บทที่ 52 Ink Stone_Romance

มิเอลมัวแต่เตรียมตัวออกไปข้างนอกจนไม่มีเวลาว่อกแว่ก ทาน้ำมันหอมลงบนผมพลางหวีให้ได้ทรง และแต้มสีปากเพิ่ม

เพราะเป็นเวลานานกว่าจะได้โอกาสเจอท่านออสการ์ ในขณะที่กำลังเลือกชุดออกไปข้างนอกที่เหมาะกับฤดูใบไม้ผลิพลางนึกจดหมายตอบกลับจากดัชเชสของเฟรดเดอริก

[แด่ เลดี้มิเอลที่รัก หวังว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์จะเลดี้มาเล่นที่คฤหาสน์ที่นี่ คิดว่าจะให้ออสการ์ออกมาพบกับเลดี้ด้วยค่ะ]

‘ตายจริง… จริงๆ แล้วดัชเชสเป็นนางฟ้าใช่ไหมนะ’

หลังจากส่งจดหมายว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างออสการ์กับเธอไม่เป็นไปดั่งที่หวัง ดัชเชสก็จัดแจงให้เธอได้พบกับออสการ์ทันที

“เลดี้คะ ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้วค่ะ”

“อืม เอ็มม่า”

แสนงดงาม แต่ไม่มากจนเกินไป

มิเอลเติมแต่งตัวเองตามรสนิยมที่ออสการ์ชอบ ข้ารับใช้สวมเสื้อคลุมนอกให้พลางออกไปนอกคฤหาสน์พร้อมกับเอ็มม่า

“เป็นไง แปลกไหม”

“แปลกอะไรกันคะ งดงามมากเลยค่ะเลดี้”

“ขอบใจนะ เอ็มม่า ถ้าเธอว่าอย่างนั้นก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”

มิเอลที่อยู่ต่อหน้าเอ็มม่าก็กลายเป็นเด็กน้อย ยิ้มอย่างเขินอาย เอ็มม่าที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างเบาใจ เป็นภาพที่เหมือนพี่น้องมากกว่าอาเรียกับแม่ของเธอ

สำหรับมิเอลแล้ว เอ็มม่าเป็นเหมือนกับแม่ของเธอ เอ็มม่าคอยปกป้องอยู่ข้างๆ มิเอลตั้งแต่เกิด หากมีอะไรมาขวางทางจะคอยจัดการให้เสมอ

แท้จริงแล้วต้นกำเนิดของเอ็มม่ามาจากตระกูลชั้นสูง

แต่ทว่าโชคร้ายที่สามีของหล่อนตายไปพร้อมกับทิ้งหนี้ก้อนโตเอาไว้ แม้จะขายบรรดาศักดิ์ตัวเองแต่ก็ไม่สามารถใช้หนี้ทั้งหมดได้

หล่อนที่ตกใจจนแท้งลูก ความเศร้าจากการเสียทุกอย่างไปทำให้หล่อนแทบจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ

แล้วคนที่บังเอิญไปช่วยหล่อนมาได้ก็คือท่านเคาน์ติส เคาน์ติสพาหล่อนมายังคฤหาสน์ท่านเคานต์เพื่อจะให้เป็นข้ารับใช้ในสังกัดตัวเองช่วยให้หล่อนได้มีชีวิตใหม่

แต่ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก ฟ้ากลับแย่งตัวท่านเคาน์ติสไปจากเอ็มม่า ท่านเคาน์ติสเสียชีวิตหลังจากคลอดมิเอล

เพราะฉะนั้นนั่นอาจเป็นเหตุให้หล่อนเริ่มดูแลเลี้ยงดูมิเอลแทนท่านเคาน์ติส หล่อนไม่เหลือใครแล้วนอกจากมิเอล จึงตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตามจะปกป้องแค่มิเอลเท่านั้น

หากไม่มีสองแม่ลูกโสโครกนั่นมายุ่งเกี่ยวกับตระกูลท่านเคานต์ เรื่องนั้นก็คงจะเสร็จสิ้นไปอย่างง่ายดาย

ตั้งแต่วันที่อาเรียย่างก้าวมาในคฤหาสน์ เอ็มม่าคอยสาปแช่งสองแม่ลูกนั่นไม่เว้นแต่ละวัน

เพื่อความสุขของเลดี้มิเอลเท่านั้น

มิเอลที่คิดว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกับออสการ์ ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพลางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออกจึงถามเอ็มม่า

“…จะว่าไป คนขับรถม้านั่นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ คนขับรถม้าที่ถูกไล่ออกคนนั้นชื่อว่าอะไรแล้วนะ”

“กล่าวถึง อีริคเหรอคะ”

เป็นคนขับรถม้าที่ถูกไล่ออกครั้งก่อนจากเรื่องของมิเอล

“อ๋อ น่าจะชื่อนั้นสินะ โดนไล่ออกไปสักพักแล้วนี่ เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน สบายดีอยู่ไหมนะ”

“แน่นอนสิคะ จัดการไม่ให้นินทาลับหลังไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“แล้วคนขับรถม้าคนอื่นล่ะ”

“ยากีหาตำแหน่งงานอื่นให้เรียบร้อยแล้วค่ะ จะว่าไปงานทำความสะอาดคอกม้าก็หนักใช่ย่อยอยู่เหมือนกันนะคะ”

“เอ็มม่านี่เป็นคนใจดีจริงๆ เลยนะ”

มิเอลยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน และทั้งหอมหวาน เหมือนกับชื่อของเธอ พลางพูดเสริม แม้จะเป็นเพียงคนขับรถม้าก็ตามยังมีจิตใจเมตตาให้อีกด้วย

“ช่วงนี้หนูกลัวอาเรียนิดหน่อยค่ะ”

“กลัวเหรอคะ”

“ตั้งแต่เมื่อฤดูร้อน ปีที่แล้วหรือเปล่านะ… หล่อนทำตัวเหมือนเปลี่ยนไปอีกเป็นอีกคน ทำให้หนูกังวลใจอยู่นิดหน่อย”

“…เลดี้คะ”

เพราะใบหน้ามิเอลที่เหมือนมีเมฆบดบังทำเอาเธอปวดใจ ใบหน้าที่ควรจะยิ้มอย่างสดใสราวกับดอกไม้เท่านั้น

จู่ๆ อาเรียก็ดึงดูดความสนใจของออสการ์ไปได้ จึงสั่งการคนขับรถม้าทำให้หล่อนกลัว แต่นางเจ้าเล่ห์แสนต่ำต้อยนั่นดันเข้ามายุ่งกับนางโสเภณี ทำแผนการที่วางไว้พังไปหมด

เอาเรื่องขี้หมูขี้หมามาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับเสแสร้งแกล้งทำจนกระทั่งไปเตือนข้ารับใช้ในคฤหาสน์อีก แค่คิดอีกครั้งความแค้นก็พลุ่งพล่านจนกำมือแน่นไม่ได้

คฤหาสน์ท่านเคานต์ที่ทั้งสง่าและมีเกียรติ ต้องมาแปดเปื้อนเพราะสองแม่ลูกโสเภณีสกปรกพวกนี้

“เดี๋ยวก็จะไม่มีเรื่องให้กวนใจเลดี้แล้วล่ะค่ะ”

“งั้นเหรอ”

“ใช่แล้วค่ะ มีแอนนี่เกาะติดไว้แล้วด้วยนี่คะ”

“แต่จะว่าไป แอนนี่น่ะ…”

แอนนี่ที่เกาะติดอาเรียอยู่นั้นเป็นเด็กที่เคารพมิเอล ทั้งใฝ่ฝันจนอิจฉาเธอ

ตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์ท่านเคานต์ตอนเด็กๆ แล้ว เพราะได้รับการอบรมว่าการมีอยู่ของมิเอลเป็นเรื่องล้ำค่าเพียงไหน หล่อนจึงได้แต่คอยสรรเสริญมิเอลอยู่ข้างๆ

ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนมักใหญ่ใฝ่สูงและโลภมากจนอาจจะถูกหลอกได้ง่ายเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ วันถัดไปเธอจึงสั่งการในแวดวงข้ารับใช้ว่าให้ไปสืบข้อมูลของอาเรีย

“หล่อนจะทำได้ดีจริงๆ ไหมนะ จะว่าไปช่วงนี้หล่อนดูสนิทสนมกับอาเรียนี่”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เลดี้ เริ่มสนิทชิดเชื้อไปเรื่อยๆ จะได้เกลี้ยกล่อมง่ายอย่างไรล่ะคะ”

“…งั้นหรือ”

ถึงจะพูดอย่างนั้น… แต่มิเอลเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ ที่จริงในสายตาของเอ็มม่าก็มองว่าแอนนี่ดูจะสนิทสนมกับอาเรียมากเกินไปเหมือนกัน จึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่นิดหน่อย

ไม่ว่าอย่างไรคงต้องเตือนความจำหล่อนที่เคยสัญญาเรื่องอนาคตสักหน่อย เพื่อคลายความกังวลของเลดี้มิเอล

“แน่นอนสิคะ คอยยุยงว่าในงานพบปะกันของเหล่าเลดี้ชนชั้นสูงดันมีลูกนางโสเภณีมายุ่งเกี่ยวด้วย ดูแล้วไม่เป็นท่าเอาซะเลย ทั้งยังฟ้องว่ามัวแต่เสริมเติมแต่งตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันจนไม่เป็นอันทำอะไรด้วยล่ะค่ะ คงจะเหมือนแม่ของนางค่ะ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี…”

“ไม่ต้องกังวลไปเลยค่ะ หลังจากแอนนี่คอยเกาะติดจนได้ที่แล้ว จะส่งข้ารับใช้คนอื่นไปด้วย เอาเด็กที่ฉลาดกว่าแอนนี่ทำให้นังนั่นตกหลุมพรางได้ค่ะ”

“อืม เป็นความคิดที่ดี เห็นไหม เอ็มม่าใจตรงกับหนูจริงๆ เลยนะคะ”

“ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วค่ะ”

ระหว่างที่คุยกะหนุงกะหนิงกัน รถม้าก็เริ่มลดความเร็วลงจนกระทั่งหยุดจอดอย่างนุ่มนวล คอยจัดแจงเสื้อเล็กน้อยพลางนั่งรอในรถ สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรถม้าดัง

ก๊อกๆ

ทันใดที่เธอลงมาจากรถม้า ดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกก็ยิ้มต้อนรับมิเอลอย่างชื่นมื่น

“มิเอล!”

“ท่านไอซิส…!”

แม้จะคล้ายกับออสการ์แต่ไอซิสดูอ่อนโยนกว่าเล็กน้อย ทำให้ใจของมิเอลหวั่นไหวอยู่ทุกครั้ง เพราะเธอทำให้มิเอลนึกภาพของออสการ์ตอนยังเป็นหนุ่มน้อยอย่างไรล่ะ

ผมดำขลับที่ถูกถักเปียนั้นช่างงดงาม ราวกับเทพธิดาที่หลุดออกมาจากโลกนิยาย

ชื่นชมความงามได้สักพัก มิเอลจึงย่อเข่าโค้งคำนับอย่างสุภาพ ไอซิสเป็นอย่างนั้นจึงทักทาย ต้อนรับเธอเป็นอย่างดี

“นี่นานแค่ไหนกันเนี่ยคะ วันเกิดเมื่อครั้งก่อนเรายุ่งจนไม่ได้เข้าร่วมงานด้วยเลย ขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ! แค่ท่านส่งของขวัญมาให้ดิฉันก็ดีใจมากแล้วค่ะ หนังสือน่าสนใจและสนุกมากจนข้าอดหลับอดนอนอ่านทั้งคืนเลยค่ะ”

“งั้นค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ! ถ้าเป็นเลดี้มิเอลต้องชอบอยู่แล้วแน่เลย”

ไอซิสจับมือมิเอลพลางพูด

“รีบเข้าไปกันเถอะค่ะ! เชฟคนใหม่ของเราเตรียมสุดยอดอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดที่จากคนทานน้อยอย่างเรายังเปลี่ยนเป็นจอมตะกละได้เลย”

“ตายจริง จะอร่อยสักเพียงไหนเชียว ถึงได้เป็นขนาดนั้น ดิฉันคาดหวังแล้วค่ะ”

แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ทั้งสองคนที่จับมือกันต่างเดินไปยังห้องอาหารเรื่อยๆอ ย่างสง่างาม

ดูเหมือนว่าคำพูดของไอซิสจะไม่ใช่คำโกหก อาหารที่จัดเตรียมเอาไว้ถูกปากมิเอลเป็นอย่างมาก จากที่ทานอาหารอย่างช้าๆ สบายๆ ตอนนี้มือของเธอเริ่มยุ่งและเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

แต่จะทานจนอิ่มไม่ได้ มิเอลจึงเหลืออาหารอย่างพอเหมาะ เช็ดปากตัวเองพลางมองไปรอบๆ ไอซิสที่มองออกจึงรู้สาเหตุของการกระทำนั้น จึงบอกสิ่งที่มิเอลต้องการ

“เราอยากจะให้เลดี้และออสการ์ได้ใช้เวลากันสองต่อสอง เลยบอกเวลาช้ากว่านี้นิดหน่อยน่ะค่ะ”

“งั้นตอนนี้ก็น่าจะกำลังเดินทางมาสินะคะ”

“คงจะอย่างนั้นค่ะ ดื่มชาแล้วคุยกันไปเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวก็คงจะเดินทางมาถึงแน่นอนค่ะ”

“ดิฉันว่าเพราะได้คุยกับคุณไอซิสสนุกจนลืมเวลาแน่เลยล่ะค่ะ”

ไม่ใช่คำพูดเปล่าๆ แต่การได้คุยกับท่านไอซิสนั้นสนุกจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องออสการ์ แต่เพราะหลังจากที่ได้คุยกับท่านแล้วอาจจะช่วยให้ท่าทางของออสการ์เปลี่ยนไปบ้าง

แน่นอนว่าแม้จะไม่ได้ทำดีกับเธอหรือดูแลมากจนเกินไป แต่ก็มีของขวัญส่งมาบ้างบางครั้ง รวมไปถึงจดหมายขอโทษว่าตัวเองยุ่งจนไม่มีเวลาติดต่อ

และวันนี้… ต่างกับที่เธอเคยคาดหวังไว้ วันนี้เธอหวังอะไรที่มากกว่านั้น อย่างเช่นการจัดงานหมั้นของออสการ์กับเธอเองที่เคยเกริ่นไว้สั้นๆ

“คุณออสการ์คงจะยุ่งกับการสอบจบสินะคะ”

“น่าจะเพราะอย่างนั้นล่ะค่ะ”

ดูเหมือนว่าไอซิสที่ตอบจะนึกถึงใบหน้าของออสการ์น้องชายของตน จึงยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล

“เด็กนั่นแม้จะสมบูรณ์แบบอยู่แล้วก็ยังพยายามจนถึงที่สุด ลำบากตัวเองอยู่อย่างนั้นล่ะค่ะ เพราะอย่างนั้น เลดี้ก็เห็นนี่คะ เริ่มออกอาการมาแล้วนี่”

“แต่อย่างไรก็ตาม… ยังดูเท่เสมอเลยค่ะ”

เพราะอีกไม่นานก็จะแบกรับอำนาจที่ยิ่งใหญ่แล้ว ดูท่าจะกดดันตัวเองไม่น้อย ไม่อยากพลาดอะไรแม้แต่เรื่องเล็กสินะ

จึงได้พยายามอย่างหนักไม่ว่าจะตอนกลางคืนหรือกลางวัน เพราะอย่างนั้น แม้เขาจะละเลยตนเองก็ตาม มิเอลไม่ได้ติดใจโกรธอะไรเลย

“ถ้าอย่างนั้นเราก็โล่งอกแล้ว หากเลดี้มิเอลมองอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ เพราะนอกจากเลดี้มิเอลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดูดีเพื่อหญิงคนอื่นอย่างไรล่ะคะ”

ใบหน้าของไอซิสที่พูดว่าโล่งใจ กลับไม่โล่งใจเลยแม้แต่นิด กลับแสดงสีหน้าว่า หากมีอะไรอยากจะพูดก็ให้พูดออกมา ซะอย่างนั้น

แม้เธอจะไม่ได้ใจกว้างอะไรนักแต่เมื่อนึกถึงคำนินทาพวกนั้น มิเอลจึงตอบโดยไม่รอเวลา

“แต่จะว่าไปบางครั้งดิฉันก็รู้สึกเหงาค่ะ”

“…ตายจริง ทำให้เลดี้มิเอลแสนน่ารักต้องเหงาเช่นนี้ เห็นทีว่าต้องดุสักหน่อยแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ! ดิฉันแค่รู้สึกคนเดียวน่ะค่ะ กลับกันดิฉันเห็นคุณออสการ์ที่พยายามขนาดนั้นแล้วแต่ตัวเองกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็เลยรู้สึกแบบนั้นค่ะ”

เพราะท่าทางที่ดูเหมือนจะไปดุเสียจริงๆ ทำเอามิเอลต้องรีบแก้ตัวเพื่อออสการ์

ถึงแม้จะรู้ว่าไอซิสไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน แต่นี่คือภาพที่หล่อนต้องการเห็นจากมิเอล เธอจึงจงใจแสดงสีหน้าแดงก่ำพลางก้มหน้าลง

ฉลาดแต่ไม่ออกนอกหน้าจนเกินไป แม้จะมีเรื่องไม่พอใจแต่ก็จัดการได้เอง ทั้งยังเชื่อฟังอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเพราะเกียรติยศของดยุกทำให้เธอต้องคอยนอบน้อมตัวอยู่เสมอ

เพราะการหมั้นกับออสการ์จะต้องไม่มีเรื่องแย่ๆ ซึ่งมิเอลสามารถทำมันออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะมีแค่เธอเท่านั้นที่จะทำให้ออสการ์และตนเองสืบสายใยได้ ไอซิสยิ้มอย่างพอใจ

“ไม่ต้องเป็นกังวลไปเลย มิเอล เพราะไม่ว่าอย่างไร ออสการ์จะต้องได้หมั้นกับเลดี้แน่นอนนะคะ”

“…จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือคะ”

“แน่นอนสิคะ ข้าคิดอย่างนั้นก็ต้องเป็นไปตามนั้นสิ”

แม้จะกล่าวว่าออสการ์เป็นทายาทของดยุกแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นตุ๊กตาชักใยของไอซิส ผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริงต่างหาก

นอกเหนือจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ผู้ที่กุมอำนาจก็คือสะใภ้ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นความเฉลียวฉลาดที่พิเศษ ยังทำให้บรรดาตระกูลชนชั้นสูงได้รับอำนาจอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสามารถขัดคำพูดของหญิงที่มีข่าวว่าจะได้แต่งงานกับมกุฎราชกุมารได้ ออสการ์น้องชายของเธอก็ยิ่งไปกว่านั้น

“เพราะข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือนี่คะ”

หรือว่าเธอจะได้ยินข่าวลือของอาเรียนะ แต่ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้นก็เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไรก็ตามเพราะคำพูดของไอซิสแค่คำเดียว ก็ทำให้ออสการ์กลับมาหามิเอลได้

“ออสการ์มาพอดีเลยนี่ ถ้าอย่างนั้นคุยเรื่องต่อไป ให้เขามานั่งเลยไหม”

“…ค่ะ!

สายตามิเอลที่ส่งไปหาไอซิสนั้น เต็มไปด้วยความเชื่อใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

……………………….