ตอนที่ 387 เป็นอะไรกัน

ตอนที่ 387 เป็นอะไรกัน

“อายุเท่าไรฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หน้าตาดูเหมือนจะห้าสิบกว่านะคะ แต่อายุจริง ๆ คงหกสิบกว่าแล้วมั้ง ได้ยินมาว่าภูมิหลังดีมาก ๆ เลย แถมยังเคยไปต่างจังหวัดด้วย สถานที่ที่เขาไปก็คือหมู่บ้านคุณทางฝั่งนั้นนั่นแหละค่ะ” คุณเฉิงพูดอย่างจริงจัง “ภายหลังกลับมาที่เมืองหลวง ก็เลยมาทำธุรกิจ”

  

“จริงเหรอครับ? ถ้างั้นเถ้าแก่ของคุณก็เก่งมากจริง ๆ กลับมาเมืองหลวงก็มีตึกใหญ่โตขนาดนี้แล้ว” เย่หมิงเป่ยกล่าวชม

คุณเฉิงยิ้ม “ที่บ้านเขาก็เก่งนะคะ ตัวเขาก็ต้องเก่งมากอยู่แล้ว คุณกับเขา…เหมือนพ่อลูกกันจริง ๆ นะคะ!”

 

คุณเฉิงพูดว่าเขาและเถ้าแก่ของเธอหน้าตาคล้ายกันไม่หยุด พูดจนเขาแอบเกิดความสงสัยขึ้นมาเสียแล้วสิ

 

“หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเถ้าแก่ของพวกคุณนะครับ ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจะคล้ายอย่างที่คุณพูดขนาดไหน” เย่หมิงเป่ยแย้มยิ้ม

  

“ตอนนี้ก็มีโอกาสแล้วนะคะ” คุณเฉิงตอบ “อีกไม่กี่วันบริษัทจะมีการประชุมประจำปี เจ้าของของตึกใหญ่จะถูกเชิญให้มาร่วมประชุมด้วย ถึงเวลานั้นคุณก็จะได้เห็นแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะแจ้งเวลาที่แน่นอนให้คุณทราบนะคะ!”

 

เย่หมิงเป่ยตอบ “ดีเลยครับ! งั้นก็รบกวนคุณเฉิงด้วยนะ”

  

“ไม่เป็นไรค่ะ นี่เป็นงานของฉันอยู่แล้ว” คุณเฉิงดื่มไวน์ในแก้วหมดแล้ว จึงขอตัวลา

  

เสี่ยวหม่าเห็นว่าคุณเฉิงกลับไปแล้ว ก็รีบดีดตัวเข้ามากระซิบข้า ๆ เย่หมิงเป่ย “พี่เย่”

“หา? เสี่ยวหม่า นี่นายยังไม่กลับอีกเหรอ?” เย่หมิงเป่ยคิดว่าเสี่ยวหม่ากลับไปนานแล้ว

  

“ยังเลย นี่เป็นงานฉลองเชียวนะ นาน ๆ จะได้ผ่อนคลายสักหน่อย” เสี่ยวหม่าแย้มยิ้ม “ช่วงนี้ผมตึงเครียดตลอดเวลาเลย ในที่สุดก็ได้พักผ่อนสักที”

เย่หมิงเป่ยพูดเคล้ารอยยิ้ม “ดูเหมือนว่านายก็ยังพักผ่อนไม่ได้นะ ปีใหม่ก็ยังต้องถ่ายโฟโต้บุ๊คอีก”

เสี่ยวหม่ามีสีหน้าขมขื่นขึ้นมาแล้ว

 

“แต่ก็มีโบนัสให้นะ เยอะกว่าเงินเดือนนายอีก” เย่หมิงเป่ยรีบปลอบใจ

เสี่ยวหม่าถอนหายใจ “พี่เย่ ต่อให้โบนัสสูงกว่าเงินเดือน ผมก็…”

  

“นายไม่อยากทำ? งั้นฉันจะได้บอกให้พี่โจวของนายไปหาคนอื่น” เย่หมิงเป่ยพูดตัดบทเขา

“อย่าสิพี่ ผมไม่ได้บอกว่าไม่อยากทำสักหน่อย” เสี่ยวหม่ารีบพูด “มีเงินแต่ไม่เอาก็เท่ากับเป็นไอ้งั่งไม่ใช่เหรอ?”

 

“ก็นั่นน่ะสิ แต่เมื่อกี้ท่าทางของนายแอบดูเหมือนอยากจะเป็นไอ้งั่งเสียด้วยสิ”

 

เสี่ยวหม่าแย้ง “พี่เย่ แกล้งผมให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ! เมื่อกี้พี่กับคุณเฉิงคุยกันซะมีความสุขเชียวนะ”

 

“หา?” เย่หมิงเป่ยถึงกับชะงัก “งั้นเหรอ? หล่อนแค่คุยเรื่องประชุมประจำปี อยากจะเชิญให้พวกเราไปเข้าร่วม”

 

เสี่ยวหม่ามองไปรอบ ๆ “พี่เย่ ผมถามอะไรหน่อยสิ แต่พี่อย่าโกรธนะ”

 

“ถามมา”

“พี่กับคุณเฉิงเป็นอะไรกันเหรอ?”

เย่หมิงเป่ยชะงัก “เป็นอะไรกัน? ไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ หล่อนดูแลเรื่องทรัพย์สินภายในตึกนี้ เกี่ยวข้องกันเรื่องงานไง”

  

“เมื่อกี้พี่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ตอนนี้กลับมาบอกว่าเกี่ยวข้องเรื่องงานซะงั้น”

“นายอยากจะพูดอะไร?”

เย่หมิงเป่ยเริ่มโมโหแล้ว อยู่ดี ๆ ก็มาพูดว่าเขาและคุณเฉิงมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร้เหตุผล!

 

เสี่ยวหม่าแอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “ผมแค่อยากจะบอกว่า เมื่อกี้ท่าทางตอนที่พวกพี่คุยกัน แอบดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์…ใกล้ชิดกันเลย”

 

เขาค้างอยู่นานกว่าจะพูดคำนี้ออกมา

 

เย่หมิงเป่ยสีหน้าเคร่งขรึมลง “เรื่องแบบนี้นายอย่าได้เอาไปพูดจาเหลวไหลเชียวนะ!”

 

เสี่ยวหม่ารีบตอบ “พี่เย่อย่าโกรธสิ ผมไม่ได้พูดจาเหลวไหลจริง ๆ ผมก็แค่คิดไปแบบนั้นเอง ผมแค่กลัวว่าคงอื่นอาจจะคิดแบบนี้ ถ้าเข้าใจผิดขึ้นมาจะทำยังไง?”

เดิมทีเย่หมิงเป่ยอารมณ์ดีเพราะงานแฟชั่นโชว์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกคำพูดของเสี่ยวหม่าทำลายจนอารมณ์เสีย แต่เพียงไม่นานเขาก็สงบลง

  

“ฉันกับคุณเฉิงมีความสัมพันธ์แค่เรื่องงานเท่านั้น ฉันเช่าที่นี่ได้ก็เพราะติดต่อกับคุณเฉิง ไป ๆ มา ๆ ก็เจอหน้ากันมาหลายครั้งแล้ว ไหนนายว่ามาสิว่าพวกเราเป็นอะไรกัน!” เย่หมิงเป่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายอยู่ในโลกใบนี้ก็ตั้งใจเรียนให้ดี พี่โจวของนายบอกให้นายพัฒนาไปถึงระดับซุปเปอร์โมเดลไม่ใช่เหรอ? นายก็ควรจะตั้งใจสักหน่อยนะ!”

 

เสี่ยวหม่าไม่ใช่คนโง่ เขามองออกว่าเย่หมิงเป่ยหงุดหงิดแล้ว จึงเปลี่ยนบทสนทนา “พี่เย่ พี่ช่วยบอกพี่โจวหน่อยเถอะว่าอย่ามาเยาะเย้ยผมเลย! ซุปเปอร์โมเดลอะไรกัน ผมอยู่ในขั้นไหนผมก็พอจะรู้ตัวดี ต่อให้ผมตั้งใจก็ไปไม่ถึงซุปเปอร์โมเดลหรอก! ผมได้ยินมาว่า สายอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นวัยรุ่นเพื่อทำงานหาเงิน อีกไม่กี่ปีก็จบเห่แล้ว ผมก็คงต้องหาเงินสักหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยไปหาอย่างอื่นทำ”

“เขาเรียกว่าอาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นหนุ่มสาวเพื่อทำงานหาเงิน[1] ต่างหากล่ะ!” เย่หมิงเป่ยเคาะศีรษะเสี่ยวหม่า “ยังจะบอกว่าอาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นวัยรุ่นเพื่อทำงานหาเงินอีก เรียนรู้ให้มันมาก ๆ หน่อย!”

“ครับ พี่เย่ ผมจะตั้งใจฝึกฝนให้ดี เอาให้ปังยิ่ง ๆ ขึ้นไป!” เสี่ยวหม่าให้คำมั่นสัญญาแบบติดตลก

 

เย่หมิงเป่ยไม่สนใจเขาแล้ว จึงเดินไปคุยกับเหล่าพนักงาน

เสี่ยวหม่าเห็นท่าทางของเย่หมิงเป่ย แอบรำพึงในใจว่า ‘หรือว่าผู้ชายพอมีเงินเข้าหน่อยก็จะเปลี่ยนนิสัยเป็นคนไม่ดีจริง ๆ? แต่…เย่หมิงเป่ยไม่มีเงินนี่นา เงินทั้งหมดนี้เป็นของโจวหมิ่นทั้งนั้น เขาจะเอาอะไรไปทำตัวไม่ดีเนี่ย?’

เสี่ยวหม่าคิดว่าตนเองมองไม่ผิดแน่ คุณเฉิงหันหน้ามาทางเขาพอดี รอยยิ้มของคุณเฉิงดูสดใสขนาดนั้น เหมือนกับตอนที่เขาเห็นพนักงานคนอื่นตกหลุมรักกันเลย

เฮ้อ! หากเป็นแบบนั้นจริง ๆ ถึงเวลานั้นพวกเขาทะเลาะกันขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไรดีเนี่ย?

แม้ว่างานนี้จะมีข้อจำกัดเยอะและเหนื่อยมาก แต่ก็หาเงินได้เยอะมาก แถมยังเหมาะกับเขาด้วย ได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ทุกวัน อย่ามองว่าเขาเอาแต่บ่นเหนื่อยทุกวี่ทุกวัน ความเป็นจริงเขารู้สึกชอบงานนี้มาก เขามาอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งแล้ว โบนัสรวมกับเงินเดือนก็ได้ตั้งหลายร้อยหยวน หากเป็นเมื่อก่อนแม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้าเลย!

 

ดังนั้น เขาจึงหวังว่าเย่หมิงเป่ยและโจวหมิ่นจะรักกันอย่างสวยงามตลอดไปจริง ๆ

 

งานเลี้ยงเลิกราแล้ว เย่หมิงเป่ยและพี่สี่จ้าวกลับเป็นคนสุดท้าย เขาเห็นว่าพี่สี่จ้าวทำท่าจะพูดแต่ก็ยังลังเล แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเสี่ยวหม่า เขาก็ขี้เกียจถามอีกฝ่าย จึงบอกให้พี่สี่จ้าวกลับไปนอน

แต่เขาทายผิดแล้ว เรื่องที่พี่สี่จ้าวอยากถามไม่ใช่เรื่องของคุณเฉิง แต่เขาอยากถามว่าของที่เขาถักออกมาพอจะมองออกหรือไม่ว่าจะขายออกมาเป็นอย่างไร นี่ก็ดื่มไวน์ฉลองกันแล้ว ของของเขาก็น่าจะขายได้ไม่เลวเลยไม่ใช่เหรอ? แต่เมื่อเห็นท่าทางอ่อนล้าของเย่หมิงเป่ย เขาจึงลังเลและไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป

เย่หมิงเป่ยกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว โจวหมิ่นและลูกหลับไปแล้ว ส่วนคุณแม่เย่และคุณป้าก็หลับแล้วเช่นกัน เขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาแบบลวกๆ เดินมาเอนตัวนอน ทั้ง ๆ ที่ง่วงมาก แต่สมองของเขากลับคิดยุ่งเหยิง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

 

เขาไม่เข้าใจเลย เพราะเหตุใดเสี่ยวหม่าถึงได้พูดว่าเขาและคุณเฉิงมีความสัมพันธ์แบบนั้นต่อกัน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็คุยกันด้วยหัวข้อปกติ เสี่ยวหม่าไปเห็นจากมุมไหนกัน?

 

คิด ๆ ดูแล้วก็ทำให้เขาอึดอัดใจ

เย่หมิงเป่ยยื่นมือออกไปกอดโจวหมิ่น ซุกหน้าลงที่ซอกคอของหล่อน กลิ่นหอมละมุนทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย

“กลับมาแล้วเหรอคะ?” โจวหมิ่นขยับตัว เอ่ยถามอย่างงัวเงีย

 

“ผมทำให้คุณตื่นเหรอ” เย่หมิงเป่ยแอบรู้สึกเสียใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเขาก็กลับกันหมดแล้วใช่ไหม?” โจวหมิ่นซบเขาพลางเอ่ยถาม

“กลับไปหมดแล้ว” เย่หมิงเป่ยตอบ “ทุกคนมีความสุขมากเลย ผมให้อั่งเปาพวกเขาแล้วด้วย”

 

“อื้อ หลังจากนี้ก็คงยุ่งกับคำสั่งซื้อแล้ว คาดว่าก่อนปีใหม่ก็คงไม่ว่างแล้ว ลำบากคุณแล้วนะคะ”

โจวหมิ่นกึ่งหลับกึ่งตื่น น้ำเสียงของหล่อนฟังดูนุ่มนวลมาก เย่หมิงเป่ยได้ยินก็รู้สึกใจร้อนผ่าว ใช้แขนกอดหล่อนแน่น ๆ “ไม่เป็นไร คุณพักผ่อนให้เต็มที่นะ ช่วงนี้คุณเองก็เหนื่อยมามาก”

 

“อื้อ งานที่เหลือฝากคุณด้วยนะ” เสียงของโจวหมิ่นแอบแฝงรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้นมาจูบเขา “นอนเถอะค่ะ”

 

“อือ”

ความคิดยุ่งเหยิงของเย่หมิงเป่ยมลายหายไปแล้ว เหลือเพียงความมั่นคง ความเหนื่อยล้าถาโถมขึ้นมาทำให้เขาหลับลึก

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาทั้งคู่ตื่นสายมาก คงเป็นเพราะช่วงนี้พวกเขาทั้งสองคนเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดจริง ๆ

“จริงสิ เมื่อคืน คุณเฉิงคนนั้นบอกว่าจะให้พวกเราไปร่วมการประชุมประจำปีของบริษัทพวกหล่อนด้วย ผมตกปากรับคำไปแล้ว” เย่หมิงเป่ยกล่าว

………………………………………………………………………………………………………………………..

[1] เนื่องจากสำนวนต้นฉบับใช้ว่า “ชือ-ชิง-ชุน-ฟ่าน (吃青春饭)” แปลตรงตัวว่า ‘กินข้าวหนุ่มสาว’ หรือแปลได้ว่า ‘อาชีพที่ต้องพึ่งความเป็นหนุ่มสาวเพื่อทำงานหาเงิน’ แต่ในเรื่องเสี่ยวหม่ากลับพูดสำนวนผิดเป็น “ชือ-เหนียน-ชิง-ฟ่าน (吃年轻饭)” ที่แปลตรงตัวว่า ‘กินข้าววัยรุ่น’ อันที่จริงความหมายก็ไม่ได้ต่างกัน แต่แค่ใช้ไม่ตรงตามสำนวนต้นฉบับ

สารจากผู้แปล

ในสายตาของเสี่ยวหม่าคือนารีมีใจแต่เทพเซียนไร้ไมตรีหรือเปล่า พี่หมิงยิ่งซื่อๆ ไม่ทันคนเรื่องความรักอยู่

ไหหม่า(海馬)