บทที่ 234 เขาอยากจะเห็นคนของเธอ

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลินจือเดินถือกล่องเก็บอุณหภูมิออกมาจากประตูโรงพยาบาลก็ถูกนักข่าวสองสามคนมาดักขวางเอาไว้ตรงหน้า หลินจือรู้สึกตกใจ รีบยกมือขึ้นมาปิดหน้าแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

นี่มันอะไรกัน?

หลินจือที่กำลังงุนงงอยู่นั้น ก็ได้ยินนักข่าวคนหนึ่งเอ่ยถามเธอ : “คุณหลินจือ พวกเราได้ยินมาว่ามีดาราหญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์และกำลังตรวจครรภ์อยู่ที่โรงพยาบาล คนๆนั้น……”

นักข่าวคนนั้นพูดไปพลางมองพิจารณาเธอไปด้วย หลังจากนั้นจึงลองหยั่งเชิงถาม : “คนๆนั้นไม่ใช่คุณใช่ไหมคะ?”

หลินจือ : “……..”

ตั้งครรภ์? ตรวจครรภ์?

นักข่าวคนนี้ตลกไปแล้วรึไง?

เธอไม่มีแม้แต่ผู้ชายเลยด้วยซ้ำ แล้วจะตั้งครรภ์จากที่ไหนกัน?

แล้วอีกอย่าง เธอเองก็ไม่ใช่ดาราหญิงอะไรนั่นด้วย

คิดมาถึงตรงนี้แล้วหลินจือก็เอ่ยถามนักข่าวคนนั้นไปอย่างจนปัญญา : “ฉันเป็นดาราเหรอคะ?”

“ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้แสดงละคร แต่คุณเป็นผู้เขียนบท ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจสูงมาก นับว่าครึ่งนึงก็เป็นดาราแล้วเหมือนกันรึเปล่าคะ?” นักข่าวคนนั้นเองก็รู้สึกว่าคำพูดตัวเองนั้นมีความไกลจากความเป็นจริงอยู่บ้าง ดังนั้นสุดท้ายแล้วน้ำเสียงก็เบาลงเช่นกัน

พวกเขาเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้ แต่ใครให้เธอมาบังเอิญปรากฏตัวอยู่ในสายตาของพวกเขาในเวลานี้กัน

พวกเขารอมากว่าครึ่งวันแล้วก็ไม่เห็นดาราหญิงอะไรนั่นเลย ได้เจอเธอเข้าพอดี จึงคาดเดากันไปแล้ว

ออร่าของเธอนั้นสะดุดตามากเกินไปจริงๆ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงพยาบาลที่ผู้คนเดินไปเดินมา สุภาพเรียบร้อย มีเสน่ห์งดงาม พวกเขาเห็นได้ในแวบเดียว

หลินจือไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี เมื่อก่อนเธอเขียนบทจนมืดฟ้ามัวดินตอนออกไปซื้อของกินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ได้สนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวเลย แต่งตัวตามสบาย

ยังดีที่วันนี้ตอนเธอออกมาก็จัดแจงกับตัวเองอยู่บ้าง แต่งหน้าแต่งตาสะอาด แต่งตัวดูดี มิเช่นนั้นแล้วถูกถ่ายรูปในระยะใกล้แบบนี้ เธอกลัวว่าภาพลักษณ์จะถูกทำลายเสียก่อน และภาพลักษณ์ของตระกูลแม็กซิมัสก็จะได้รับผลกระทบเพราะเธอด้วยเช่นกัน

คิดเช่นนี้แล้วหลินจือจึงรีบเอ่ยขึ้น : “ฉันเพียงแค่มาโรงพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมผู้ใหญ่ที่ไม่สบายอยู่แค่นั้นเองค่ะ”

และรถที่เธอเรียกนั้นก็มาพอดี เธอรีบขึ้นไปนั่งบนรถแล้วเร่งให้คนขับรถขับออกไป หนีไปจากเลนส์กล้องพวกนี้

ช่างน่าตกใจเสียจริงๆ

หลังจากที่หลินจือกลับบ้านแล้วนั้นก็มาแขวะนักข่าวพวกนั้นกับนานิ แล้วก็ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ถึงการเป็นดารานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยอีกด้วย

นานิได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา : “ตอนนี้เธอเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรำคาญใจกับการที่แม้แต่หนังซักเรื่องฉันแทบจะไม่กล้าออกไปดูแล้วใช่ไหม? น่ารำคาญมาก พวกเขาสามารถแทรกแซงเข้าไปในทุกทีเลยนะ”

นานิเอ่ยเตือนหลินจือด้วยความหวังดีอีกครั้ง : “ต่อไปเธอจะออกจากบ้านทางที่ดีที่สุดก็เตรียมแว่นกันแดดแล้วก็หมวกไปด้วยนะ เจอคนก็ยังสามารถเอามาบังได้บ้าง”

ถึงแม้ว่าที่นานิพูดมานั้นจะมีเหตุผล แต่สำหรับหลินจือแล้วเธอไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ถูกคนจ้องมองมากเกินไปแบบนี้

พวกเบลซพวกนั้นน่ารำคาญเสียจริงๆ ถ้าไม่ใช่พวกเขาที่เจตนาบินเบือนความสัมพันธ์ของเธอกับจอร์แดน จอร์แดนเองก็ไม่ต้องรีบมาทำให้ความจริงกระจ่างว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ แบบนั้นก็คงจะไม่มีคนมาสนใจเธอมากขนาดนั้นแล้ว

นานิพูดปลอบใจเธอต่อ : “ใจเย็นๆนะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง รอให้เธอชินว่าเธออยู่ในสถานะของคุณหนูตระกูลแม็กซิมัสก็โอเคแล้วล่ะ”

หลินจือรู้สึกหงุดหงิดมาก : “ฉันรู้สึกว่าฉันคงไม่มีทางชินหรอก ฉันพยายามอยู่แต่ในบ้านดีกว่า”

นานิหยอกล้อเธอ : “เธอเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวในวงการผู้หญิงสวยจริงๆนะ เธอดูพวกผู้หญิงสวยๆพวกนั้นสิ แต่งตัวสวยๆกัน ถือกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ตออกไปจิบชายามบ่ายสบายใจแล้วก็เป็นอิสระด้วย”

หลินจือยิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “พอเถอะ ฉันอยู่ที่บ้านเร่งบทของตัวเองนี่แหล่ะเป็นอิสระที่สุดแล้ว”

นานิเอ่ยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ : “จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ชวนฉันออกไปดื่มชาแพงๆยามบ่าย ฉันเองก็จะได้โพสต์รูปลงเล่นๆบ้าง”

หลินจือเอ่ยพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก : “มาบ้านฉัน ฉันชงกาแฟให้เธอแก้วนึง มันไม่หอมเลยรึไง?”

นานิหัวเราะขึ้นมา : “ใช่ๆๆ หอมมาก ทักษะการทำกาแฟของเธอดีกว่าพวกบาริสต้าข้างนอกเยอะเลยล่ะ”

“ใช่แล้ว ครั้งหน้าชวนฉันดื่มกาแฟ ฉันจะใช้แก้วใบนั้นที่เทาเท่ใช้เงินหนักๆทำให้เธอ ฉันอยากจะลองดูว่าแก้วที่แพงขนาดนี้ ดื่มกาแฟแล้วจะมีรสชาติที่พิเศษหรือเปล่า”

หลินจือรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก : “เธอก็จนไปทั้งวันเลยสิ”

พูดถึงแก้วใบนั้นที่เทาเท่ชดใช้ให้กับเธอ เธอยังไม่เคยได้ใช้มาก่อนเลย

จนถึงตอนนี้เธอยังจินตนาการไม่ได้เลยว่าเทาเท่ไปหาคนทำให้เหมือนกันขนาดนี้ได้อย่างไร มีเงินก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นจริงๆ

นานิยืดเอวขึ้น : “เอาล่ะ เอาล่ะ เธอรีบเขียนบทเถอะ ฉันไปออกกำลังกายแล้ว “The Legend of Concubine Rong “ก็จะเปิดกล้องแล้วด้วย ฉันจะต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดีก่อน”

“ไปเถอะไปเถอะ ถึงตอนนั้นแล้วก็แสดงเป็นชายาให้ดีแล้วกัน” หลินจือเคยเห็นภาพฟิตติ้งชายาของนานิแล้ว เป็นบทบาทนั้นที่อยู่ในความคิดและมุมมองของเธอมาก

และเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เพื่อนสนิทสุดที่รักของเธอเองก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้เช่นกัน

เทาเท่ไม่อยู่ หลินจือรู้สึกว่าแต่ละวันของตัวเองนั้นผ่านไปอย่างสงบสุขมาก

อยู่ที่บ้านเขียนบท เวลาพักผ่อนก็หยอกล้อเล่นกับแมว ทำกาแฟ ทำอาหาร ตอนกลางคืนก็โทรหาคุณท่าน แล้วก็คุยวิดีโอคอลกับจอร์แดนพักหนึ่ง และหนึ่งวันก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนที่หลินจือยังนอนขดอยู่ในผ้าห่มนั้น จู่ๆโทรศัพท์มือถือของเธอก็มีเสียงวิดีโอคอลดังขึ้น

หลินจือคลำหาและเอามาดูด้วยความงุนงง ไม่คิดว่าจะเป็นเทาเท่จะยังตามมาหลอกหลอนโทรเข้ามา

เธอเพิ่งถอดถอนใจด้วยความหดหู่ว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตไปด้วยความสงบสุขแล้ว แม้กระทั่งนอนหลับก็ยังหลับสนิทอีกด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเริ่มอีกแล้ว

หลินจือนอนไม่หลับแล้ว แต่เธอเลือกที่จะวางสายวิดีโอคอลนั้นไป

อย่างแรกเป็นเพราะว่าเธอไม่อยากจะเห็นเทาเท่เลยแม้แต่นิดเดียว อย่างที่สองตอนนี้เธอยังไม่ตื่น ไม่เหมาะที่จะมาวิดีโอคอลกับผู้ชาย

หลังจากที่กดตัดสายไปนั้นเธอก็ส่งข้อความหาเขา : “มีธุระหรือคะ?”

เทาเท่ตอบกลับ : “ผมอยากเห็นเจ้าเล็ก”

หลินจือที่ขดตัวอยู่บนเตียงกรอกตามองบน เขาคิดว่าเธอไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไรอย่างนั้นหรือ?

เขาคิดจะอ้างว่าอยากวิดีโอคอลเห็นเจ้าเล็ก เพื่อเจตนาที่จะเห็นเธอ

เธอไม่ได้เห็นเขา แล้วก็ไม่อยากให้เขาเห็นด้วย

เธอเลยตั้งใจลงไปถ่ายคลิปเจ้าเล็กข้างล่างส่งให้กับเทาเท่ จากนั้นก็ยังส่งรูปที่เธอถ่ายเจ้าเล็กเอาไว้เมื่อวานนี้ส่งให้เขาอีกหลายรูป

เขาอยากเห็นเจ้าเล็กไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ทำให้เขาเห็นจนพอแล้วล่ะมั้ง?

ทางเทาเท่นั้นรู้สึกโมโหกับการกระทำของเธอมาก เขานั่งเครื่องบินมาเป็นสิบกว่าชั่วโมงมาถึงนิวซีแลนด์ เข้าพักที่โรงแรมเพื่อพักผ่อน และผ่านไปไม่นานก็เริ่มจะคิดถึงเธอจนแทบบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่นึกถึงว่าทางเธอนั้นเป็นตอนกลางคืนกำลังนอนอยู่นั้น เขาก็จะโทรวิดีโอคอลหาเธอไปตั้งนานแล้ว

ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่กลับตั้งใจที่จะไม่ให้เขาได้เห็นเธอ

เขาจะดูแมวตัวนึงไปทำอะไรกัน?

เขาอยากจะเห็นเธอ!

ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าเทาเท่มาเสียใจภายหลังขนาดไหนที่เดินทางมาทำงานนอกสถานที่แบบนี้ ตอนที่เครื่องบินเพิ่งจะออกนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว แทบอยากจะกระโดดลงจากเครื่องบินมาเลยก็ว่าได้

เขาหลุดพ้นจากการดูตัวของคุณท่าน แต่ก็ตกเข้าสู่ภาวะความคิดถึงอย่างบ้าคลั่งนี้เช่นกัน

เขากัดฟันแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง : “ผมมีเรื่องบทละครจะกำชับกับคุณ”

หลินจือตอบกลับนิ่งๆ : “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นข้อความเสียงแล้วกันนะคะ”

เทาเท่โยนโทรศัพท์มือถือไว้ข้างๆด้วยความโมโห ยกมือขึ้นมาบีบหน้าผากอย่างแรง เขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นจะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปเดี๋ยวนี้แล้ว

แต่พอสงบลงมาได้แล้วนั้น ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องงานก็ที่คุยได้ก็คุยไปแล้วกัน

หลินจือรอพักหนึ่ง แล้วไม่ได้รอเทาเท่ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นอีกนั้น ก็ถอนหายใจออกมายาวๆอย่างโล่งใจ

เขางี่เงา เธอเองก็มีเล่ห์เหลี่ยมที่จะรับมือด้วย แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน