จิตวิญญาณดั้งเดิมได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมา เอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ข้า…ข้าน้อย…ไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้…ความจริงแล้วสหายมีอานุภาพมากเกินไป ข้าจึงตั้งตัวไม่ทัน…”
มั่วชิงเฉินได้ยินพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย เมื่อขบคิดอย่างละเอียดก็เข้าใจขึ้นมา น้ำเต้าจดจำนางได้แล้ว เมื่ออยู่ในน้ำเต้านางจึงเท่ากับเป็นเจ้าของ จิตวิญญาณอื่นๆ ที่เข้ามาในน้ำเต้าจึงถูกนางควบคุม
จะนับว่าเป็นอะไรดี ตนเลี้ยงจิตวิญญาณดั้งเดิมตัวน้อยหรือ
มั่วชิงเฉินเก็บความรู้สึกแปลกประหลาดเอาไว้ ใช้จิตสัมผัสควบคุมลำแสงสีทองที่ปากน้ำเต้า ชั่วครู่ก็มีตาข่ายสีทองผืนหนึ่งแขวนอยู่ข้างกำแพงด้านหนึ่ง จากนั้นก็เก็บกลิ่นอายแรงกดดัน แล้วเอ่ยกับจิตวิญญาณดั้งเดิม “เจ้าไปรอที่ตาข่ายนั้นเถิด”
จิตวิญญาณดั้งเดิมไปที่ตาข่ายยักษ์อย่างระมัดระวัง ชั่วขนาดนั้นก็รู้สึกว่าสบายตัวกว่าตอนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงกำแพงของน้ำเต้านัก จึงอดที่จะเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจไม่ได้ “ขอบพระคุณสหาย”
“อืม ไม่ต้องขอบคุณ ข้ากลัวเจ้าจะลื่น แล้วตกลงไปในลำธารของข้า” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ในเมื่อคุณผู้นี้เข้ามาในน้ำเต้า เช่นนั้นก็ต้องทำให้เขารู้ว่าอะไรคือกฎที่ไม่อาจฝ่าฝืนของตนเอง
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าน้อยก็ต้องขอบคุณสหายที่ช่วยชีวิต” จิตวิญญาณดั้งเดิมมองที่มั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเม้มปากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวเถิด ข้าจะออกไปก่อน รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจะพาเจ้าออกไป แน่นอนว่าหากเจ้าจะออกไปตอนนี้ข้าก็ไม่ห้าม”
ชั่วพริบตานั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมพลันหน้าซีดขาว ร้องออกมาเสียงหลงว่า “ไม่เอา!”
เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินกวาดสายตามาอย่างเย็นชา ก็เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “สหาย ข้าน้อยตกอยู่สภาพนี้ อย่าพูดถึงค่ายกลสังหารด้านนอกเลย แม้แต่เวลาปกติ ร่างบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณดั้งเดิมก็เคลื่อนไหวยาก”
“ไม่ใช่สามารถชิงร่างได้หรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างราบเรียบ
นางไม่ได้สนับสนุนให้ชิงร่าง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นนางที่สูญเสียกายเนื้อไป หากอยากมีชีวิตต่อ เกรงว่าก็เหลือเพียงต้องชิงร่างเท่านั้น
แต่การชิงร่างคนเป็นๆ นั้นนางก็รังเกียจที่จะทำ หากอยากพบศพที่เพิ่งเสียชีวิตสดๆ นั่นคงดวงดีมาก
จิตวิญญาณดั้งเดิมได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินก็ถอนใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “เรื่องชิงร่าง ไหนเลยจะง่ายดายดังที่สหายกล่าว อยากชิงร่างมีเพียงต้องเลือกผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าตนเองถึงจะรับประกันความปลอดภัยได้ แต่จิตวิญญาณกับกายเนื้อไม่สามารถเข้ากันได้ทั้งหมด วันข้างหน้าจะยุ่งยากขึ้นไปอีก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งมีอายุขัยบแค่แแปดร้อยปี การชิงร่างก็คงมีชีวิตต่อไปแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น หากเลือกอสูรปีศาจ…ก็ไม่เต็มใจจริงๆ…”
มีโอกาสในการฟื้นคืนชีพอีกครั้งก็ไม่เลวแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะรังเกียจของมากมายขนาดนี้ มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วมองจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นสหายคิดจะจัดการอย่างไร จะอยู่ในที่ของข้านี้ตลอดไปหรือ”
แววตาที่จิตวิญญาณดั้งเดิมมองมั่วชิงเฉินแปลกประหลาดไปเล็กน้อย “หรือว่าสหายไม่รู้ว่า ร่างของทารกปราณบริสุทธิ์สามารถฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนสันโดษได้”
มั่วชิงเฉินได้ยินก็พลันตกตะลึง ใบหน้ากลับไม่เผยร่องรอยออกมาเลยสักนิด พลางเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เปลี่ยนเป็นเซียนสันโดษ มันง่ายอย่างนั้นเลยหรือ!”
คำนี้พูดออกมาได้อย่างมีวาทะศิลป์ ล้วนไม่เผยร่องรอยผิดปกติใดจากคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด
จิตวิญญาณดั้งเดิมสัมผัสไม่ได้ว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้ดังคาดจึงเอ่ยว่า “ใช่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าน้อยรู้เคล็ดวิชาการเปลี่ยนไปเป็นเซียนสันโดษ ความจริงแล้วการเปลี่ยนไปเป็นเซียนสันโดษนั้นไม่ยาก ยากแค่การใช้ร่างของจิตวิญญาณบริสุทธิ์ฝึกฝน ไม่มีคนที่พึ่งพาได้คอยช่วยเหลือจะมั่นคงได้อย่างไร รวมทั้งการทะลวงจุดคอขวดในช่วงสุดท้ายของการเปลี่ยนไปฝึกฝนเป็นเซียนสันโดษต้องใช้ผลแย่งลิขิต…”
“เจ้าพูดอะไรนะ” มั่วชิงเฉินครุ่นคิดถึงคำพูดของจิตวิญญาณดั้งเดิม ก็แววตาเปล่งประกาย
จิตวิญญาณดั้งเดิมหดตัวตามจิตสำนึก แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อยบอกว่าเคล็ดวิชาเปลี่ยนเป็นเซียนสันโดษฝึกฝนไม่ยาก…”
มั่วชิงเฉินตัดบทอีกครั้ง “ไม่ใช่ ข้าถามเจ้าถึงผลแย่งลิขิต นั่นมันเรื่องอะไรกัน”
จิตวิญญาณดั้งเดิมลังเลเล็กน้อย เห็นมั่วชิงเฉินขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจก็รีบร้อนเอ่ยว่า “ผลแย่งลิขิตคือผลไม้มหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง เป็นเพราะการมีอยู่ของผลแย่งลิขิตมีประสิทธิภาพที่น่ามหัศจรรย์ หนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือทำให้ร่างของจิตวิญญาณดั้งเดิมบริสุทธิ์ทะลุข้อจำกัดได้ กลายเป็นร่างทองคำ แล้วกลายเป็นเซียนสันโดษ”
“นั่นก็หมายความว่า ขอแค่จิตวิญญาณดั้งเดิมมีพลังอยู่ในระดับถอดดวงจิต แยกวิญญาณ ผสานร่าง ไปจนถึงระดับพิชิตเคราะห์กรรม ถ้ากินผลแย่งลิขิตเข้าไปก็จะกลายเป็นเซียนสันโดษได้” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม
จิตวิญญาณดั้งเดิมพยักหน้า “ใช่แล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะกินผลแย่งลิขิตแล้วจะสามารถกลายเป็นเซียนสันโดษได้ แต่ถ้าไม่มีผลแย่งลิขิต กลับไม่อาจทะลวงขีดจำกัดนั้นได้”
“ผลแย่งลิขิตนี้ หายากมากในโลกมนุษย์ สหายจะไปหามาจากที่ใด”
จิตวิญญาณดั้งเดิมเงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าประสิทธิภาพของผลแย่งลิขิตจะมีผู้บำเพ็ญเพียรที่รู้จักอยู่น้อยมาก แต่หากบอกว่ามันอยู่ที่ใด เกรงว่าคงมีคนรู้ไม่มากนัก ไม่ปิดบัง หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยมาถึงขั้นนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางเอ่ยกับผู้ใด”
มั่วชิงเฉินมีสีหน้าราบเรียบ ในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และท่าทีที่เผยออกมานี้ กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัว
จิตวิญญาณดั้งเดิมเอ่ยต่อว่า “เดิมข้าน้อยก็เป็นศิษย์ของหุบเขาไป่กั่วนอกมหาสมุทร เชี่ยวชาญการปลูกผลไม้วิญญาณ เป็นเพราะบุกเข้าไปในเขตต้องห้ามของสำนักอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงได้อ่านตำราของสำนักอันก่อเกิดปัญหายิ่งใหญ่ของท่านบรรพชนไป ตั้งแต่นั้นก็หนีออกมาจากจงหลาง การเข้าร่วมการล้อมโจมตีสำนักฉางซู่กับพรรคต่างๆ ครั้งนี้ก็เพราะอยากถือโอกาสนี้ปะปนเข้าไปในอาณาเขตเซียน แสวงหาโอกาส แต่คิดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสภาพนี้”
“เช่นนั้น ในสำนักของเจ้ามีผลแย่งลิขิตหรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยถาม
เป็นเพราะคนผู้นี้อยู่ในร่างพลังบริสุทธิ์ และยังอยู่ในสมบัติอาคมของตนเอง หากอยากจะโกหกจิตวิญญาณก็จะเกิดระลอกคลื่น จึงปิดบังตนไม่ได้ มั่วชิงเฉินจึงไม่กังวลว่าจะถูกหลอกลวง
จิตวิญญาณดั้งเดิมส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ในสำนักของข้าน้อยไม่มีผลแย่งลิขิต แต่ในตำราที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้กลับเอ่ยถึงสถานที่ที่ผลแย่งลิขิตเจริญเติบโตอยู่…”
เห็นเขาไม่เอ่ยต่ออีก มั่วชิงเฉินก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พูดมาเถิด มีเงื่อนไขอะไร”
“มิกล้าขอเงื่อนไข ข้าน้อยหวังเพียงว่าจะขอให้สหายปกป้อง ฝึกฝนอยู่ในสมบัติชิ้นนี้ วันข้างหน้าหากท่านเซียนอยากได้ผลแย่งลิขิต ข้าน้อยจะช่วยอย่างเต็มที่”
มั่วชิงเฉินมองอีกฝ่ายแล้วพลันอมยิ้ม “อ้อ ฝึกฝนที่นี่หรือ หรือว่าต้องฝึกฝนจนเจ้าอยู่ในระดับพิชิตเคราะห์กรรม เช่นนั้นเกรงว่าข้าคงรอจนแก่ก็ยังไม่ถึง”
จิตวิญญาณดั้งเดิมโบกมือเป็นพัลวัน “นั่นไม่จำเป็น ขอแค่สหายยอมปล่อยให้ข้าน้อยฝึกฝน สหายอยากได้ผลแย่งลิขิตตอนไหนข้าน้อยก็ช่วยอย่างเต็มกำลัง แต่แค่ข้าน้อยหวังว่าจะฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป…”
เห็นมั่วชิงเฉินหยักมุมปากขึ้น ก็ตัดสินใจเอ่ยว่า “ข้าน้อยยอมเขียนพันธสัญญาเป็นสหายฝ่ายเดียวกับสหาย ต่อให้กลายเป็นเซียนสันโดษ หากสหายเป็นอะไรก็จะช่วยเหลือ”
พันธสัญญาสหายนั้นมั่วชิงเฉินเองก็รู้จัก หากทั้งสองฝ่ายลงนามแล้วจะมีผลตลอดไป เพียงรู้ว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในความยากลำบาก ก็จะต้องลงมือช่วยเหลือ
พันธสัญญาเช่นนี้นิยมมากในอดีต แต่แค่มาถึงยามนี้ กลับไม่ค่อยมีคนทำพันธสัญญากันแล้ว
ส่วนพันธสัญญาสหายฝ่ายเดียวนั้น นั่นยิ่งไม่มีผู้ใดยินยอม
เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมมองนางด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ มั่วชิงเฉินก็ฉีกยิ้มเบิกบาน “ก็ดี”
ใช่แล้ว เรื่องดีๆ เช่นนี้ นางจะปฏิเสธได้อย่างไร
ถึงอย่างไรเสียคนก็อยู่ในน้ำเต้าของนาง ไล่ออกไปปล่อยให้เขาเป็นตายร้ายดีก็ทนไม่ไหว ลงนามพันธะสัญญาสหายฝ่ายเดียวได้ หากเดินไปได้ไกลเช่นนั้นจริงๆ ได้รับการช่วยเหลือจากเซียนสันโดษ ก็เท่ากับคุ้มค่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีผลแย่งลิขิตที่เป็นความโชคดีอันคาดไม่ถึงอีก
การลงนามพันธสัญญาสหายค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในยามนี้ มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นสหายก็พักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ใช่แล้ว น้ำสีเงินขาวในลำธารมีฤทธิ์ในการบำรงจิตวิญญาณดั้งเดิม คิดดูแล้วคงมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของสหาย สหายใช้ได้ตามสบาย แต่แค่จำไว้ว่าอย่าเข้าไปอาบในนั้น”
มั่วชิงเฉินเป็นสตรีผู้บำเพ็ญเพียร การออกคำสั่งเช่นนี้ไม่เกินไปเลยสักนิด จิตวิญญาณดั้งเดิมผ่อนคลายลงรับปากอย่างเต็มคำแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยเหมาเถา ไม่ทราบว่าสหายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร”
เหมาเถาหรือ
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก กลั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ามีนามพรตว่าชิงเฉิง อีกคนเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้าลั่วหยาง สหายเหมาเถา ข้าต้องออกไปแล้ว เจ้าตามสะดวกเถิด”
มั่วชิงเฉินเคลื่อนย้ายจากไป เล่าเรื่องราวให้เยี่ยเทียนหยวนฟังรอบหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนฟังแล้วพลันขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่ เป็นอะไรไป” มั่วชิงเฉินไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องดีๆ เช่นนี้ศิษย์พี่ถึงมีท่าทางไม่ยินดี
เยี่ยเทียนหยวนมองท่าทางสับสนของมั่วชิงเฉินแล้วรู้สึกจนปัญญา พลันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์น้อง เจ้าพกจิตวิญญาณดั้งเดิมของบุรุษไปไหนมาไหน มันไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมหรือ”
มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่าออกมา ขยับเข้ามากระซิบเยี่ยเทียนหยวนที่ข้างหูเอ่ยว่า “ศิษย์พี่วางใจ ข้าไม่ไปสัมผัสน้ำเต้า เขาก็ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ของโลกภายนอก”
เอ่ยไปพลางเห็นเยี่ยเทียนหยวนหูแดงก่ำ ก็ใจอ่อนยวบ คาดไม่ถึงว่าจะทนไม่ไหวงับไปเบาๆ
รู้สึกได้ว่าตัวของเยี่ยเทียนหยวนแข็งทื่อ มั่วชิงเฉินพลันหลับตา
ท่ามกลางค่ายกลสังหาร ต่อให้เจินจุนระดับถอดดวงจิตโอบกอดความคิดเผาหยกดั่งศิลา พวกเขาในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย แม้ว่าจะมีประสบการณ์มากมาย ไหนเลยจะกล้าบอกว่าจะต้องมีชีวิตรอดออกไปได้
มาถึงยามนี้นางรู้สึกว่าเรื่องที่สบายใจที่สุดก็คือทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน จะเป็นหรือตายก็ร่วมกันเผชิญ และไม่มีทิ้งให้ผู้ใดรู้สึกไม่สบายใจ
การกระทำอันกะทันหันของมั่วชิงเฉินทำให้เยี่ยเทียนหยวนใจเต้นขึ้นหลายส่วน แต่แค่เมื่อเผชิญกับความเป็นตายตรงหน้า การตอบสนองของบุรุษและสตรีก็ไม่เหมือนกัน
บางทีสตรีอาจจะอยากร่วมเป็นร่วมตายกับบุรุษมากเกินไป บุรุษกลับอยากให้สตรีอันเป็นที่รักของตนมีชีวิตอย่างมีความสุข จึงระมัดระวังตัวขึ้นหลายส่วนจากในยามปกติ
เยี่ยเทียนหยวนระงับความปรารถนาเอาไว้พลางดันมั่วชิงเฉินออก “ศิษย์น้อง พวกเราไปดูทางนั้นกันเถิด”
เห็นริมฝีปากบางเม้มแน่น สีหน้าเย็นชา หูแดงระเรื่อ หลังยืดตรง พยายามแสร้งทำเป็นปกติ มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกอยากยั่ว ยื่นมือเล็กๆ ที่นุ่มนวลราวกับไร้กระดูกไปลูบด้านล่างของเขา มองเห็นกระโจมเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นอย่างพึงพอใจ แล้วถึงได้ฉีกยิ้มวิ่งตรงไป
เยี่ยเทียนหยวนพลันรู้สึกเก้อเขิน สายตาที่มองมั่วชิงเฉินกลับอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
การติดอยู่เช่นนี้ หากเป็นสตรีผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป เกรงว่าคงเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว ผู้ที่นิสัยดีหน่อยก็จะรู้สึกไม่สบายใจ จนมีเรื่องราวในใจมากเกินไป
แต่ศิษย์น้องกลับเป็นดั่งในอดีต สภาพจิตใจเช่นนี้ จะทำให้ทั้งสองได้ออกกำลังมากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย แม้อาจจะพบอันตรายได้ตลอดเวลา แต่กลับเป็นสภาวะที่เหมาะสมมากที่สุด
หุบเขาข่งเชวี่ยมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขึ้นไปของสำนักฉางซู่และฝ่ายต่างๆ รวมตัวกันอยู่ นับดูแล้วก็เกือบพันคน
และกล่าวได้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในจงหลางกลุ่มหนึ่งล้วนอยู่ที่นี่
กลุ่มหนึ่งนั้นฟังดูไม่มาก แต่ก็เป็นอัตราส่วนที่น่ากลัวแล้ว ถึงอย่างไรเสียพรรคใดๆ ก็ไม่อาจปล่อยออกมาได้มากนัก และนอกจากจะออกไปหาประสบการณ์แล้ว ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่กักตนอยู่
ค่ายกลสังหารเดิมก็เป็นค่ายกลสำหรับสังหาร อานุภาพเพิ่มขึ้นจากการดื่มโลหิตสดๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บล้มตายลงไป
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็อยู่ในค่ายกลสังหารนี้ ยืนหยัดมาได้หนึ่งวันและอีกหนึ่งวัน