หลังจากเซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งหนีไป พวกเขาก็ไม่สามารถเดินทางไปตามถนนหลวงได้อีก ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนไปใช้ทางเล็กขึ้นเขาแทน เขาคิดจะหาสถานที่สักแห่งลงหลักปักฐาน แม้ในใจจะเฝ้าหวังให้บ้านยังอยู่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ได้ไหม
แต่ไม่ว่าจะอ้อมอย่างไร พวกเขาก็ต้องผ่านปากทางขึ้นเขาอยู่ดี
บริเวณปากทางขึ้นเขาในยามนี้ดูเจริญขึ้นมาก เรียกได้ว่าคึกคักยิ่งกว่าตลาดเสียอีก ข้างทางเต็มไปด้วยแผงขายของกินชนิดต่างๆ แผงดูดวง แผงขายผ้า แผงขายของป่า มีแม้กระทั่งแผงรักษาโรค
ที่มากยิ่งกว่านั้นคือ คนที่มากราบไหว้ต้าเซียน
ตรงปากทางขึ้นเขาเว่ยอวิ๋นมีรูปสลักของหญิงสาวคนหนึ่งตั้งอยู่ นางสวมชุดสีขาว เส้นผมและเสื้อผ้าปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าแหงนเงยขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังทอดตามองไปไกล
ที่เบื้องล่างคือเหล่าสาธุชนซึ่งเดินทางมากราบไหว้
กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็ตกใจมาก
“มีอะไรหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงกระซิบถาม จริงๆ แล้วพวกเขาน่าจะชินกับภาพแบบนี้ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดไม่ถึงเท่านั้น”
กู้จิ้งทอดถอนใจ คิดไม่ถึงเลยว่ารูปสลักที่เคยเห็นในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า รูปสลักที่เธอเคยใช้กิ่งไม้ฟันเล่นในยามว่าง รูปสลักที่เพื่อนก้นเปลือยข้างบ้านเคยใช้หนังสติ๊กยิงลูกตา…จะเป็นตัวเธอเอง!
ถ้ารู้แบบนี้ เธอคงจะบอกเพื่อนๆ ไปแล้วว่านี่คือเซียน จะล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด
ไม่ได้ เธอกับเซียวเถี่ยเฟิงจะต้องรีบรับเด็กๆ มาเลี้ยงเป็นลูก จากนั้นก็ต้องตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นให้ลูกๆ ปฏิบัติตาม
ลูกหลานทุกคนมีหน้าที่ต้องปกป้องรูปสลักของหมอเทวดา
“เรารีบรับเด็กมาเลี้ยงกันเถอะ” ถึงตอนนี้กู้จิ้งค่อยนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“อืม ข้าคิดดูแล้ว ครั้งนี้เรากลับมาเขาเว่ยอวิ๋นก็คัดเลือกดู ลองรับมาเลี้ยงสักสองคนก่อน”
“ได้ ตามใจนาย”
ระหว่างที่พูด ทั้งสองก็แอบเดินอ้อมรูปสลักขึ้นไปบนเขา
“ไม่รู้ว่าเพราะอายุมากขึ้นหรือเปล่า ตอนนี้แค่ปีนเขาฉันก็เหนื่อยแล้ว” กู้จิ้งถอนใจ
ทำไมถึงปวดเอวปวดหลังแบบนี้นะ แขนขาก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
“มา ข้าจะแบกเจ้า” เซียวเถี่ยเฟิงก้มตัวลงให้กู้จิ้งปีนขึ้นมาบนหลัง
กู้จิ้งรู้สึกเหนื่อยมาก จึงยอมให้เขาแบกแต่โดยดี
เธอซบร่างแนบแผ่นหลังแข็งแกร่งพลางใช้มือโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ตามองทิวทัศน์บนภูเขาในเดือนสาม สายลมที่โชยมาสัมผัสกับใบหน้าเบาๆ ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต
“เจ้ายังจำผลหรูหรูที่เราเคยกินได้ไหม?” สิ่งแรกที่ทำให้พวกเขาสองคนสื่อสารกันรู้เรื่องคือผลหรูหรู
“จำได้อยู่แล้ว” ตอนนั้นเขาอุ้มเธอเอาไว้ เธออยากกินผลหรูหรูมากจนถึงขั้นแค่เห็นก็น้ำลายไหล
“ไม่รู้ว่าตอนนี้มีผลหรูหรูไหม ฉันยังอยากกินอีก”
“ได้ เจ้านั่งรออยู่ตรงหินก้อนนี้ก่อน ข้าจะไปเด็ดมาให้!”
“อืมๆ!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเถี่ยเฟิงก็เด็ดผลหรูหรูสดใหม่กลับมา เขาเอามันไปล้างที่ลำธารให้สะอาดก่อนจะเอามาส่งให้เธอเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน ดวงตาของกู้จิ้งเปล่งประกายสุกใส เธอขยับไปนั่งข้างๆ เซียวเถี่ยเฟิงแล้วเอนกายพิงเขา จากนั้นก็เริ่มกิน
“อย่ากินมากเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเข็ดฟันอีก” ไม่มีทางเลือก ยัยโง่ตัวน้อยนี่ต้องให้เขาคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อย
“รู้แล้วน่า…” กู้จิ้งยิ้มออดอ้อน
เธอจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด
“ใช่แล้ว ตอนเจ้าเด็กๆ ข้าก็เคยพาเจ้ามากินผลหรูหรู” เซียวเถี่ยเฟิงมองทิวทัศน์อันงดงามตรงหน้าพลางคิดถึงเรื่องในอดีตเมื่อหลายปีก่อน สมัยที่กู้จิ้งเป็นเด็กตัวเล็กๆ เขาเคยพาเธอเดินเข้ามาในป่าแล้วเก็บผลหรูหรูให้กิน
“ตอนนั้นเจ้ายังเล็กมาก รู้แค่ว่ามันอร่อย แต่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ข้าเป็นคนสอนเจ้า”
“งั้นหรือ?” กู้จิ้งจำไม่ได้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย เธอป้อนผลหรูหรูให้เขาพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “นายเล่าเรื่องสมัยฉันยังเด็กให้ฟังหน่อยสิ”
เซียวเถี่ยเฟิงลิ้มรสเปรี้ยวอมหวานในปาก จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟัง
จริงๆ ก็ไม่มีอะไร ตอนนั้นเธอเป็นแขกของตระกูลจ้าว แถมยังมาอยู่ที่หมู่บ้านแค่ไม่กี่วัน เขาเองก็ได้พบกับเธอแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
“ข้าเป็นคนสอนให้เจ้ารู้ว่านี่คือผลหรูหรู ตอนนั้นเจ้ายังเล็กมาก ยังพูดไม่ค่อยคล่อง แถมยังไม่ค่อยฉลาด หัดพูดน้ำลายไหลยืดอยู่ตั้งนานถึงจะพูดคำว่าผลหรูหรูเป็น”
เซียวเถี่ยเฟิงพูดความจริง
แต่กู้จิ้งไม่พอใจ เธอแค่นเสียงฮึดฮัดอยู่ในอ้อมอกของเขา “นายสิโง่!”
เซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอแน่น “ได้ ข้าโง่ก็ได้”
แต่กู้จิ้งยังไม่พอใจ เธอใช้มือข่วนเขา “เล่าต่อสิ”
เธอกับเขาเคยมีอดีตร่วมกันแบบนั้นด้วยหรือ ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าเป็นคู่รักที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็กได้น่ะสิ?
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินว่ากู้จิ้งยังอยากฟังอีกก็คิดจะเล่าเรื่องสมัยเธอยังเด็กให้ฟัง แต่เขาก็ไม่รู้จะเล่าอะไร ดังนั้นจึงได้แต่พูดว่า “เจ้าว่า ทำไมการออกเสียงคำหลายๆ คำในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าไม่เหมือนกับตอนนี้ แต่คำว่าผลหรูหรูกลับยังออกเสียงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง!”
วัฒนธรรมจีนลึกล้ำ ภาษากับสำเนียงพูดอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา อย่าว่าแต่ในอนาคตหนึ่งพันปีข้างหน้ายังมีการหลอมรวมวัฒนธรรมบางอย่างเข้ากับชนต่างเผ่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายให้ชัดเจนได้ด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงประโยคเดียว
“เป็นไปได้ไหมว่า…” กู้จิ้งนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
แต่ในตอนที่เธอกำลังคิดจะวิเคราะห์ปัญหานี้กับเซียวเถี่ยเฟิงต่อ ความรู้สึกพะอืดพะอมกับรสเปรี้ยวอมฝาดของอะไรบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาในลำคอ ทำให้เธอเกือบจะอาเจียนสิ่งที่เพิ่งกินลงไปออกมาจนหมด
เธอยกมือขึ้นปิดปากแล้วก้มลงอาเจียนไม่หยุด
เซียวเถี่ยเฟิงรีบประคองเธอเอาไว้ เดี๋ยวก็ส่งน้ำให้ดื่ม เดี๋ยวก็ช่วยทุบหลังให้ ผ่านไปครู่ใหญ่ กู้จิ้งก็หยุดอาเจียน แต่ใบหน้ากลับซีดขาว ดวงตาทั้งคู่คลอด้วยน้ำตา บนริมฝีปากยังมีคราบสกปรกเปรอะเปื้อน ดูกระเซอะกระเซิงมาก
“เป็นอะไรไปหรือ? คงไม่ใช่ผลหรูหรูไม่สะอาดหรอกนะ?”
เขารีบหยิบผลหรูหรูมาตรวจดู แต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร
กู้จิ้งซบหน้ากับบ่าของเซียวเถี่ยเฟิงด้วยท่าทางอ่อนล้า ปากกล่าวอย่างอ่อนแรง “ฉันคิดว่าน่าจะไม่ได้เป็นเพราะผลหรูหรู…”
“แล้วเป็นเพราะอะไรล่ะ?”
กู้จิ้งถอนใจ “ฉันสงสัย… ฉันคาดเดา… ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็น…”
ในใจเธอสังหรณ์อะไรบางอย่าง เพียงแต่ไม่กล้าเชื่อเท่านั้น
เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญมาก มันเกี่ยวพันถึงผลการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ในยุคปัจจุบัน เกี่ยวพันถึงกฎเกณฑ์ประวัติศาสตร์ที่แสนน่าอัศจรรย์ เกี่ยวพันถึงชีวิตของจักรวาล…
ออกนอกเรื่องเกินไปแล้ว สรุปแล้วเรื่องนี้เกินความคาดหมายมาก
“ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เซียวเถี่ยเฟิงกุมไหล่เธอแน่นพลางถามด้วยความร้อนใจ
“ฉันคิดว่า ฉันอาจจะตั้งครรภ์”
เธอถอนใจคำหนึ่งก่อนจะกล่าวคำพูดประโยคนี้ออกมา
“ตั้งครรภ์**?” เซียวเถี่ยเฟิงพูดซ้ำพลางขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่**
“คือฉันคิดว่าบางทีอาจจะเป็นไปได้ว่า…ฉันกำลังท้อง!” กู้จิ้งสูดหายใจลึกก่อนจะพูดโพล่งออกมา
“ท้อง?” เขายังตั้งสติไม่ได้ ดังนั้นจึงยังคงเอาแต่ขมวดคิ้วพลางพูดตามคำพูดของเธอเหมือนหุ่นยนต์
“ในโลกอนาคตหนึ่งพันปีข้างหน้า ฉันไม่มีประจำเดือน ดังนั้นจึงตั้งครรภ์ไม่ได้ แต่หลังจากมาอยู่ในยุคสมัยนี้ สนามแม่เหล็กในตัวฉันอาจจะเข้ากับยุคสมัยนี้ ประจำเดือนของฉันก็เลยมา” เธอมองเขา “มีประจำเดือน ฉันก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้”
จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้เธอก็เคยคิดแบบนี้ เพียงแต่รู้สึกว่ามันดูเหลือเชื่อเกินไป ดังนั้นจึงไม่กล้าบอกเขา กลัวว่าหากเขายิ่งมีความหวังก็จะยิ่งผิดหวัง ตอนนี้เธอมีอาการต่างๆ ชัดเจนมากขึ้น เธอก็เลยสังหรณ์มาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วว่าตัวเองน่าจะกำลังตั้งครรภ์
เช้านี้หลังจากตรวจชีพจรดู เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าจะผิด
กำลังลังเลว่าควรจะบอกเขาไหม ควรบอกเขาอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เขาดีใจเก้อ หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน หลังจากเกือบจะอาเจียนออกมา เธอก็ตัดสินใจบอกเขา
ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว เธอก็ควรบอกเขา เธอกับเขาควรจะแบกรับทุกอย่างร่วมกัน
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้า…เจ้าหมายความว่า…” เซียวเถี่ยเฟิงยังคงไม่อยากเชื่อ เพราะก่อนหน้านี้กู้จิ้งยังพูดถึงเรื่องรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก แต่จู่ๆ ตอนนี้เรื่องกลับตาลปัตร “ในท้องของเจ้า…มีเด็กอยู่?”
เซียวเถี่ยเฟิงจ้องท้องของกู้จิ้งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ตรงนั้นยังคงแบนเรียบ ไม่มีร่องรอยอะไรสักนิด
แต่ตรงนี้ อาจจะมีลูกของเธอกับเขากำลังเติบโตอยู่?
“อืม อาการทั้งหมดของฉันในช่วงหลายวันมานี้บ่งบอกว่าฉันอาจจะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจ ยิ่งไม่กล้ารับรองว่าท้องนี้จะคลอดออกมาได้อย่างราบรื่น”
สมัยนี้ยังไม่มีการอัลตร้าซาวด์ ไม่มีชุดตรวจการตั้งครรภ์ เธอลองตรวจชีพจรตัวเองดู ประกอบกับพิจารณาจากอาการต่างๆ ก็รู้สึกว่าน่าจะใช่
เซียวเถี่ยเฟิงยังคงจ้องท้องของกู้จิ้งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ หลังจากจ้องอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เหมือนจะตั้งสติได้ ทันใดนั้น แววตื่นเต้นยินดีก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ชายหนุ่มเอาแต่พึมพำซ้ำๆ กันว่า “เจ้า…เจ้าตั้งครรภ์แล้ว? ตั้งครรภ์แล้ว?”