ตอนที่ 635 อารม์รักยากควบคุม

พันธกานต์ปราณอัคคี

คำถามนี้ทำให้เยี่ยเทียนหยวนลำบากใจแล้ว จึงฉีกยิ้มอย่างโง่งมราวกับเด็กน้อย

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”

“คนโกหก” มั่วชิงเฉินเห็นเขามีท่าทีประหม่าเช่นนี้ ก็เกิดความคิดอยากยั่วเย้า จึงเลิกคิ้วขึ้นมองเขา ดวงตาทั้งสองข้างมีระลอกคลื่นทะลักออกมา

เยี่ยเทียนหยวนลนลานทันที ดึงมั่วชิงเฉินเข้ามาในอ้อมอกอย่างร้อนรน เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ก็…ก็เห็นอยู่นิดหน่อย…”

“นิดหน่อยนี่ขนาดไหน”

เยี่ยเทียนหยวนกัดฟัน เผยสีหน้าไม่ยี่หระออกมา “ศิษย์น้องหันกลับไปมอง ก็รู้แล้วว่านิดหน่อยคือขนาดไหน…”

มั่วชิงเฉิน…

ในยามนั้นเอง ทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้ามกับกำแพงก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว การเคลื่อนไหวจึงเรียกได้ว่าสะเทือนเลื่อนลั่น ผู้ที่ได้ยินทำได้เพียงหน้าแดงใจเต้นระรัว

จากนั้นก็เป็นคำพูดพลอดรักกัน เนื้อหาเปิดเผยจนทำให้เยี่ยเทียนหยวนตกตะลึง จนถึงยามนี้ถึงได้รู้ว่าบุรุษพูดเช่นนี้กับสตรีของตนเองได้

ก่อนทะลุมิติมามั่วชิงเฉินอายุไม่มาก เรื่องรักใคร่ก็ไม่ยังไม่เคยมี เยี่ยเทียนหยวนก็เป็นคนซื่อๆ ไหนเลยจะเคยได้ยินคำพูดหยาบโลนเหล่านี้ ชั่วขณะนั้นก็ฝังหน้าแดงก่ำพร้อมกับใจเต้นระรัวไว้ในอ้อมกอดของเขา ตั้งใจสงบจิตสงบใจอยู่ดีๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้เกิดความรู้สึกสงสัยใครรู้อย่างบอกไม่ถูก จนดึงให้นางตั้งใจฟังอย่างไม่รู้ตัว ไม่นานก็รู้สึกว่าปากแห้งผาก

วาจาที่ทำให้คนหน้าแดงจากทางด้านนั้นก็ดังเข้ามาไม่หยุด ร่างกายที่โอบกอดศิษย์น้องทั้งนุ่มนิ่มทั้งร้อนฉ่า ชั่วขณะนั้นเยี่ยเทียนหยวนพลันตัวแข็งทื่อ แต่กลับกอดแน่นไม่กล้าขยับ

มั่วชิงเฉินเคลื่อนย้ายกายอย่างไม่รู้สึกตัว ร้องตะโกนคำว่าศิษย์พี่ด้วยเสียงแผ่วเบา

เยี่ยเทียนหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผลักมั่วชิงเฉินออก เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ศิษย์…ศิษย์น้อง พวกเราบำเพ็ญเพียรกันเถิด…”

เอ่ยจบก็ไม่กล้ามองใบหน้าดุจดอกท้อของมั่วชิงเฉินสักแวบ นั่งขัดสมาธิลงหลับตา

มั่วชิงเฉินตกตะลึงอยู่ตรงนั้น มองท่าทางข่มใจตนเองของเยี่ยเทียนหยวน ก็ทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งดีใจ นั่งลงข้างๆ เขา แล้วหลับตาลง

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นจะรักกันลึกซึ้ง กำลังของผู้บำเพ็ญเพียรก็ดี เอ่ยไปเอ่ยมาก็ต่อกันอีกรอบหนึ่ง

ครั้งนี้ กินเวลาสองชั่วยามก็ยังไม่เห็นว่าจะหยุด

ด้วยเหตุนี้ หากมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนฝึกบำเพ็ญต่อไปได้ก็แปลกแล้ว ไม่นานนักหน้าผากของทั้งสองก็มีเม็ดเหงื่อผุดออกมา บางครั้งก็ลืมตาชำเลืองมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง

จะว่าไปแล้ว เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันมาตั้งนาน เรื่องของสามีภรรยานั้นเป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มั่วชิงเฉินไม่ได้เจตนาแสร้งทำกิริยาให้เกินควร เพียงแต่ฝั่งตรงข้ามมีคนสองคน แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นพวกนางแต่ก็ยังรู้สึกว่าพิกลนัก

เพียงแต่มองเยี่ยเทียนหยวนมีท่าทีพิกลยิ่งกว่านาง สีหน้าที่ต่อให้ตายก็จะไม่ทำอะไรซี้ซั้วนั้น กลับทำให้คนที่มองเกิดใจคิดไปในทางตรงกันข้าม ยามนั้นจึงเบี่ยงตัวไปพิงกายเขา

เยี่ยเทียนหยวนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่กลับไม่ได้โง่เขลา เข้าใจเจตนาของมั่วชิงเฉินทันที เชือกที่ตึงมาตลอดเกือบจะขาดแล้ว แต่เมื่อนึกถึงว่าหากทำตามแต่ใจของตนเอง ถูกฉางอวี้มองเห็นท่าทางเช่นนั้นของศิษย์น้อง เขาก็ยอมตายเสียดีกว่า

จึงตัดใจผลักมั่วชิงเฉินออก แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ศิษย์น้อง เจ้า เจ้าฝึกบำเพ็ญเสร็จแล้วหรือ”

ฝึกบำเพ็ญกับน้องสาวท่านสิ!

มั่วชิงเฉินคำรามในใจ เป็นฝ่ายแสดงความรักก่อนไม่สำเร็จ ก็ทั้งเขินทั้งโกรธ จึงนั่งลงขัดสมาธิบนขาของเขาเสียเลย แล้วกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “ยังไม่เริ่มเลย ท่านเสร็จแล้วหรือ”

ดูท่าทางยั่วยวนและยั่วยุของนาง เยี่ยเทียนหยวนก็แทบจะคุมไม่ไหวแล้วจึง เอ่ยอย่างดิ้นรนราวกับคนใกล้ตายว่า “ศิษย์น้อง อย่าขยับซี้ซั้ว ที่นี่มีคนนะ!”

ยกมือขึ้น ไหมเกล็ดน้ำแข็งปรากฏ กลายเป็นเมฆหมอกห้อมล้อมทั้งสองคนเอาไว้ มั่วชิงเฉินเองก็ไม่พูดจา แล้วก้มหน้าลงเข้าไปใกล้ไหล่ของเยี่ยเทียนหยวน

หากเยี่ยเทียนหยวนไม่ตระหนักถึงอารมณ์รักของหนุ่มสาวเช่นนี้อีก อย่างนั้นเขาก็คงเป็นท่อนไม้จริงๆ แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ฝั่งตรงข้ามก็ยังไม่หยุด

แม้จะมีไหมเกล็ดน้ำแข็งคอยบดบัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังกลัวความงดงามของศิษย์น้องรั่วไหลออกไป แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่กล้าถอด เลิกกระโปรงขึ้น ดึงกางเกงลงครึ่งน่อง แล้วทำการกำจัดความรุ่มร้อนของตนเอง กดลงไปบนกลีบของสะโพกสีขาวเนียนอย่างช้าๆ

ได้ยินการเคลื่อนไหวจากฝ่ายตรงข้าม แล้วยังเป็นตนเองที่เป็นฝ่ายเริ่ม ยามนี้มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกเคอะเขินจนไม่ไหวแล้ว เม้มริมฝีปากไม่พูดจา ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายกระทำ

ความสุขเช่นนี้ดำเนินไปชั่วครู่ ความกังวลของเยี่ยเทียนหยวนในยามแรกถูกโยนหายไปในขอบฟ้าตั้งนานแล้ว ตระกองกอดมั่วชิงเฉินให้ลุกขึ้นยืน สาวเท้ายาวๆ ไปที่กำแพง แน่นอนว่าต้องเดินไปยังจุดที่อยู่ไกลที่สุด

“ศิษย์พี่” มั่วชิงเฉินปรือตา จากนั้นก็รู้สึกมือเท้าไม่มีแรง พอเอ่ยปากก็เปลี่ยนโทนเสียง

เยี่ยเทียนหยวนเองก็ไม่ตอบ กอดมั่วชิงเฉินไปถึงกำแพงแล้ววางนางลง ให้นางใช้สองมือค้ำกำแพงเอาไว้ ตนก็ยืนออกแรงอยู่ด้านหลัง

ทารกปราณของทั้งสองคนเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรคู่กันด้วยตัวของมันเอง ความสุขสมทำให้สติของทั้งสองคนหลุดลอยไปนอกขอบฟ้า

วุ่นวายอยู่ครึ่งวันพายุฝนถึงได้ซาลง เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินไว้ในอ้อมกอด ปาดเหงื่อให้นางด้วยความสงสาร

“ศิษย์น้อง เช่นนั้นเหนื่อยหรือไม่”

ตอนแรกมั่วชิงเฉินก็ไม่เข้าใจ ตกตะลึงไปเล็กน้อยถึงได้นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เอาแต่ใช้ท่านี้ทรมานนาง ถึงได้สติกลับมาแล้วฟาดด้วยความเขินอายสองสามครั้ง “ศิษย์พี่ ท่านไม่ศึกษาให้ดี!”

ภายใต้การชี้แนะของฉางอวี้ เยี่ยเทียนหยวนพลันได้เปิดหูเปิดตา คว้าแขนของมั่วชิงเฉินเอาไว้แล้วจุมพิตที่ริมฝีปาก พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “หากเมื่อครู่ศิษย์พี่ทำไม่ดี เช่นนั้นก็เปลี่ยนท่าดีหรือไม่”

เอ่ยไปก็ไม่รอคำตอบของมั่วชิงเฉิน กดนางลงใต้ร่าง

ครั้งนี้ทรมานนานยิ่งกว่าเดิม ท่วงท่าเปลี่ยนไปนับไม่ถ้วน ทุกครั้งเยี่ยเทียนหยวนก็จะคอยถามว่าเช่นนี้ดีหรือไม่

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากไม่เอ่ยอะไร เขาก็ทำต่อ

สุดท้าย ก็บีบให้มั่วชิงเฉินเอ่ยคำพูดที่สองชาติภพนี้ไม่เคยเอ่ย และได้ประสบการณ์รสชาติอันหวานล้ำที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ถึงได้หัวเราะต่ำๆ ออกมาแล้วหยุดลง

รอจนพายุคลื่นสงบแล้ว ทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติ มองสองคนที่อยู่ตรงข้ามเดินไปเดินมา ถึงได้รู้สึกอับอาย

หลังจากนั้น พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ออกนอกกรอบอีก ส่วนสองสามีภรรยาฉางอวี้ที่อยู่อีกด้าน เป็นเพราะติดอยู่ในห้วงมิติออกไปไม่ได้จึงพูดคุยแก้เบื่อกัน เรื่องเช่นนั้นกลับเกิดขึ้นเป็นบางครั้งคราว

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนหายหน้าแดงก่ำแล้ว สุดท้ายก็ฝึกบำเพ็ญอย่างจริงจัง

การขัดเกลาจิตใจในด้านของอารมณ์รักนั้น ก็พัฒนาขึ้นอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ใช่แค่นั้น บางครั้งสองสามีภรรยาฉางอวี้ก็เอ่ยถึงการฝึกบำเพ็ญหรือเรื่องในสำนัก ทำให้พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองรู้เรื่องราวมาไม่น้อยด้วยความบังเอิญ โดยเฉพาะเหตุใดวันนั้นถึงถูกผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่เข้าใจผิด

ที่แท้หลิงเฮ่อเจินจุนของสำนักฉางซู่ ก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่าเคล็ดวิชาเคลื่อนบุปผาทะลวงหมอก ชื่อนั้นไพเราะมาก แต่กลับเป็นเคล็ดวิชาอันตราย

ปกติแล้วผู้ที่ต้องเคล็ดวิชาเคลื่อนบุปผาทะลวงหมอก จะมองเห็นผู้ที่มีเงื่อนไขเหมาะสมกับที่ผู้สำแดงเคล็ดวิชากำหนดเป็นคนแรก ว่ามีรูปร่างหน้าตาตามที่ผู้สำแดงเคล็ดวิชากำหนด

วันนั้นผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่อยากขวางสองสามีภรรยาฉางอวี้เอาไว้ ความจริงแล้วก็ถูกเคล็ดวิชาลับของหลิงเฮ่อเจินจุนเล่นงานอยู่ก่อนแล้ว

เงื่อนไขที่จะกระตุ้นเคล็ดวิชาลับนี้ ก็คือต้องพบกับระดับก่อกำเนิดขั้นปลายบุรุษหนึ่งคนและสตรีหนึ่งคน

แม้ว่าจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในจงหลางจะมีมากกว่าทวีปแห่งเทพ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดบุรุษหนึ่งคนสตรีหนึ่งคนที่ปรากฏตัวพร้อมกันนั้นมีไม่มาก มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนจึงกลายเป็นผู้ที่มีเงื่อนไขเหมาะสมคนแรกที่ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่พบ

จากสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักฉางซู่ มองอย่างไรพวกเขาก็มีรูปร่างเหมือนสองสามีภรรยาฉางอวี้

เมื่อได้คลายความสงสัยจากปากของสองสามีภรรยาฉางอวี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็เงียบขรึมไปเล็กน้อย มองเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าพวกเราซวยเกินไปหน่อยไหม”

เยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้าตกตะลึง หลุดปากเอ่ยออกมาว่า “หรือว่าเป็นเพราะสหายถังมาหา”

มั่วชิงเฉินลูบขมับอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยว่า “ข้าก็รู้สึก ตั้งแต่ไปเที่ยวในแดนผี ก็มักจะโชคร้าย พี่ใหญ่ถังเขาก็เคยเป็นเช่นนี้ถึงได้เปลี่ยนดวงชะตา”

“ศิษย์น้องคิดมากไปแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนตีเหล็กตอนร้อน[1]ขณะเอ่ย

“หือ”

“พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญเพียร อันตรายและโอกาสมักมาคู่กันเป็นเรื่องปกติ กลับเป็นสหายถังที่โชคร้ายอย่างแท้จริง”

มั่วชิงเฉินได้ยิน ก็นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่ประสบอันตรายก็มักจะได้ผลประโยชน์มาบ้าง แล้วขบคิดในใจว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง แล้วนึกถึงว่าถังมู่เฉินมีภาพจำอย่างไรในสายตาของเยี่ยเทียนหยวน ชั่วขณะนั้นก็น้ำตาไหลเพื่อเขาด้วยความเห็นใจ

ก็ไม่รู้ว่าเขาและชิงเกอเป็นอย่างไรบ้าง ได้อยู่ด้วยกันหรือไม่

ความจริงแล้ว ในสายตาของนาง ถังมู่เฉินและชิงเกอก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก

ชิงเกอมีนิสัยเรียบง่าย เงียบดุจบ่อน้ำโบราณที่ไร้ลมคลื่น ต้องมีคนที่กระตือรือร้นเช่นนี้มาช่วยก่อความวุ่นวาย มันถึงจะคึกคัก ชีวิตถึงจะมีรสชาติ

นางจินตนาการยากจริงๆ หากบุรุษที่เย็นชาเช่นเดียวกันอยู่กับชิงเกอจะเป็นอย่างไร

ส่วนถังมู่เฉินที่เคยมีบุพเพชั่วครู่ชั่วยามนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ในแดนผู้บำเพ็ญเพียรไม่ต้องพูดถึงบุรุษ แม้แต่กับสตรีที่ยังไม่แต่งงานก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่จำเป็นต้องรักษาพรหมจรรย์ คนส่วนใหญ่ล้วนไม่มีคู่บำเพ็ญเพียร ใช้ชีวิตไปได้สองสามร้อยปีถึงพันปี ก็จะพบสายลมวสันต์ที่คุ้นตานั้นเป็นเรื่องที่ปกติมาก

นั่นก็เพราะมั่วชิงเฉินคือดวงวิญญาณที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ตอนแรกที่รู้ว่าถังมู่เฉินไล่จีบชิงเกอก็คิดถึงความกะล่อนของเขาแล้วไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ภายหลังบังเอิญเอ่ยถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง กลับได้รับสายตาแปลกประหลาดจากเหล่าพี่น้องมา นางจึงเข้าใจแล้ว

เช่นนี้นอกจากศิษย์อาจารย์หรือมนุษย์ปีศาจรักใคร่กันแล้ว เรื่องอื่นๆ ในแดนมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงต้องมีชีวิตอยู่หลายร้อยหลายพันปี ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก็ฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก็รสนิยมสูงไม่ถูกใจใครง่ายๆ และรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ เดิมก็กระทำการตามใจอยู่แล้ว หากกล่าวว่าตั้งใจรักษาพรหมจรรย์เอาไว้ สภาพความคิดจิตใจก็ล้าหลังแล้ว

หนหางแห่งการเป็นเซียน นอกจากอายุยืนยาวและดับสูญแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก

แน่นอน มั่วชิงเฉินตระหนักแล้ว นางเข้าใจแล้ว รู้ความหมายแล้ว แม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธคนเพราะเหตุผลนี้อีก

ติดอยู่ในห้วงมิติลับไม่อาจออกไปได้ ดูเหมือนว่าจะเหลือเพียงแค่หนทางการฝึกบำเพ็ญแล้ว

วันเวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว พลังยุทธ์ของพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองเพิ่มขึ้น ส่วนทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น นอกจากจะฝึกบำเพ็ญเพียรแล้ว ก็มีกิจกรรมให้ทำมากกว่าพวกนาง บางครั้งก็แสดงฉากเร่าร้อน

โดยเฉพาะกำแพงด้านนี้ของพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองที่ไม่อาจสัมผัสได้ สองคนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะรักใคร่กันมาก

เพียงแต่วันนี้ฉางอวี้กดสตรีไว้ที่กำแพงแล้วพลิกตลบไปมา ไม่รู้ว่าออกแรงมากเกินไปหรือว่าทำไปหลายครั้ง ในที่สุดกำแพงก็รับไม่ไหว หรือไม่ก็ยามที่กำลังสุขสมนั้นหญิงสาวผู้นั้นควานมือสะเปะสะปะไปโดนตรงไหนเข้า ฉับพลันนั้นฝั่งของมั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้ว่ากำแพงสั่นเทา

ความแปลกประหลาดเช่นนี้พลันปรากฏขึ้น สองสามีภรรยาฉางอวี้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขก็ไม่รู้สึกไม่ได้ มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนพลันมีแววตาตกตะลึง

ในยามนั้นเองก็ได้ยิน ปัง ดังขึ้น กำแพงทั้งผืนพังทลายลงมา กลายเป็นฝุ่นควันตลบอบอวล

คนจากทั้งสองฝั่งเหยียบเข้าไปในฝุ่นควันหนาๆ พร้อมกัน

[1] ตีเหล็กตอนร้อน หมายถึง การทำงาน ทำการใดๆ หากมีโอกาสดีๆ เข้ามา จะต้องรีบคว้าไว้ก่อน รีบหาทางตักตวงผลประโยชน์