เป็นเพราะปราณสังหารปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอยู่คนเดียว
ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรพรรคอื่นๆ ก็นึกถึงยามที่คนเหล่านี้บีบบังคับสำนักของตนอย่างไม่ลดละมาสองร้อยปี ไล่ตามและมาโอบล้อมเอาไว้ ก็ตาแดงก่ำ ล้วนคิดวิธีจัดการกับอีกฝ่ายให้ตาย
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เมื่อตกอยู่ในค่ายกลสังหารไร้ซึ่งสหายร่วมพรรค สหาย หรือแม้กระทั่งญาติมิตร เมื่อคิดว่านี่เป็นเพราะสำนักฉางซู่เปิดใช้ค่ายกลสังหาร ก็เกิดความโกรธแค้น โจมตีมาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงพบกับสถานการณ์ที่เจ้าไม่ตายข้าไม่ยอมหยุดพัก
มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนวิ่งมาที่หุบเขาข่งเชวี่ย ไม่ได้พบกับซีอวิ๋นเจินจุน นอกจากหลบหลีกปราณสังหารแล้ว ก็ได้ประสบการณ์จากการต่อสู้น้อยใหญ่ไม่น้อย
วันนี้เพิ่งจะสลัดออกจากปราณสังหารสายหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาด เยี่ยเทียนหยวนพามั่วชิงเฉินหลบหลีก ก็เห็นตรงที่เดิมมีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เงาสีดำสายหนึ่งพุ่งกลับไป
เยี่ยเทียนหยวนใบหน้าเปี่ยมโทสะ ชูมือขึ้นห่วงกลมสีแดงเหลือบทองบินออกไป มาถึงกลางอากาศก็แบ่งออกเป็นเก้าส่วน หมุนตัวอย่างรวดเร็วจนเป็นวงกลม ล้อมเงาสีดำนั้นเอาไว้ด้านใน
เพลิงของห่วงทองสร้างขึ้นจากเพลิงวาสนาตะวันของเขา และผสมกับปราณร่อนฉ่าของวิญญาณอัคคี อานุภาพไม่ธรรมดา เงาสีดำนั้นถูกกักอยู่กลางอากาศ
มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง ถึงได้มองเห็นเงาสีดำนั้นอย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตะขอสีดำเข้มอันหนึ่ง ที่ตัวตะขอมีเส้นไหมเกือบโปร่งใสพันรัดอยู่
แม้ว่าตะขอสีน้ำหมึกจะถูกเก้าห่วงไฟบรรลัยกัลป์กักเอาไว้ แต่ก็เปล่งลำแสงเจิดจ้า ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา หลังจากนั้นพลันเห็นเส้นไหมโปร่งใสเปล่งแสงสว่างวาบ ตะขอสีดำหมายจะทะลวงออกจากวงล้อม
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา ธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้นแล้วดีดตัวอย่างต่อเนื่อง ลูกศรขนนกสีฟ้าน้ำแข็งบินออกมา เมื่อเข้ามาใกล้ก็กลายเป็นลูกไฟสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน สุกสกาวพันล้อมรอบเส้นไหมโปร่งแสงเอาไว้
เส้นไหมโปร่งแสงมองเห็นว่าตะขอเริ่มจะจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ความเย็นเยียบที่เสียดแทงกระดูกก็แอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของผู้เป็นนาย
เยี่ยเทียนหยวนพลันยกมือขึ้น วิญญาณอัคคีบินออกมา เริงระบำห้อมล้อมเส้นไหมเอาไว้
เพลิงอัศจรรย์อันหนึ่งเย็นหนึ่งร้อนสำแดงออกมาพร้อมกัน อานุภาพไม่เพียงไม่หักล้างกันและกัน กลับจะทำให้ผู้เป็นนายของตะขอสีดำเข้าใจถึงความร้ายกาจของน้ำแข็งและไฟทั้งสองชนิด
เสียงแค่นเสียงอย่างกลัดกลุ้มดังขึ้นเบาๆ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงพิณ คลื่นเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพุ่งมาหาทั้งสองคน
ดาบยาวที่มีไฟลุกท่วมในมือของเยี่ยเทียนหยวนโผทะยาน แสงดาบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปหาคลื่นเสียงราวกับเป็นของจริง
แสงดาบและคลื่นเสียงปะทะกัน ลำแสงหนึ่งม่วงหนึ่งฟ้าสองสีพลันสว่างเจิดจ้า ดูงดงามเป็นอย่างมาก
มั่วชิงเฉินพลันดึงสายธนู วิญญาณบุปผาจรัสแสงสำแดงเดช
จากพลังยุทธ์ของนางในยามนี้ ศรแสงเหล่านั้นมีถึงหมื่นสายแล้ว
ศรแสงดุจห่าฝน ตัดสลัดกันไปพลางกระจายออกรอบด้าน แทบจะปกคลุมครึ่งท้องฟ้าเอาไว้
ทว่านี่เป็นเพียงการโจมตีที่ไร้ทิศทาง ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับตะขอสีดำและเจ้าของเสียงพิณได้ แต่เป้าหมายของมั่วชิงเฉินกลับไม่ใช่เรื่องนี้
นางร่ายคาถากลางอากาศเสร็จตั้งนานแล้ว วิญญาณบุปผาจรัสแสงสำแดงเดช จิตสัมผัสเล็กๆ บางๆ ราวกับขนวัวหมื่นพันสายก็เกาะไปบนศรแสง การกระทำนี้ ก็เพื่อเป็นการลอบค้นหาตำแหน่งของคนผู้นั้น!
เมื่อคลื่นประหลาดสายบางส่งมา มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ดึงสายธนูเต็มแรง ศรแหลมคมพุ่งแหวกฟ้าออกไป
ชั่วขณะนั้นผู้ที่แอบอยู่ในที่ลับพลันถูกบีบแล้ว
บุรุษผู้หนึ่งหัวเราะร่าออกมาแล้วเอ่ยว่า “สหายทั้งสองมีฝีมือนัก!” พูดไปพลางสะบัดแขนเสื้อ กลางอากาศมีเมฆสีดำหมุนวน สายฟ้าสายหนึ่งร่อนลงมา
หญิงสาวข้างกายนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ยกมือขึ้นเบาๆ ปราณสังหารก็ทะลักออกมาตามเสียงพิณ
อานุภาพของสายฟ้าสีม่วงนั้นยิ่งใหญ่มาก คลื่นที่แฝงไปด้วยพลังปราณรบกวนการควบคุมของพวกมั่วชิงเฉินทั้งสอง ตะขอสีดำหลุดพ้นจากการกักขัง
มั่วชิงเฉินเรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา กลายเป็นหมู่เมฆต้านทานอยู่ด้านหน้าทั้งสองคน จากนั้นก็เรียกปทุมหยกอริยะหอมออกมา
ปทุมหยกอริยะหอมเปล่งแสงสีมรกตสดใส ส่งเสียงขับขานบทเพลงอันไพเราะลึกลับออกมา
เสียงพิณพลันเพี้ยนไป หญิงสาวพลันร้องอุทานด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกัน เยี่ยเทียนหยวนก็ควบคุมวิญญาณอัคคีเข้ามาหาสายฟ้าสีม่วง
การโจมตีด้วยอานุภาพของอัสนีนี้มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สิ่งเดียวที่เป็นปฏิปักษ์กับมันก็คือวิญญาณโดยธรรมชาติ จะไม่มีทางตกเป็นรอง
“หลิวหลี เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เสียงของบุรุษร้อนใจเล็กน้อย แววตาฉายแววโกรธเกรี้ยว
จากนั้นลำแสงก็สว่างวาบที่หว่างคิ้ว ดวงตาข้างหนึ่งลืมขึ้น ชั่วพริบตาที่ลืมตาลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็พุ่งออกมา
ลำแสงสีม่วงปรากฏขึ้น กลายเป็นลูกไฟสีม่วง แผ่กลิ่นอายอันตรายมาบีบเค้นพวกมั่วชิงเฉินทั้งสอง
“อัสนีสวรรค์!” เยี่ยเทียนหยวนพลันมีแววตาเคร่งเครียด ก้าวเท้าเข้าไปขวางมั่วชิงเฉินอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ใบหน้ามีลำแสงสีม่วงปรากฏขึ้นรางๆ ดาบยาวในมือขยายใหญ่ออกจนมีขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง สับไปทางอัสนีสวรรค์สีม่วงที่โหมเข้ามาอย่างแรง!
มั่วชิงเฉินเห็นเยี่ยเทียนหยวนปกป้องตนเองไว้ แล้วสำแดงอิทธิฤทธิ์รักแท้ตัดสะบั้นด้วยกำลังทั้งหมดไปต้านทานการโจมตีของบุรุษ ก็ไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่ง กลับกระตุ้นปทุมหยกอริยะหอมให้มีอานุภาพถึงขีดสุด เพิ่มพลังการโจมตีของฝ่ายตน แทบจะในเวลาเดียวกันคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ก็ปรากฏขึ้น ลอยอยู่ตรงหน้าสตรี
บานคันฉ่องมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ราวกับระลอกคลื่นน้ำ คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เสียงพิณที่กลายเป็นปราณสังหารดีดตัวกลับไป
เสียงพิณดีดกลับ หญิงสาวพลันกระอักโลหิตออกมา แต่กลับเห็นว่าลำแสงสีทองสายหนึ่งโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก ชั่วพริบตาก็โจมตีมาที่หน้าอกของนาง
“หลิวหลี!” บุรุษร้องตะโกนออกไปด้วยสองตาที่แดงก่ำ ไม่สนใจใดๆ อีก ชั่วพริบตาก็มาขวางอยู่ด้านหน้านาง รับการโจมตีของก้อนอิฐเอาไว้
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ยามนี้รักแท้ตัดสะบั้นของเยี่ยเทียนหยวนและอัสนีสวรรค์สีม่วงของบุรุษถึงได้ปะทะเข้าด้วยกัน
เสียงดังสนั่นขึ้น ดาบยักษ์สีม่วงสลายหายไป อัสนีสวรรค์สีม่วงบินกลับมาที่ดวงตาตรงหน้าผากของบุรุษ
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก
กระบวนท่าล้อมเหวยช่วยจ้าว[1]ของนางนั้นได้ผลไม่เลว
อัสนีสวรรค์นั้นนางไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่กลับรู้ว่ามันมีอานุภาพมหัศจรรย์ จากความสามารถของศิษย์พี่และเขาหากปะทะกันคงตกเป็นรอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตะขอสีดำที่อีกฝ่ายสำแดงออกมาก่อนหน้าซึ่งคอยให้ความรู้สึกน่ากลัวต่อนาง
หากการต่อสู้ครั้งนี้กินเวลานาน ย่อมไม่ดีต่อพวกนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงโจมตีด้วยธนูเขียวซ่อนเร้น จากนั้นก็ใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งคอยคุ้มกัน และสำแดงสำแดงปทุมหยกอริยะหอมมารบกวนอีกฝ่าย แล้วถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัวสำแดงคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ออกมา ก็เพื่อให้พลังสะท้อนกลับ!
ด้วยแผนนี้ สตรีผู้นั้นไม่ลำบากก็แปลกแล้ว
หากพวกเขาเป็นสามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนบุรุษได้รับบาดเจ็บ นั่นยิ่งดีใหญ่
ไม่ผิด บุรุษและสตรีผู้นี้ นางและศิษย์ล้วนรู้จัก นั่นก็คือคู่สามีภรยยาฉางอวี้ที่เคยเห็นรูปภาพเหมือนจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของสำนักฉางซู่ก่อนหน้านี้
ชั่วพริบตาดวงตาตรงหน้าผากของบุรุษก็สลายหายไป เส้นโลหิตสายหนึ่งไหลออกมาตามหว่างคิ้ว เพิ่มความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับใบหน้าหล่อเหลา
เขากอดหญิงสาวด้วยความรักใคร่ สายตาที่มองพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองล้วนเย็นชาดุจน้ำแข็ง “สหายทั้งสอง มีฝีมือดังคาด!”
มั่วชิงเฉินฉีกยิ้ม กลับไม่เผยความรู้สึกใดๆ ออกมา “สหายฉางพูดเป็นครั้งที่สองแล้ว”
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่นางกลับไม่เห็นใจ
ต้องเข้าใจว่าสองสามีภรรยาฉางอวี้ลอบโจมตีก่อน และยังมีสมบัติมหัศจรรย์อย่างอัสนีสวรรค์และตะขอเหนือลิขิตฟ้า หากไม่ใช่นางและศิษย์พี่ฝีมือแกร่งกว่า คงกลายเป็นศพภายใต้เงื้อมมือของอีกฝ่ายไปตั้งนานแล้ว
“เจ้ารู้จักพวกเรา!” ฉางอวี้เงยหน้าขึ้น จ้องเขม็งไปที่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินกวาดตามองแวบหนึ่งอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณทั้งสองท่าน ที่ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสำนักฉางซู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่เข้ามาที่นี่”
ความจริงแล้วคำพูดนี้ของนางเพียงพูดให้ทั้งสองคนได้ยินเท่านั้น ต่อให้ไม่ได้สู้รบกับผู้บำเพ็ญเพียรสำนักฉางซู่ แต่เพื่อทำตามที่ฝูเฟิงเจินจวินมอบหมาย ก็ยังคงต้องตามหาที่นี่
ฉางอวี้ได้ฟังพลันมีสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นกลับเป็นข้าและภรรยาของข้าที่ไม่ดี…”
“สหายฉางไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามไร้สาระ วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่ต้องคิดว่าข้าและศิษย์น้องเป็นพวกท่าน” เยี่ยเทียนหยวนตัดบทคำพูดของฉางอวี้อย่างเย็นชา
กับศัตรู แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยเกรงใจ
ส่วนการพยายามตีสนิทคงไม่จำเป็น เขาไม่ได้โง่เขลา จะมองไม่ออกว่าคนผู้นี้อยากใช้คำพูดนี้ทำให้พวกเขาใจอ่อนแล้วล่าถอย
เห็นใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของเยี่ยเทียนหยวน ฉางอวี้ก็ใจหายวาบ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “หากข้าน้อยตอบคำถามของสหาย ไม่ทราบว่าสหายจะปล่อยพวกเราสองสามีภรรยาไปได้หรือไม่”
เยี่ยเทียนหยวนมุมปากกระตุก เอ่ยออกไปเสียเลยว่า “ไม่มีทาง ข้าแค่จะให้พวกเจ้าตายอย่างสุขสบายขึ้นเท่านั้น”
สิ้นเสียง หญิงสาวในอ้อมอกของฉางอวี้ก็กระแอมไอออกมาหลายครั้ง กระอักโลหิตออกมา
ใบหน้าของฉางอวี้มีแววเจ็บปวดฉายแวบผ่าน สายตาที่มองเยี่ยเทียนหยวนมีแวววิงวอน “สหาย หากพวกเจ้าอยากระบายโทสะ ก็เอาชีวิตของข้าน้อยเถิด แต่ขอให้พวกท่านปล่อยภรรยาไป ภรรยานางเชี่ยวชาญการโจมตีสนับสนุน มีเพียงข้าน้อยต้องอยู่ด้วยถึงจะสำแดงอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ หากขาดข้าน้อยไป ก็มีพละกำลังเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายทั่วๆ ไป…”
หญิงสาวกอดฉางอวี้เอาไว้ “ศิษย์พี่ ไม่ต้อง หากตายพวกเราก็ต้องตายไปด้วยกัน หลิวหลีไม่ยอมตายลำพังเด็ดขาด!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ศิษย์พี่’ มั่วชิงเฉินก็เลิกคิ้ว สองสามีภรรยาฉางอวี้คล้ายคลึงกับพวกนางเป็นอย่างมาก
“หลิวหลี เจ้าอย่าดื้อ!” ฉางอวี้เอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบเส้นผมของหญิงสาว มองมาทางเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก ยกมือขึ้นดาบยาวที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงบินออกไป แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้ใดไม่หาเรื่องข้า ข้าย่อมไม่หาเรื่อง ข้าไม่มีทางปล่อยศัตรูที่อาจจะทำร้ายศิษย์น้องไปได้ ในเมื่อทั้งสองท่านเตรียมตัวมาเพื่อโจมตี เช่นนั้นก็ควรจะรู้ว่าต้องเพลี่ยงพล้ำ ไม่อาจปกป้องหญิงสาวของตนเองได้ หลังจากพลั้งมือแล้วยังมาขอให้ศัตรูยกโทษ เป็นสิ่งที่สามีควรกระทำหรือ!”
มองเห็นดาบยาวที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟบินเข้ามาอยู่ตรงหน้า หญิงสาวชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ด้านข้างบุรุษชุดเขียวก็ยังคงไม่เผยสีหน้าทนไม่ไหวออกมา แววตาของฉางอวี้สิ้นหวัง กอดหญิงสาวเอาไว้แล้วหันกายไป ใช้แผ่นหลังของตนเองรับดาบยาวเอาไว้
ในยามนั้นเอง ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้น ทะลวงผ่านดาบยาวที่เปลวไฟลุกโชนอย่างพอดิบพอดี
ครานี้ราวกับว่าแทงเข้าที่รังแตนอย่างพอดิบพอดี ลำแสงสีเขียวขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสิบกว่าจั้ง ม้วนไปทางเยี่ยเทียนหยวน
อานุภาพของระดับถอดดวงจิต!
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี มั่วชิงเฉินพลันหมายจะสำแดงเคล็ดวิชาหลบหลีก
ฉางอวี้เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็กระตุ้นตะขอเหนือลิขิตฟ้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ตะขอสีดำเกาะอยู่ที่มุมหนึ่งของลำแสงสีเขียวที่ขยายใหญ่ขึ้น ราวกับว่าเกาะสายเข็มขัดสีเขียวสายหนึ่งเอาไว้ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นห่วงกลมกักขังพวกเยี่ยเทียนหยวนทั้งสองไว้ตรงกลาง
แขนเสื้อของหญิงสาวมีพัดขนนกสีเขียวมรกตบินออกมา โบกสะบัดไปทางลำแสงสีเขียว ลมวิญญาณพลันพัดกระพือฮือโหม
ลำแสงสีเขียวที่เดิมมีลักษณะเป็นรูปทรงดั่งอสรพิษพลันแผ่ตัวออกกลายเป็นไอหมอกในทันที เยี่ยเทียนหยวนสัมผัสได้ว่าไม่อาจใช้เคล็ดวิชาหลบหลีกได้
[1] ท่าล้อมเหวยชาวยจ้าว หมายถึง การบุกเข้าโจมตีในจุดที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โจมตีในจุดที่ศัตรูไม่ได้เตรียมการตั้งรับและคอยระวังป้องกัน ย่อมถือว่าได้เปรียบและได้รับชัยชนะมาแล้วครึ่งหนึ่ง