่ และสวมหมวกเกราะปิดบังใบหน้าเดินอยู่ข้างรถม้าของฮูหยินหมี
คนทั้งกลุ่มเดินทางไปตามถนนสายหลักจนไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่นานก็หายลับไปจากวัดร้างแห่งนั้น
……
ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่ารโหฐาน คนสวมชุดคลุมผ้าดิ้นบุคลิกภูมิฐานอายุราวๆ สามสิบกว่าปี เพิ่งอ่านจดหมายลับในมือที่ส่งมาจากนอกเมืองเสวียนจิงจบ ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะที่อยู่ข้างตัวด้วยสีหน้าเดือดดาล
“มีอย่างที่ไหนกัน! ช่างกล้าลอบสังหารฮูหยินกับลูกรักข้าในระยะที่ใกล้เสวียนจิงเช่นนี้ เห็นข้าเฉียนเชาเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์หรืออย่างไร เด็กๆ !” เขาตะโกนออกไป
“นายท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้!”
ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนรีบเข้ามาโค้งคารวะ
“รีบส่งพี่น้องปาซื่อออกไปคุ้มกันพวกฮูหยินกลับเข้าเสวียนจิงโดยเร็ว อีกอย่าง ส่งคนไปบอกท่านอ๋องสามว่าข้าขอยืมให้หน่วยเงาปีศาจของเขา เพื่อตรวจสอบเรื่องบางอย่าง” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นสั่งโดยไม่ต้องคิด
“ทราบ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์รีบตอบรับในทันที จากนั้นก็คารวะก่อนที่จะถอยออกไป
“ฮึ! ข้าเฉียนเชามีลูกชายแค่คนเดียว ใครก็ตามที่คิดแตะต้องเขา ข้าจะไม่ละเว้นโดยเด็ดขาด” ชายชุดผ้าดิ้นทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวกับตนเอง
ขณะเดียวกัน ในห้องลับที่เร้นลับเป็นพิเศษซึ่งตั้งอยู่นอกเสวียนจิง ชายร่างอ้วนที่สวมชุดผ้าแพรต่วนเองก็โกรธจนเต้นแร้งเต้นกา
“ไร้ประโยชน์! ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกปราณขั้นกลางตั้งสามคนลงมือพร้อมกันกับคนเยอะขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถจัดการพวกมันได้ ทั้งยังถูกพวกมันจัดการจนราบคาบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะยืมผู้ฝึกปราณทั้งสามคนมาจากนายท่านได้ ตอนนี้ไปตายอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่านว่าอย่างไร? ไป! ไสหัวไปให้ไกล ยิ่งไกลยิ่งดี!”
ชายร่างอ้วนสูงเจ็ดฉื่อกว่าๆ รูปร่างเต็มไปด้วยไขมัน ทำให้พุงกลมโตราวกับเป็นลูกหนังกลมๆ ขณะนี้ตากลมทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง และด่าชายรูปร่างผอมแห้งที่ดูคล้ายพ่อบ้านอย่างเกรี้ยวกราด
ชายที่ดูคล้ายพ่อบ้านมีสีหน้าตื่นตระหนกและไม่กล้าพูดแก้ตัวใดๆ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของขายร่างอ้วนถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา และถอยหัวซุกหัวซุนออกไปจากห้องลับ
“พี่มู่ ท่านใจกว้างกับลูกน้องไปหน่อย ถ้าเป็นคนของข้าทำผิดพลาดขนาดนี้ คงลากไปให้สุนัขกินตั้งนานแล้ว” ตรงมุมห้องลับยังมีเงาร่างที่มองเห็นไม่ชัดเจนนั่งอยู่บนเก้าอี้
“ฮึ! พ่อบ้านข้าติดตามข้ามาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีสายสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆ กับฮูหยินข้า แม้ครั้งนี้จะทำงานไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่ถึงกับต้องลงโทษรุนแรง” ชายร่างอ้วนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงตอบอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ท่านจะจัดการคนของท่านอย่างไร ข้าย่อมไม่ก้าวก่าย แต่งานนี้ล้มเหลวไปแล้ว แม้กระทั่งผู้ฝึกปราณทั้งสามคนก็เสียชีวิตไปด้วย คงไม่ใช่เรื่องดีที่จะให้ข้ากลับไปรายงานนายท่าน” เงาร่างพร่ามัวถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“คำพูดนี้หลอกคนอื่นได้ ใยต้องเอามารับมือกับข้าด้วย ถึงแม้ผู้ฝึกปราณสามคนจะหาได้ยากในเสวียนจิง แต่สำหรับนายท่านแล้วก็เป็นแค่ผู้คุ้มกันธรรมดาสามคนเท่านั้น นายท่านอยากได้ผู้คุ้มกันที่มีพลังระดับนี้ล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าพูดดีๆ ไม่กี่ประโยค ข้าย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” ชายร่างอ้วนได้ยินกลับทำตาขาวมองบนแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็หยิบถุงผ้าตุงนูนออกมาจากอก และโยนไปยังมุมห้องด้วยความปวดใจ
“เฮ่อๆ! ข้ารู้ว่าพี่มู่ไม่ใช่คนขี้เหนียวอย่างแน่นอน ได้! เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ! แต่ท่านก็ต้องระวังไว้บ้าง การลงมือในครั้งนี้นับว่าฉีกหน้าเรือนร้อยวิญญาณไปแล้ว คนผู้นั้นมีอิทธิพลอยู่ในเสวียนจิงไม่น้อย เกรงว่าคงจะสืบมาถึงท่านโดยเร็ว” เงาร่างพร่ามัวรับถุงผ้ามาตรวจสอบแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่พูดข้าก็ย่อมรู้ แต่สองตระกูลเราได้ต่อสู้กันในที่มืดมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ขอเพียงข้าไม่ไปจากเสวียนจิง เขาจะกล้ามาหาเรื่องข้าได้หรือ!” ชายร่างอ้วนแซ่มู่กล่าวอย่างไม่สนใจ
“ได้! พี่มู่มีแผนในใจก็พอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปรายงานนายท่านก่อน” เงาร่างพร่ามัวพยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วก็จมหายเข้าไปในผนังด้านหลังอย่างไร้ร่องรอย
ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์จิตวิญญาณ
หลังจากเงาร่างพร่ามัวหายไปแล้ว ชายร่างอ้วนก็เดินวนอยู่ในห้องลับหลายรอบ ทันใดนั้นก็หยิบถ้วยชาบนโต๊ะเขวี้ยงลงพื้นจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันก็พูดออกมาด้วยความเคียดแค้น
“เฉียนเชา ความอัปยศอดสูที่เจ้ามอบให้ข้าในก่อนหน้านั้น ข้าจะไม่ลืมเป็นอันขาด ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดี แต่ครั้งหน้าข้ามู่อิ่งเฉิงจะไม่พลาดอย่างแน่นอน”
……
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มรถม้าตรงหน้าประตูเมืองขนาดใหญ่ที่มีคนเดินขวักไขว่ไปมา ด้านบนของประตูเมืองขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้ง มีอักขระสีเงินของคำว่า ‘เสวียนจิง’ สลักอยู่
ขบวนทหารเรียงแถวกันยาวลี้กว่าๆ ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่มาจากเส้นทางต่างๆ มารวมตัวกันที่แนวหลังทหารอย่างรวดเร็ว
นอกประตูเมืองทั้งสองด้าน มีนักรบเกราะขาวเกือบร้อยคนยืนตรงอยู่ และต่างก็พากันซักถามขบวนรถที่ต้องการเข้าเมือง
และกำแพงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนของประตูเมือง จะเห็นทหารชุดเกราะถือดาบเป็นจำนวนมากอยู่รำไร และยังมีธนูยักษ์ยาวหลายจั้งตั้งลอยอยู่บนนั้น ซึ่งสามารถมองเห็นลูกธนูสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนนั้นรำไร ตรงปลายของมันมีแสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกมาอย่างเยือกเย็น ดูเหมือนกับว่าพวกมันไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา
ถึงแม้จะอยู่ไกล แต่หลิ่วหมิงก็ยังหรี่ตามองเห็นลักษณะของธนูยักษ์กับลูกธนูที่อยู่บนนั้นอย่างชัดเจน
ธนูยักษ์เหล่านั้นไม่เท่าไหร่ มันเพียงแค่มีขนาดใหญ่โตเล็กน้อยเท่านั้น แต่ลูกธนูเหล่านั้นกลับมีอักขระหลากสีสลักอยู่บนนั้น มันคือลูกธนูอาญาสิทธิ์ที่ใช้แล้วหมดไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
แค่เท่าที่ตาเขามองเห็น ธนูยักษ์เหล่านี้มีมากกว่าหลายสิบอัน ถ้าหากมันโจมตีไปยังคนผู้หนึ่งพร้อมกันล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็คงเสียชีวิต ณ ที่นี้ทันที
และในบรรดาทหารชุดเกราะที่เฝ้าประตูอยู่ จิตของเขารับรู้ได้ว่ามีกลิ่นไอของผู้ฝึกปราณอยู่หลายคน
เสวียนจิงสมกับเป็นเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียน พอที่จะเรียกได้ว่าเตรียมพร้อมป้องกันได้อย่างแน่นหนา แม้แต่ทหารเฝ้าประตูเมืองยังมีพลังขนาดนี้ ถ้าศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปเข้าไปล่ะก็ เกรงว่าคงต้องเชื่อฟังแต่โดยดี และคงไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของเสวียนจิงอย่างเด็ดขาด
ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ขบวนรถที่ห้อมล้อมด้วยกองทหารหน่วยพยัคฆ์ทมิฬก็มาถึงนอกประตูเมือง
หญิงแซ่ตู้กระตุ้นม้าไปยังหน้าประตูเมืองแล้วโยนป้ายไปให้ทหารตรวจสอบ จากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ
“หน่วยพยัคฆ์ทมิฬจากเขตหนานไห่ รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมืองให้คุ้มกันบุคคลสำคัญกลับเมืองหลวง ท่านลองตรวจสอบป้ายก่อนว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่”
“ที่แท้ก็เป็นท่านนายกองของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬ ป้ายถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบแล้ว” ทหารเกราะขาวที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมองป้ายในมือสองสามทีแล้วก็โยนกลับไป
ดังนั้นขบวนรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าประตูเมืองไป
สองชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ของจวนหลังหนึ่งที่อยู่ในเมืองเสวียนจิง เฉียนหรูผิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดเล็กที่อยู่ติดกับเขา
เก้าอี้ตัวหลักที่อยู่ตรงกลางห้องมีชายสวมชุดคลุมผ้าดิ้น บุคลิกภูมิฐานนั่งอยู่ เขากำลังกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณชายเฉียนที่ยื่นมือเข้าช่วย ทำให้ฮูหยินกับลูกชายข้ากลับเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย คุณชายวางใจเถอะ! หญ้าน้ำแข็งเงินที่ท่านตามหา ข้าได้ให้คนของข้าไปตรวจดูที่ร้านแล้ว ถ้าหากมีล่ะก็จะรีบนำมาให้คุณชายโดยเร็ว”
“อืม! หากหาหญ้าน้ำแข็งเงินได้อย่างราบรื่นล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก ถึงแม้อาการป่วยของหลานสาวข้าจะถูกข้าควบคุมไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจยืดเยื้อได้นานนัก” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ท่านพี่ นอกจากหญ้าน้ำแข็งเงินแล้ว ตระกูลเฉียนยังต้องตอบแทนคุณชายด้วยสิ่งของอย่างอื่นอีก เพราะพิษในร่างของหู่เอ๋อร์ถูกคุณชายตรวจพบและบรรเทาอาการไว้ได้” ฮูหยินหมีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลิ่วหมิง ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ารู้ว่าคุณชายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณ คงไม่สนใจสิ่งของธรรมดา เอาอย่างนี้เถอะ! อีกเดือนกว่าๆ เรือนร้อยวิญญาณของเราจะจัดงานประมูลซื้อขาย พอถึงตอนนั้นถ้าคุณชายถูกใจสิ่งของอะไร ไม่ว่ามูลค่าของมันจะเท่าไหร่ ข้าก็จะขายให้ท่านครึ่งราคาดีไหม? แต่พิษในร่างของหู่เอ๋อร์ คงต้องรบกวนท่านให้ช่วยขับพิษต่อไป” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“ในเมื่อข้ายื่นมือเข้าช่วยแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งไปกลางคันได้ ท่านเฉียนวางใจเถอะ! พิษในร่างลูกชายท่านเพียงแค่ขับออกไปอีกไม่กี่ทีก็ไม่มีปัญหาแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าว
ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวขอบคุณหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
“ใช่สิ! ฮูหยินข้าบอกว่าคุณชายมาเสวียนจิงครั้งนี้ นอกจากจะหาสมุนไพรรักษาอาการป่วยของหลานสาวแล้ว ยังบากหน้ามาพึ่งญาติด้วย แต่เสวียนจิงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ถ้าคุณชายอยากจะหาคนล่ะก็ เกรงว่ามันคงไม่ง่าย ไม่สู้คุณชายพักอยู่ในจวนของข้าชั่วคราวก่อนดีไหม? ถึงแม้จวนเฉียนจะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่รองรับคุณชายกับหลานสาวได้สบายๆ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วกล่าวอย่างมีน้ำใจ
“พักที่จวนของท่านชั่วคราว! ก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านสักระยะแล้ว” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินก็รู้สึกดีใจมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกไม่กี่ประโยค เขาก็สั่งให้หญิงรับใช้วัยกลางคนเข้ามาพาหลิ่วหมิงกับเด็กหญิงไปยังห้องพักรับรองที่เตรียมไว้โดยเฉพาะ
“น้องพี่ แท้จริงแล้วเจ้าพบเจอคนผู้นี้ได้อย่างไร ช่วยเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบสิ” พอร่างของหลิ่วหมิงหายลับไปจากประตูห้องโถงอย่างรวดเร็วแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชุดคลุมผ้าดิ้นก็หายไป เขาสอบถามฮูหยินหมีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
……………………………………….