ชั่วพริบตานั้นเขาพลันผนึกเกราะสมบัติเปลวเพลิงล้อมทั้งสองเอาไว้ ต้านทานปราณสังหาร
เกราะสมบัติเปลวเพลิงนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่สองที่เยี่ยเทียนหยวนได้เรียนรู้…โล่เพลิงกัลป์
โล่เพลิงกัลป์สามารถต้านทานการโจมตีต่างๆ ได้ภายในขอบเขตของมัน และไม่อาจทำลายได้
เมื่อปราณสังหารที่ผู้คนต่างหวาดกลัวพุ่งเข้ามาปะทะ ก็หยุดชะงักชั่วคราว
มั่วชิงเฉินถือโอกาสที่หยุดชะงักนี้สะบัดแขนเสื้อ สำแดงอิทธิฤทธิ์คืนโฉมออกไป พลังปราณที่โคจรอยู่ในร่างทำให้ปราณสังหารที่กลายเป็นเมฆหมอกฟื้นฟูกลับมาเป็นรูปทรงดั่งอสรพิษ และถือโอกาสนี้กระตุ้นกระสวยผสมปราณ ดึงเยี่ยเทียนหยวนหลบหนีไป
เพียงแต่พวกเขาในยามนี้อยู่ในค่ายกลสังหาร หากค่ายกลสังหารไม่พังทลาย ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องปฏิบัติตามกฎของค่ายกลสังหาร
แม้ว่าปราณสังหารจะถูกมั่วชิงเฉินใช้อิทธิฤทธิ์คืนโฉมย้อนกลับไป เปิดโอกาสให้หนี แต่ก็แทบจะไล่ตามมาในพริบตา
ทว่ากระสวยผสมปราณนั้นเป็นสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดา เป็นสมบัติหลีกหนีโบราณ ถูกกระตุ้นขึ้นมาในค่ายกลสังหาร ทั้งยังถูกปราณสังหารที่แข็งแกร่งไล่ล่า การกระตุ้นนี้จึงทำให้เกิดพละกำลังมหาศาล
สมบัติอาคมลี้ธรณีจำต้องอาศัยผืนดินถึงจะเคลื่อนผ่านได้ สิ่งที่บังเอิญก็คือพอพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองมุดเข้าไปใต้ดิน และในยามที่ปราณสังหารซึ่งไล่ตามมาทำการโจมตีด้วยความรุนแรงอันมหาศาลนั้น ตำแหน่งที่โจมตีลงมานั้นก็อยู่ใกล้กับแกนกลางของค่ายกลพอดี
ปกติแล้ว ค่ายกลขนาดใหญ่ประเภทนี้ นอกจากแกนกลางหลักแล้วยังมีแกนกลางเล็กอยู่ด้วย เพียงแต่ค่ายกลขนาดใหญ่มีเงื่อนไขและอานุภาพไม่เหมือนกัน แกนกลางเล็กจึงมีจำนวนไม่เท่ากัน
ก็เหมือนกับค่ายกลสังหารที่กักผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเอาไว้ได้แห่งนี้ มันครอบคลุมสำนักฉางซู่ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องมีแกนกลางนับพันตา
เมื่อแกนกลางตรงนี้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงก็พังทลายลงทันที พื้นดินรอบด้านเกิดความเปลี่ยนแปลง
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าหมุนวน ความรู้สึกที่ดินโถมเข้าใส่ยังคงชัดเจน เมื่อรอจนทุกอย่างกลับมามั่นคง รอบด้านก็เปลี่ยนไป
เมื่อมองเยี่ยเทียนหยวนแล้วมองตนเองอีกครา เห็นใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นดิน จึงอดหัวเราะร่าไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนมองไปรอบๆ รู้สึกว่าร่างของทั้งสองอยู่ในห้วงมิติที่ปิดสนิท
ห้วงมิตินี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก รอบด้านล้วนเป็นกำแพงที่ไม่รู้ว่าสร้างมาจากสิ่งใด
“ศิษย์น้อง เจ้าดูสิ” สายตาของเยี่ยเทียนหยวนตกอยู่บนกำแพงด้านหนึ่ง
กำแพงด้านนี้ไม่เหมือนกับอีกสามด้าน ให้ความรู้สึกกึ่งโปร่งใส
มั่วชิงเฉินมองแล้วรู้สึกประหลาดใจ ยื่นมือออกไปลูบไล้
ชั่วขณะนั้นพลันตกตะลึงค้าง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนจึงรีบร้อนเอ่ยถามว่า “ศิษย์น้อง เป็นอะไร”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกมาคว้าแขนของนาง มั่วชิงเฉินก็ร้องออกมา “ศิษย์พี่ อย่าขยับ!”
“เอ๋”
มั่วชิงเฉินแทบจะร้องไห้ออกมาแต่ไร้น้ำตา “ศิษย์พี่ สองมือของข้าติดอยู่กับกำแพงแล้ว!”
“อะไรนะ!” เยี่ยเทียนหยวนพลันตกตะลึง คว้าเอวของมั่วชิงเฉินแล้วดึงมาด้านหลัง ไม่ขยับเขยื้อนดังคาด ทั้งยังกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายนาง จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
อีกด้าน สองสามีภรรยาฉางอวี้ที่เดิมทีก็ยอมรับความตายแล้ว พอมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ชั่วขณะนั้นก็เหมือนกับสวรรค์มีตา สองสามีภรรยาที่รักใคร่กันลึกซึ้งอย่างพวกเขาทนไม่ได้ที่ต้องมาดับสูญที่นี่
ยามนั้นจึงลงมือพร้อมกันอย่างไม่ลังเล อยากถือโอกาสนี้จบชีวิตของพวกมั่วชิงเฉินทั้งสอง
เพราะเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองหายไปพร้อมกับลำแสงสีเขียว พวกเขายังไม่ทันได้หลบหนี ก็รู้สึกว่าดินใต้ฝ่าเท้าสั่นคลอน จากนั้นก็ถูกดินสีเหลืองม้วนไป
รอจนถึงอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ก็รู้สึกว่าตกอยู่ในห้วงมิติที่ปิดสนิทใดสักแห่งเช่นกัน
“ศิษย์พี่ ใช้ดาบตัดแขนของข้าทิ้ง!” เห็นตรงหน้ามีคนสองคนปรากฏขึ้น มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง แต่กลับเจ็บปวดที่สองมือติดอยู่จนหลบหลีกไม่ได้ จึงร้องด้วยเสียงอันดัง
ตอนแรกก็ถูกสองสามีภรรยาฉางอวี้ลอบโจมตี แล้วยังเผชิญหน้ากับปราณสังหารอันแข็งแกร่งในยามที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ จากนั้นเคล็ดวิชาหลบหลีกก็สูญเสียประสิทธิภาพ ยามที่ลี้ธรณีก็เกิดความเปลี่ยนแปลงจนตกอยู่ในห้วงมิติที่ปิดสนิท เยี่ยเทียนหยวนก็ไม่กล้าชะล่าใจอีก หัวใจบีบรัดเคร่งเครียดอยู่ตลอด
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของสองสามีภรรยาฉางอวี้เขาก็พบแล้ว และยังทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว
คาดไม่ถึงว่าดาบเปลวเพลิงจะสับมาบนร่างของสองสามีภรรยาฉางอวี้ แต่กลับดีดกลับมา
พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองถึงได้รู้สึกว่า การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของสองสามีภรรยาฉางอวี้ดูเหมือนแค่เงาภาพเหมือนเท่านั้น ดาบเปลวเพลิงสับไปบนกำแพง ชั่วพริบตารอยดาบที่ทิ้งเอาไว้ก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เมื่อคืนสติกลับมาอยู่ในความสงบ มั่วชิงเฉินก็ส่งสัญญาณให้เยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนจ้องเขม็งไปที่สองสามีภรรยาฉางอวี้โดยไม่ปริปาก ล้วนเต็มไปด้วยการเฝ้าระวัง
ยามนี้ พลันมีเสียงดังออกมา
“พี่อวี้ นี่คือที่ไหน เหตุใดถึงแปลกประหลาดเช่นนี้!” สตรีพิจารณารอบด้านไปพลางเอ่ยถามฉางอวี้ไปพลาง
เมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่อวี้’ มั่วชิงเฉินผู้รอบคอบก็ฉีกยิ้มอย่างเย็นชาตามความรู้สึก
ที่แท้นี่คือคำเรียกอันคุ้นชินของสตรีที่มีต่อฉางอวี้ คำว่าศิษย์พี่ก่อนหน้า ก็แค่อยากให้นางและศิษย์พี่เห็นใจ จะได้ปล่อยพวกเขาไปสินะ
เป็นสตรีที่ชาญฉลาดดังคาด!
“ที่นี่แปลกประหลาดมาก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นห้วงมิติที่ปิดสนิทแห่งหนึ่ง” ฉางอวี้เดินกลับไปกลับมา ยื่นมือออกไปเคาะกำแพง
มั่วชิงเฉินพลันใจเต้น แต่กลับรู้สึกว่าแขนของฉางอวี้ไม่ได้ติดอยู่
หรือว่า มีแค่กำแพงด้านนี้ที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้น
เมื่อคิดถึงกำแพงทั้งสามด้านที่ไม่เหมือนกันของกำแพงด้านนี้ มั่วชิงเฉินก็แอบคาดเดาอย่างเงียบๆ
ยามนี้ฉางอวี้ยืนอยู่ด้านหน้ากำแพง แทบจะเผชิญหน้ากับมั่วชิงเฉิน แต่กลับมองไม่เห็นพวกนาง
มั่วชิงเฉินหันหน้าไปอย่างยากลำบาก ในใจขบคิดว่า กดสิ กดไปสิ กดลงไป เท่านี้พวกเราก็จะกลายเป็นพี่น้องกันแล้ว
มือของฉางอวี้กดลงไปตามที่มั่วชิงเฉินคิด จากนั้นมั่วชิงเฉินก็ถลึงตา เขาเคาะไปหลายครั้งอย่างไม่เป็นอะไร ส่งเสียง ก๊อกๆ ดังขึ้น จากนั้นก็ออกห่าง เดินมาข้างกายสตรี
คางของมั่วชิงเฉินแทบจะหลุดลงมา เอ่ยอย่างตะลึงงันว่า “ศิษย์พี่ เหตุใดแขนของเขาถึงไม่เป็นอะไร”
“หรือว่ามีแค่แขนของสตรีเท่านั้นถึงจะติด” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยไปพลางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปกดกำแพง
จากนั้น…จากนั้นก็รู้สึกว่าแขนของตนเองติดหนึบแล้ว
ทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าตกตะลึงไปชั่วครู่
จากนั้นหลังจากเห็นว่าแขนของสตรีสัมผัสกับผนังแล้วไม่เป็นอะไร ความตกตะลึงก็กลายเป็นการกระอักเลือด ทนไม่ไหวร้องตะโกนกับฟ้าว่า
เพราะเหตุใด นี่มันเพราะเหตุใดกันแน่!
อย่าลำเอียงขนาดนั้นสิ!
“หลิวหลี เกรงว่าพวกเราคงออกไปไม่ได้ชั่วคราวแล้ว” เมื่อตรวจสอบเสร็จ ฉางอวี้ก็เดินมาข้างกายสตรี จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หญิงสาวฉีกยิ้ม “บาดแผลแค่นี้ไม่เป็นอะไร พี่อวี้ พวกเรามีชีวิตรอดมาได้ ก็เป็นสิ่งที่โชคดีมากแล้ว”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นเล็กน้อย กระโจนเข้าหาอ้อมกอดของฉางอวี้
ฉางอวี้ตบแผ่นหลังของสตรี แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราล้วนต้องพักผ่อนสักหน่อย ที่นี่แปลกพิกล ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น”
หลิวหลีพยักหน้า
ทั้งสองควักโอสถวิเศษออกมากิน แล้วต่างฝ่ายต่างพักผ่อนไป
อีกด้าน มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนติดหนึบอยู่กับกำแพง จ้องมองพวกเขาพักผ่อนตาถลน ในใจยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม
โชคดีที่แม้ว่าแขนจะถูกติดหนึบ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการโคจรพลัง กลัดกลุ้มชั่วครู่ ทั้งสองก็เริ่มโคจรพลังพักผ่อน
ผ่านไปหลายวัน มั่วชิงเฉินก็รู็สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น จึงกัดฟันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านใช้ดาบเปลวเพลิงที่มืออีกข้างตัดแขนทั้งสองข้างของข้าทิ้งเถิด”
“ศิษย์น้อง!” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วตามจิตสำนึก
มั่วชิงเฉินหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร ในถุงเก็บวัตถุของข้ามีโอสถเกิดผลอยู่ แขนข้างก็งอกใหม่ได้ แม้ว่าจะโคจรพลังได้ไม่คล่องในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ดีกว่าตอนนี้”
วาจานี้ล้วนไม่เลว ทั้งสองล้วนติดหนึบจนขยับไม่ได้ หากมีเรื่องอะไรขึ้นก็เป็นได้แต่รอให้คนมาเข่นฆ่าแล้ว
และยิ่งไปกว่านั้นสองสามีภรรยาฉางอวี้ก็ยังอยู่ตรงหน้าพวกเขา หากมองเห็นพวกเขา นั่นก็มีเพียงแต่ต้องใช้ดาบแล้ว
เพียงแต่ให้เยี่ยเทียนหยวนตัดข้อมือของมั่วชิงเฉิน นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการประหารชีวิตด้วยการตัดชิ้นส่วนมือเท้าเท่าใดนักสำหรับเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขากลับไม่ได้ปฏิเสธอย่างหาได้ยาก ฝ่ามือเรียกดาบเปลวเพลิงออกมาชูขึ้นอย่างเงียบๆ หลับตาลงฟันดาบลงไป ตัดแขนมั่วชิงเฉินออกทั้งสองข้าง
เพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บปวดใจ มั่วชิงเฉินจึงกัดฟัน ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะ แต่ชั่วพริบตานั้นร่างกายกลับมีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
เยี่ยเทียนหยวนกัดริมฝีปากล่างจนเลือดออกเช่นกัน สีหน้าเย็นชาไม่ปริปาก คาบขวดหยกที่มั่วชิงเฉินโยนออกมาจากถุงเก็บวัตถุเอาไว้ นำโอสถเกิดผลสองเม็ดออกมาป้อนให้นางอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็นำดาบมาตัดแขนตัวเอง แล้วกินโอสถเกิดผลไปอีกเม็ดเช่นกัน
ทั้งสองรีบร้อนโคจรพลังยุทธ์เร่งฤทธิ์ยา แต่กลับไม่รู้สึกว่าแขนเปล่าๆ ทั้งสามแขนบนกำแพงดูแปลกประหลาดและน่าตลก
รอจนแขนใหม่งอกขึ้นมา มั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้น หยิบผงสลายกระดูกออกมาเทไปบนแขนบนกำแพง แล้วถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา
ต่อให้ระดับจิตใจของพวกนางจะดีขนาดไหน ก็คงไม่อาจจะปล่อนแขนของตนทิ้งไว้นานแล้วมองแขนค่อยๆ เน่าเปื่อยจนเกิดกลิ่นเหม็น เช่นนั้นมันออกจะดูแปลกพิกลอยู่บ้าง
แขนที่งอกออกมาใหม่จำเป็นต้องได้รับการปรับเส้นชีพจร ทั้งสองก็ไม่สนใจสิ่งอื่น สนใจไปที่การรักษา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบใดๆ ในภายหลัง
ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกด้านสองสามีภรรยาฉางอวี้ที่อยู่ในห้วงมิติที่ปิดสนิทมานานก็หาทางออกไม่พบ กลับเป็นฝ่ายทำลายความเงียบสงบลง
ได้ยินเสียงบุรุษและสตรีหอบหายใจสลับกันไปมา พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองก็รู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างมาก แล้วหันกายหนีอย่างรวดเร็ว
แต่ยิ่งมองไม่เห็น เสียงก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“หลิว…หลิวหลี…เจ้างดงามมาก…”
สตรีครวญครางด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่อวี้ ท่านหลอกข้าอีกแล้ว…”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้า…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยโกหกเจ้า…”
“เช่นนั้น เช่นนั้นสวยกว่าสตรีชุดเขียวผู้นั้นหรือไม่…” หญิงสาวหอบหายใจกระชั้นขึ้น
บุรุษกระแทกอย่างรุนแรงคราหนึ่ง เสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของสตรี ทำให้ผู้ที่อยู่ด้านนี้รู้สึกหน้าแดงระเรื่อไปจนถึงใบหู
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้น “หลิวหลี เจ้าต้องระวังสายตาเจ้าหน่อย…”
“อื้อ…” เสียงครวญครางของหญิงสาวลากยาว น่าหลงใหลอย่างสุดๆ
เสียงบุรุษขาดเป็นช่วงๆ ส่งมา “สตรีผู้นั้นงดงาม แต่ต่อให้งดงามแค่ไหน ก็สู้เจ้าไม่ได้ โดยเฉพาะตรงนี้…”
เยี่ยเทียนหยวนได้ยินเรื่องที่สองสามีภรรยาพูดคุยกันถึงศิษย์น้อง ความโกรธก็ปะทุขึ้น จึงหันหน้ากลับมาอย่างเย็นชา มองเห็นหญิงสาวกำลังก้มตัวลง สองมือค้ำกำแพงเอาไว้ ก้อนสีขาวตรงทรวงอกส่ายไปมาราวกับกระต่าย บุรุษที่อยู่ด้านหลังกอดเอวของนางเอาไว้แน่นพลางกระทำอย่างรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เห็นได้ชัดว่าใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนรีบหันหน้ากลับมา มองเห็นมั่วชิงเฉินกำลังจะหันหน้ามา ก็รีบร้อนใช้มือบังดวงตาของนางเอาไว้ “ศิษย์น้อง อย่ามอง!”
มั่วชิงเฉินเองก็เป็นเพราะทั้งสองเอ่ยถึงตนเองจึงไม่พอใจ คิดจะหันหน้าไปถลึงตาให้ ฉับพลันนั้นดวงตาก็ถูกบดบังเอาไว้ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ความคิดจะหันกลับไปมอดดับลง
แต่ผ่านไปชั่วครู่ก็ขบคิดขึ้นได้ จึงกัดฟันเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านเห็นอะไร”