ตอนที่ 391 ภาพวาดฝาผนัง

เซอเจ๋อร่างสูงโปร่งใบหน้าของเขาแสดงออกมาให้เห็นถึงความซื่อตรงและซื่อสัตย์ ทันทีที่ได้ยินซิงเหย๋ชิ้งถามถึงหนังสือ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ในใจตอนนี้เขาเริ่มระมัดระวังตัวแล้วทว่าปากของเขากลับพูดไปว่า ” ซุนหนีคือผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเรา มันเป็นสิ่งที่เขาตรัสรู้และเขาไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือบันทึก ! “

ซิงเหย๋ชิ้งหันมามองเซอเจ๋อ ” เหรอครับ “

แม้ว่าภายในใจของซิงเหย๋ชิ้งจะไม่ได้เชื่ออีกฝ่ายทว่าเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อจากนั้น เรื่องเหล่านี้ถ้าหากถามคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีอย่างเซอเจ๋อแล้วคงจะได้คำตอบแบบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากเป็นคนอื่นคำตอบที่ได้อาจจะไม่ใช่แบบนี้

 

ซิงเหย๋ชิ้งเดินตามเซอเจ๋อไปพร้อมกับเยี่ยมชมหมู่บ้านซื่อสุ่ยและเขาก็ได้ข้อมูลและเข้าใจสิ่งต่างๆภายในนี้ไปไม่น้อย

หลังจากที่เดินลงมาถึงตีนเขาแล้ว จิ่งซ่างหยางจือก็รีบเดินเข้ามา ” ซิงเหย๋จวิน (ไม่มั่นใจว่าเป็นชื่อหรือยศ) เป็นยังไงบ้าง ? ได้เรื่องอะไรบ้างไหม ? “

ซิงเหย๋ชิ้งหันมามองอีกฝ่ายพร้อมกับส่ายหน้า ” ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ แต่ฉันคิดว่ามันก็พอจะมีเบาะแสขึ้นมาบ้างแล้วนะ ครั้งก่อนตอนที่นายไปที่นั่น ซุนหนีเพิ่งจะลาโลกไป พวกเราก็เลยทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ผ่านไปช่วงระยะเวลานึงแล้ว ถ้าเราให้ตั๋วที่เพียงพอเราจะต้องได้ข้อมูลแผนที่ที่มีประโยชน์นั่นมาแน่ๆ ! “

หยางจือกล่าวชื่นชม ” นี่แหละเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว ! “

 

” พรุ่งนี้ฉันจะขึ้นไปบนเขาอีกครั้งและฉันจะต้องได้ข้อมูลเหล่านั้นมาให้ได้ ! ” ซิงเหย๋ชิ้งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

….

บนหินงอกหินย้อยมีลวดลายบางอย่างที่ถูกแกะสลักเอาไว้ เป็นเพราะมีบางส่วนที่ยังไม่หนาเพียงพอจึงทำให้มันถูกแกะให้เป็นรูปใบไม้ นกและปลาแบบเรียบง่ายเท่านั้น ลายเส้นเหล่านี้มีความชัดเจนเป็นอย่างมาก หยางโปจ้องมองภาพแกะสลักเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยดวงตาที่เป็นประกายขณะที่แสงเริ่มปรากฎขึ้นตรงหน้า งานแกะสลักชิ้นนี้เป็นงานที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน !

หลูตงซิงเงยหน้าขึ้น ” ภาพพวกนี้มีความชัดเจนมากและคิดว่าคงจะเกิดขึ้นไม่ได้นานเท่าไหร่นัก คงจะอยู่ที่ราวๆร้อยปี “

 

อาจารย์ฉินลงมาจากหลังของโหยวเสี่ยวอู่ก่อนหน้านี้แล้วตรงบริเวณนี้มีหินงอกหินย้อยทุกหนทุกแห่ง หากยังอยู่บนหลังของโหยวเสี่ยวอู่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาจะชนเข้ากับหินงอกหินย้อยที่อยู่ด้านบน

อาจารย์ฉินจับไม้เท้า ” เดินกันต่อเถอะ “

ตอนนี้รองเท้าของทุกคนเปียกโชก ภายในถ้ำแห่งนี้มืดสนิท โชคดีที่ครั้งนี้มีผู้คนจำนวนมากจึงทำให้มีแสงสว่างสาดส่องไปด้านหน้าจนทำให้ภายในถ้ำเกิดความสว่างขึ้นมา

ระหว่างที่เดินตามหลังอาจารย์ฉิน หยางโปก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง จู่ๆลัวย่าวหัวก็พูดขึ้นมาว่า ” หมู่บ้านชื่อสุ่ยย้ายมาที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว คงจะไม่ได้มีสุสานอยู่ที่นี่หรอกนะ ? “

” จะมีได้ไงล่ะ ” หยางโปส่ายหน้าก่อนที่จะหันไปทำท่าทำทางให้เขาเงียบเสียงลง

 

พวกเขาเดินเข้าไปในถ้ำที่มีความแคบ ในเวลาอันรวดเร็วตรงหน้าของพวกเขาก็เกิดแสงแวววาวขึ้นมา เพราะตรงหน้าปรากฎคาสต์ขึ้นซึ่งยังมีหินงอกหินย้อยอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าถ้ำก็มีความสูงขึ้นมากด้วย หินย้อยมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น หินสีขาวที่อยู่ตรงหน้าเมื่อกระทบกับแสงแล้วมีความสวยงามและระยิบระยับเป็นอย่างมาก

อาจารย์ฉินเดินไปด้านหน้าก่อนที่จะชี้ไปที่กำแพง ” ตรงนี้แหละ “

หยางโปรีบก้าวเท้าไปด้านหน้าก็พบว่ามีกำแพงหินขาวขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ไฟที่สาดส่องไปตรงหน้าหลายดวงทำให้แทบจะมองไม่เห็นกำแพงหินสีขาว

ทุกคนต่างมารวมตัวกันทว่าไม่ว่าจะทำยังไงก็ยังไม่สามารถมองเห็นมันได้อยู่ดี

 

อาจารย์ฉินส่ายหน้า ” ใช้ไฟของเสียวอู่คนเดียว ส่วนคนอื่นดับไฟก่อน ! “

ทุกคนรีบดับไฟในมือจนทำให้ถ้ำเกิดความมืดขึ้น ตอนนี้มีเพียงแสงสว่างเพียงดวงเดียวเท่านั้น ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นภาพเขียนที่อยู่บนกำแพงหิน

เสี่ยวอู่ดูเหมือนว่าจะมองเห็นแล้วเขาจึงเดินถือไฟฉายและส่องไปบนกำแพงจนทำให้ปรากฏภาพแรกบนกำแพงขึ้น

ภาพที่หยางโปเห็นคือเป็นฉากของกลุ่มคนที่กำลังร้องเพลงและเต้นรำรอบกองไฟ

ตอนที่ทุกคนเห็นภาพวาดแรกบนกำแพงเพียงไม่นานภาพที่สองก็ปรากฏขึ้น ซึ่งมันเป็นภาพของชายคนหนึ่งที่มีใบไม้ปกคลุมอยู่บนศีรษะของเขา ในมือถือกระดูกสัตว์ชิ้นหนึ่งและตรงหน้าก็ยังมีเตาอั้งโล่อีกใบ

 

หยางโปมองอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะเดาออกได้ว่านี่คือภาพของหมอผี ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ภาพที่สามเป็นภาพของผู้คนที่กำลังวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าจะมองจากระยะไกลก็พอจะเดาออกว่าคนเหล่านั้นกำลังถูกไล่ล่าอยู่

ภาพที่สี่เป็นภาพของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังยืนล้อมโต๊ะเอาไว้และทุกคนดูเหมือนเหมือนกำลังปรึกษาและพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่

ภาพจิตรกรรมฝาผนังมาถึงจุดจบอย่างฉับพลัน ภาพทั้งสี่นี้เมื่อมองดูแล้วช่างเป็นเรื่องยากที่จะสามารถเข้าใจได้ หยางโปใช้เวลาไต่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงภาพวาดเหล่านี้ได้อยู่ดี

 

ลัวย่าวหัวมองภาพตรงหน้า ” ชีวิตที่มีความสุขกับการร้องเล่นเต้นรำ เทพ สงครามที่กำลังจะมาถึง การรวมตัวกัน…ภาพวาดทั้งสี่ภาพนี้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่ามันยากที่จะนำมาประติดประต่อเป็นเรื่องราวเดียวกันนะ “

หลูตงซิง ” แปลกประหลาดมากจริงๆ นี่มันมีความหมายว่ายังไงกันแน่ ? นี่เป็นภาพแกะสลักโดยบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ที่พวกเขาแกะสลักภาพวาดเอาไว้แบบนี้มันมีความหมายว่ายังไงกัน…หรือว่ามันจะเป็นการบันทึกประสบการณ์อันทุกข์ทรมานที่พวกเขาประสบพบเจอ ? “

หยางโปไม่ได้พูดอะไรแต่เขาเงยหน้าขึ้นไปมองอาจารย์ฉิน เขารู้สึกว่าการที่อาจารย์ฉินพาพวกเขามาที่นี่จะต้องมีอะไรที่จะสามารถอธิบายได้แน่ๆ

อาจารย์ฉินพิงตัวเข้ากับหินที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับเริ่มพูดขึ้น ” เป็นเพราะพวกนายไม่เข้าใจชนเผ่าอี้ จึงทำให้ไม่เข้าใจภาพวาดเหล่านี้ยังไงล่ะ “

 

ทุกคนหันมามองอาจารย์ฉินพร้อมกับฟังสิ่งที่เขากำลังอธิบาย ” มีการเล่าต่อๆกันมาว่าชาวอี้น่ะเป็นทายาทของอาณาจักรเย่หลาง ภาพวาดเหล่านี้เองก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ ชาวอี้มีความชื่นชอบในการร้องเล่นเต้นรำมาก ในทุกๆเผ่าจะมีหมอผีอยู่ภายในเผ่าด้วยซึ่งก็เรียกอีกชื่อว่าเป็นซุนหนีนั่นแหละหรือเรียกอีกชื่อว่าปี้โม๋ พวกเขานั้นมีพลังอำนาจสูงสุดภายในเผ่าเลยล่ะ “

” ตำนานเล่าว่าอาณาจักรเย่หลางถูกกลุ่มฮั่นทำลายลงและคนรุ่นหลังก็พยายามที่จะแสวงหาการกู้คืนเผ่าพันธุ์กลับมา และนี่คือความหมายของภาพวาดเหล่านี้ที่ต้องการจะสื่อออกมา “

หยางโปจ้องอาจารย์ฉินด้วยด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า ” อาจารย์รู้ได้ยังไงเหรอครับ ? “

 

” แม้ว่าจะเกิดความบาดหมางกับซุนหนี แต่ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยมีการติดต่อกัน และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ฉันได้ยินจากปากของซุนหนีเอง “

หยางโปจ้องหน้าอีกฝ่าย เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าซุนหนีอยู่ที่ไหนกันแน่ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไป

ลัวย่าวหัวเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมา ” นี่คงจะเป็นร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ในช่วงบรรพบุรุษสินะ แต่ทำไมถึงต้องมาแกะสลักเอาไว้ที่นี่ด้วย ? หรือว่าที่นี่จะเป็นที่รวมตัวลับของพวกเขา ? หรือว่าพวกเขาเองก็มีความคิดจะทำเรื่องไม่ดี ? “

 

” เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว จะมีความคิดทำเรื่องไม่ดีได้ยังไงกันล่ะ ? ที่นี่คงจะเป็นที่ที่เอาไว้ใช้สำหรับการจดบันทึกนั่นแหละ ” หลูตงซิงพูด

อาจารย์ฉินถือไม้เท้าพร้อมกับเดินไปด้านหน้าต่อ

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เดินตามเขาไปติดๆในขณะที่หยางโปเริ่มคิดได้ว่าบางทีภาพวาดเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ภาพวาดทั้งหมดที่มีอยู่ !

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวอาจารย์ฉินก็หยุดเดินอีกครั้ง ทันทีที่เงยหน้ามองหยางโปก็เห็นภาพวาดบนกำแพงซึ่งมันเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่มีภูเขาและแม่น้ำ หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ไม่พบข้อมูลอื่นๆนอกจากนั้น

 

อาจารย์ฉินชี้ไปที่มุมที่ห่างออกไปไม่ไกล ” ใบไผ่ที่อยู่ในนี้เน่าและสลายไปหมดแล้วเลยเหลือเพียงแค่ภาพวาดบนกำแพงเนี่ยแหละ ชาวอี้ของหมู่บ้านซื่อสุ่ยเป็นผู้รอดชีวิตจากอาณาจักรเย้หลางแถมมีของจำนวนมากด้วยและแน่นอนว่ามันจะต้องมีของที่ตกไปถึงมือของซุนหนีแน่ ! “

หลูตงซิงพยักหน้า ” ยังไม่สายเกินไป พวกเรารีบขึ้นไปดูกันเถอะ ! “