กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 683
กู้ชูหน่วนยิ้มและนั่งลงที่หัวเตียงของเขา “เหตุใดหรือ ท่านแอบซ่อนผู้หญิงเอาไว้ในห้องเลยกลัวว่าข้าจะเข้ามารบกวนพวกท่านอย่างนั้นหรือ?”

“เด็กโง่เขลา พูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ เสี่ยวมู่ ไปเตรียมน้ำชาดอกบ๊วยมาให้อาหน่วนหน่อย จำไว้ว่าให้ได้ความเข้มระดับกลางก็พอนะ เข้มเกินอาหน่วนไม่ชอบ”

“เจ้าค่ะ” คนใช้ตอบรับและออกไปเตรียมน้ำชาด้วยความนอบน้อม

กู้ชูหน่วนเห็นทุกอย่าง แต่กลับไม่พูดออกมาให้เสียบรรยากาศ

เมื่อก่อนไม่ว่านางจะอยากกินอยากดื่มอะไร อี้เฉินเฟยก็จะเป็นคนลงมือทำให้ด้วยตัวเอง เขาเปลี่ยนไปเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

อาการป่วยรุนแรงมากเพียงใดกัน ถึงทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย

“ขอโทษนะ ข้า……ข้าไม่สามารถหลอมรวมไข่มุกมังกรได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสไท่ซั่ง ให้เวลาข้าอีกหน่อย ข้าจะหลอมรวมไข่มุกมังกรให้ได้”

“อย่าฝืนตัวเองมากเกินไป หากหลอมรวมไม่ได้ก็ปล่อยไปเถอะ เผ่าหยกก็ใช้ชีวิตกันมาเช่นนี้อยู่นับร้อยนับพันปีแล้ว ถึงแม้ว่าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครโทษเจ้าหรอก”

ทุกคำที่อี้เฉินเฟยพูดออกมา ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

เขาฝืนตัวเองมาโดยตลอด แม้แต่รอยยิ้มนั้นก็ฝืนยิ้มออกมา

กู้ชูหน่วนน้ำตาคลอเบ้าและผลุบตัวโถมไปบนร่างกายของเขา จากนั้นฟังเสียงหัวใจที่อ่อนล้าของเขา

“ท่านพี่เฉินเฟย เหตุใดท่านถึงดีกับข้ามากมายเหลือเกิน…….หากไม่ใช่เพราะข้า ท่านก็คงไม่ต้องนอนเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากมายถึงเพียงนี้……”

“เด็กโง่ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ข้าควรจะดีกับใครนั้น? ทั้งหมดล้วนเป็นความเต็มใจของข้า เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย”

“ข้าไร้ประโยชน์เหลือเกินที่ใช้เวลามากมายเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถหลอมรวมไข่มุกมังกรได้”

ทุกวิธีการที่สามารถทดลอง นางได้ลองทั้งหมดแล้ว แต่นางก็ยังไม่สามารถหลอมรวมได้เลย

อีกห้าวันก็เป็นคืนวันขึ้นสิบห้าค่ำที่พระจันทร์จะเต็มดวงแล้ว

ต่อให้สามารถหลอมรวมสำเร็จ เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน……

นางหวาดกลัวเหลือเกิน……

นางกลัวว่าไม่สามารถหลอมรวมไข่มุกมังกรได้สำเร็จก่อนจะถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำที่พระจันทร์เต็มดวง

ต่อให้อี้เฉินเฟยจะมีชะตาที่แข็งแกร่ง ต่อให้เขาฝืนทนต่อไป เขาก็ไม่สามารถฝืนทนไปจนผ่านวันขึ้นสิบห้าค่ำที่พระจันทร์เต็มดวงและคำสาปโลหิตออกฤทธิ์กำเริบขึ้น

และยังมีเยี่ยจิ่งหาน รวมไปถึงประชาชนที่น่าสงสารทั้งหลายในเผ่าอีกจำนวนมาก……

“เจ้าทำเต็มที่แล้ว เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าความหวังสูงสุดในชีวิตของข้าคืออะไร?”

“หวังว่าข้าจะมีความสุขและไร้ความทุกข์ไปตลอดชีวิต”

“ใช่แล้ว ไม่เพียงข้าเท่านั้น ทุกคนในเผ่าก็คิดเช่นนี้ เรื่องของไข่มุกมังกรนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของโชควาสนาเถอะ หลังจากรวบรวมไข่มุกมังกรครบทั้งเจ็ดเม็ดแล้ว หากสามารถกำจัดทำลายคำสาปโลหิตที่คนรุ่นก่อนหลงเหลือไว้ ผ่านมาแล้วนับร้อยนับพันปี จริงหรือไม่นั้นไม่มีใครรับรู้ได้”

อี้เฉินเฟยยิ่งพูดเสียงยิ่งแผ่วเบา แผ่วเบาจนกู้ชูหน่วนแทบแทบหูฟังถึงจะได้ยินที่เขาพูด

แต่ความรักและความสงสารที่มุมตาของเขานั้นชัดเจนมาก

อี้เฉินเฟยพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาเพื่อปลอบใจนาง

แต่เขาก็ได้เผยความจริงบางอย่างออกมา หากบรรพบุรุษคนรุ่นก่อนคิดผิดล่ะ?

หรืออาจจะเป็นการบอกเล่าสืบทอดกันมานับร้อยนับพันปี แต่สืบทอดบอกเล่าผิดไปล่ะ

หรืออาจถึงขั้น บรรพบุรุษคนรุ่นก่อนพูดสิ่งนี้เพียงแค่ต้องการให้กำลังใจคนในเผ่าให้ตั้งใจใช้ชีวิตอยู่ต่อไป มีเป้าหมายอย่างน้อยก็มีความหวัง

แต่……หลังจากที่รวบรวมไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดครบแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถกำจัดทำลายคำสาปโลหิตไปได้

เมื่อคิดเช่นนี้ กู้ชูหน่วนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

นางไม่เข้าใจเลยว่า นางได้ทำตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษคนรุ่นก่อนเพื่อหลอมรวมไข่มุกมังกรแล้ว แต่เหตุใดถึงไม่สามารถหลอมรวมได้

หรือเป็นเพราะ……

ต้องใช้เลือดทั้งร่างกายของนางเพื่อสังเวย?

“ท่านพี่เฉินเฟย ท่านพักรักษาตัวให้ดีนะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง”

เมื่อเห็นว่าอี้เฉินเฟยที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงแทบลืมตาไม่ขึ้น กู้ชูหน่วนช่วยห่มผ้าให้เขาและจากไป เพื่อให้เขาได้หลับพักผ่อน

หลังจากที่ออกไปจากเรือนไผ่ จอมมารก็ปรากฏตัวออกมา

“พี่หญิง อี้เฉินเฟยก็พูดแล้วว่าเรื่องไข่มุกมังกรนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของโชควาสนา ท่านไม่ต้องคิดมากหรอก”

“เขาสงสารข้า เขาจึงพูดออกมาเช่นนี้”

“ข้าก็สงสารพี่หญิงเช่นกัน ดูสิมือของท่านมีบาดแผลเช่นนี้ จะต้องเจ็บมากแน่ๆ”

“ไม่เจ็บ”

กู้ชูหน่วนสะบัดมือของจอมมารออกและเดินไปทางห้องประชุมของเผ่าหยก

ลูกศิษย์คนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน

“ท่านหัวหน้าเผ่า ผู้อาวุโสสูงกลับมาแล้ว”

“ท่านผู้อาวุโสสูงกลับมาแล้วหรือ? เขาอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่เรือนยา ท่านผู้อาวุโสสูงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อสักครู่ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าเพิ่งจะรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาได้สำเร็จ”

“ไปกันเถอะ รีบพาข้าไปที่เรือนยาเดี๋ยวนี้”

หากต้องการไปที่เรือนยา จำเป็นต้องผ่านการฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้

เผ่าหยกนั้นแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นเป็นสถานที่อยู่อาศัยของประชาชนในเผ่าหยก ที่นี่โดยปกติแล้วจะมีเพียงประชาชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไร้การทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งไม่ต่างไปจากประชาชนที่อยู่นอกเผ่าเลย

และอีกส่วนหนึ่งก็คือสถานที่พักอาศัยของลูกศิษย์ของเผ่าหยก คนที่นี่ล้วนเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี แต่ละรุ่นนั้นล้วนมาเพื่อปกป้องคุ้มครองทุกคนในเผ่าและมีความจงรักภักดีต่อหัวหน้าเผ่า

และทางที่พวกเขาต้องผ่านก็คือสนามประลองศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ศูนย์กลางของที่พักอาศัยของประชาชนในหมู่บ้าน

โดยปกติหากผู้อาวุโสมีเรื่องสำคัญต้องการจะประกาศให้รับทราบโดยทั่วกัน ก็มักจะประกาศขึ้นที่สนามประลองการต่อสู้นี้

หากไม่มีเรื่องต้องประกาศ โดยปกติแล้วชาวเผ่ามักจะไม่รวมตัวกันที่นี่

แต่วันนี้ ที่นี่กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่มารายล้อม

ผู้คนในเผ่าต่างมีอารมณ์โกรธและพวกเขายังขว้างปาสิ่งของต่างๆ ลงบนสนามศิลปะการต่อสู้และพูดตะโกนด่าออกมา

กู้ชูหน่วนหยุดชะงัก “เกิดอะไรขึ้น? ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะเหตุใด?”

“ท่านหัวหน้าเผ่า ข้าตื่นเต้นจนเกือบลืมเล่าให้ท่านฟังเลย เราได้จับนายน้อยของเผ่าเพลิงฟ้าเอาไว้ได้ และตอนนี้เอาถูกมัดเอาไว้ที่สนามประลองศิลปะการต่อสู้”

“จับเหวินเส่าอี๋ได้? ไป๋จิ่นเป็นคนจับได้หรือ?”

“ว่ากันว่าเป็นผู้ส่งสารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็ง คาดว่าน่าจะเป็นแม่นางไป๋จิ่นตามที่ท่านหัวหน้าพูดออกมากระมัง”

กู้ชูหน่วนก้าวเดินไปทางที่ผู้คนพากันรายล้อม

จอมมารก็แอบตามเข้าไปดูด้วย

ไกลออกไปก็สามารถได้ยินเสียงที่คนในเผ่าต่างพากันตะโกนด่าได้ดี

“ตี ตีเขาให้ตาย คนเช่นนี้ไม่สมควรเห็นใจหรอก”

“ใช่ เผ่าเพลิงฟ้าของพวกเขาทำร้ายพวกเราอย่างสาหัสเช่นนี้ เช่นนั้นเราก็ควรทำให้เขารู้ว่าอะไรคือการตายทั้งเป็น”

“เชอะ ใบหน้าก็ดูหล่อเหลา สุภาพเรียบร้อย แต่ใครจะไปรู้ว่าในใจนั้นกลับสกปรกโสมมมากเพียงใด?”

“พี่เฉียว เหตุใดท่านถึงไม่ลงมือล่ะ? รีบลงมือเลยสิ”

“ข้าก็ลงมือจนเจ็บมือไปหมดแล้วนี่ไง?”

“ข้าลงมือเอง พ่อแม่ของข้าต่างตายลงอย่างทุกข์ทรมานจากคำสาปโลหิต พี่ใหญ่และพี่รองของข้าก็ถูกฆ่าตายโดยคนของเผ่าเพลิงฟ้า แค้นนี้ต้องชำระ ข้าแทบทนไม่ไหวที่จะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น”

ฝูงชนที่รายล้อมอยู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทำให้แม้กู้ชูหน่วนเบียดเข้าไปแล้ว ชาวเผ่าก็มองไม่เห็นกู้ชูหน่วน

ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่กู้ชูหน่วนจะเบียดเข้าไปได้

เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางเกือบจะเป็นลมหมดสติไป

นั่นคือฉากอะไรกัน

มือทั้งสองข้างของเหวินเส่าอี๋ถูกมัดแขวนไว้บนราวแขวน ชุดสีขาวของเขาเต็มไปด้วยรอยแส้ฟาดและมีเลือดไหลหยดย้อยออกมาจากร่างกายของเขา

บนร่างกายของเขา ผมที่ดกดำ ใบหน้า เต็มไปด้วยไข่เน่าและผักเน่าจนแทบจำรูปลักษณ์เดิมไม่ได้

มีหลายบริเวณที่ถูกทำร้ายจนเกิดเป็นบาดแผลมีเลือดเช่นกัน

นั่นคือบาดแผลที่ถูกโยนด้วยก้อนหิน

และตอนนี้ ชาวเผ่ายังคงถือไข่เน่าและก้อนหินโยนใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม

ก้อนหินบางส่วนมีขนาดใหญ่และหนัก ทุกครั้งที่โยนออกไปจึงทำให้ร่างกายของเขามีเลือดออกมา

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีชาวเผ่าร่างกายกำยำอีกสองคนที่ถือแส้และกระบองฟาดไปที่บนร่างกายของเขาอย่างไร้ความปรานี โดยไม่สนใจว่าเขาจะมีเลือดออกมากเพียงใด

“หยุดเดี๋ยวนี้……”

บทที่ 682

บทที่ 684