ตอนที่ 680 ร่างอสูรและร่างมาร
หลังจากที่เปาเฉิงโฉ่วและคณะมาถึงที่ลานกว้าง เจี้ยนหนันหู่จึงเดิน
เข้ามา
“พี่หู่ การแข่งขันรอบคัดออกวันนี้เป็นอย่างไรหรือ?” เจี้ยนรั่วหยาน
เอ่ยถาม
“แบ่งออกเป็นสิบหกกลุ่ม ผู้ชนะคนสุดท้ายของแต่ละกลุ่มจะได้เข้า
การแข่งขันรอบสุดท้าย!” เจี้ยนหนันหู่หันมองทางฉินหยุนและกล่าว
“ฉินหยุน เจ้านั้นไร้ซึ่งร่างเซียน ข้าคาดเดา ว่าเจ้าคงไม่มีทางได้เข้าถึง
รอบสุดท้ายแล้ว!”
“เหตุใดเจ้ามั่นใจเพียงนั้น? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้าหรือที่เอาชนะศิษย์
ร่างเซียนมาได้?” ฉินหยุนถามกลับ
เจี้ยนหนันหู่หันมองทางกลุ่มคนที่มีพลังอสูรหนาแน่นซึ่งอยู่ไกล
ออกไป “เจ้าเห็นกลุ่มพวกนั้นหรือไม่? พวกนั้นเป็นคนของแดนอสูร
อ้างว้าง”
“ห้าสำนักอสูรที่ยิ่งใหญ่จากแดนอสูรอ้างว้าง ได้ส่งศิษย์เข้าร่วมสิบ
ห้าคน มีสิบคนที่ครอบครองร่างอสูร และอีกห้าคนที่ครอบครองร่าง
มาร! สำหรับห้าสำนักเซียนและตำหนักจารึกเทวะแห่งแดนวิญญาณ
อ้างว้าง รวมแล้วพวกเราก็มีศิษย์ร่างเซียนกว่าสิบคนเข้าร่วม!”
เปาเฉิงโฉ่วที่ได้ทราบ เขาจึงค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย “ห้าสำนัก
อสูรใหญ่ถึงขั้นส่งศิษย์ที่เก่งกาจมากมายเข้าร่วมเพียงนี้!”
เจี้ยนรั่วหยานพยักหน้ารับและกล่าว “สำนักอสูรของแดนอสูรอ้างว้าง
ต่างก็ต้องการต้นกำเนิดเซียน พวกเขาได้หารือกับตำหนักจารึกเทวะกัน
เรียบร้อย เพราะเหตุนั้นจึงจำกัดระดับการฝึกฝนที่เข้าร่วมที่ขอบเขต
วรยุทธ์วิญญาณระดับสูง แน่นอนว่าแม้ข้าอยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับกลาง ก็หาได้รู้สึกกดดันใดไม่!”
เจี้ยนหนันหู่มองไปที่ฉินหยุนและกล่าว “ฉินหยุน แล้วเจ้าเล่า?
ท่ามกลางศิษย์ผู้ที่รอดกลับจากเกาะยุทธ์อสูร ส่วนใหญ่ต่างก้าวสู่
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางเพราะแก่นเต๋าดวงดาวเหล่านั้น
กันหมดสิ้นแล้ว”
“พลังจิตที่ข้าฝึกฝนค่อนข้างพิเศษ ดังนั้นจึงมีปัญหาอยู่บ้าง!” ฉินหยุน
เองยังรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบว่าปัญหาแท้จริง
อยู่ที่ตรงใด
เจี้ยนหนันหู่เองก็จดจำได้ ว่าวิธีการฝึกฝนพลังจิตของฉินหยุน มัน
เป็นวิธีการฝึกฝนที่อันตรายอย่างแปรเปลี่ยนจิตเป็นผลึกดวงดาว
“ใกล้เริ่มการแบ่งกลุ่มแล้ว ได้เวลาที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดต้องไป
รวมตัวแล้ว!” เจี้ยนหนันหู่เผยความตื่นเต้น เพราะงานประลองยุทธ์
ครั้งนี้ คือโอกาสที่เขาจะได้เผยความเฉิดฉายอย่างแท้จริง
เขาพ่ายแพ้ฉินหยุนสองครั้งครา เวลานี้ ในที่สุดเขาค่อยมีกำลังมาก
พอที่จะเอาชนะฉินหยุนได้
ฉินหยุนและคณะติดตามเจี้ยนหนันหู่ มุ่งหน้าสู่พื้นที่ส่วนหน้าของ
ลานกว้าง ตรงนี้ มีศิษย์หลายคนต่างรวมตัวกันอยู่
บรรดาศิษย์ทั้งหมดที่มาเข้าร่วมงาน กระทั่งว่าเป็นศิษย์ร่างเซียน ก็ยัง
ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล!
ศิษย์ร่างเซียนมีกันกว่าสิบคน และผู้ฝึกตนอสูรกว่าสิบห้า แบ่งออก
เป็นร่างอสูรและร่างมาร กระนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะคว้า
เอาตำแหน่งหลักในการแข่งขันครั้งนี้ไปได้
บรรดาศิษย์ร่างเซียนต่างเกิดความกังวล พวกเขาแทบไม่คิดพูดคุยกับ
ผู้อื่นแล้วด้วยซ้ำ
กระทั่งเจี้ยนรั่วหยาน ยังต้องรับรู้ถึงแรงกดดันหนักหนา หากพวก
เขาไม่อาจได้รับตำแหน่งหลักในการแข่งขัน เช่นนั้นคงเป็นการขาย
หน้ามากมายแล้ว
“แบ่งกลุ่มอย่างไร? จับสลากอะไรพวกนี้หรือ?” ฉินหยุนขมวดคิ้ว
“เป็นหน้าที่ของตำหนักจารึกเทวะ!” เจี้ยนหนันหู่ตบที่ไหล่ฉินหยุน
พร้อมยิ้มกล่าว “ฉินหยุน ข้ากังวลนักว่าเจ้าจะไม่อาจได้เข้าร่วมงาน
ประลองยุทธ์รอบสุดท้าย เมื่อถึงเวลานั้น ข้าคงไม่มีโอกาสได้ประ
มือกับเจ้าแล้ว!”
“ตัวบัดซบตำหนักจารึกเทวะนั่น พวกมันต้องเพ่งเล็งมาที่ข้าแน่!”
ฉินหยุนสบถเบา
ผู้จัดการอาวุโสเยี่ยแห่งตำหนักจารึกเทวะ ได้ให้กลุ่มคนนำกระดาษ
แบ่งรายชื่อออกเป็นสิบหกลานประลองออกมา
ฉินหยุนจึงมองหากลุ่มของตนเอง เป็นกลุ่มที่สิบห้า พอได้เห็นคู่
ต่อสู้เขาถึงกับต้องสบถภายในใจ ทั้งร่างเซียน ร่างอสูร ร่างมาร
ทั้งหมดมีครบจบในกลุ่มนี้
เจี้ยนหนันหู่ก็อยู่กลุ่มแรกที่มีร่างเซียนและร่างอสูรในกลุ่ม กระนั้น
กลุ่มของตำหนักจารึกเทวะกลับไม่มีใดให้ขวางเส้นทาง!
ท่ามกลางกลุ่มทั้งสิบหก กลุ่มของตำหนักจารึกเทวะถือว่าโชคดีเป็น
ล้นพ้นที่สุด กลุ่มของศิษย์ร่างเซียนพวกเขาทั้งสอง หาได้มีร่างเซียน
ร่างอสูร หรือร่างมารอยู่ในกลุ่มแม้สักคน ชัดเจนว่านี่เป็นการจงใจ
จัดฉากอย่างเห็นได้ชัด
เจี้ยนหนันหู่ก้าวเดินไปทางฉินหยุนพร้อมยิ้มกล่าว “ฉินหยุน กลุ่ม
ของเจ้าสมควรเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มมรณะแล้ว มีสามร่างอสูร สองร่าง
เซียน และสองร่างมาร”
“ศิษย์ร่างเซียนมาจากขุนเขาเซียนอัคคีคราม และหุบเขาเซียนโอสถ!”
ฉินหยุนยิ่งเกลียดชังต่อตำหนักจารึกเทวะ ส่วนทางด้านคู่ต่อสู้ เขาหา
ได้รู้สึกอันใดไม่
“ทางด้านน้องหยานเล่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ทางด้านนางก็ไม่ดีเท่าใดนัก มีทั้งร่างอสูรและร่างเซียน แม้มีเพียง
อย่างละหนึ่ง แต่แรงกดดันต่อนางก็มหาศาลนัก!” เจี้ยนหนันหู่ถอน
หายใจ
ถัดจากนั้น ฉินหยุนจึงหันมองไปบนลานประลองแต่ละแห่ง จึงค่อย
ตระหนักได้ว่าเชี่ยวเย่ว์หลานอยู่กลุ่มที่สิบ มีร่างเซียน ร่างอสูร และ
ร่างมารไม่ต่างกัน สถานการณ์กล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
กระนั้นฉินหยุนก็ไม่กังวลใดต่อเชี่ยวเย่ว์หลาน เพียงแต่รู้สึกว่าร่าง
เซียน ร่างอสูร และร่างมารเหล่านั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับนาง คงเป็น
วันที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตแล้ว
ทั้งสิบหกกลุ่มไม่ใช่ว่ามีเพียงสิบหกคน บางกลุ่มมีคนไปแออัดกัน
อยู่มากถึงยี่สิบ
ถัดจากนี้ จะเป็นการตรวจสอบพื้นฐานการฝึกฝน หากเป็นผู้ที่อยู่
เหนือกว่าขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง พวกเขาจะไม่อาจเข้า
ร่วมได้
หลังการทดสอบ ฉินหยุนจึงได้รับยืนยัน ว่าเป็นขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับต้น เรื่องนี้ทำเอาหลายคนถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
โดยเฉพาะบรรดาศิษย์ร่างเซียน
แม้ก่อนหน้าฉินหยุนเอาชนะศิษย์ร่างเซียนมาได้ ทว่าพวกเขาล้วน
เชื่อ ว่าฉินหยุนต้องใช้กลอุบายบางอย่าง หากเป็นการประลองอย่าง
ถูกต้องและเท่าเทียม ก็ไม่มีทางที่ฉินหยุนจะสามารถเอาชนะศิษย์ร่าง
เซียนไปได้
ทดสอบกันเรียบร้อย ขณะนี้เป็นเวลาที่งานประลองยุทธ์จะได้เริ่มขึ้น
แล้ว
ฉินหยุนจงใจยืนอยู่ตรงจุดหนึ่ง สายตาหันมองทางรายชื่อลานประลอง
เชี่ยวเย่ว์หลานได้เข้ามาใกล้เคียง นางส่งเสียงสื่อสารติดต่อมา
“เสี่ยวหยุน จัดการร่างอสูรและร่างมาร ให้ใช้พลังแห่งความเที่ยงธรรม
เจ้าสามารถลงแรงน้อยลงแต่สำเร็จผลได้มากขึ้น แต่ดีที่สุดต้องใช้เป็น
การลับ ไม่อย่างนั้นแล้ว มันคงกระตุ้นโทสะจ้าวสำนักอสูรทั้งหลาย
เป็นแน่” เชี่ยวเย่ว์หลานส่งเสียงสื่อสารบอก
“เย่ว์หลาน ตำหนักจันทราทมิฬเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องพี่หยางกับข้า
หรือ?” ฉินหยุนถาม
“ใช่! เสี่ยวหยุน เรื่องพี่หยางเจ้าอย่าได้เป็นกังวล ด้วยความสามารถ
ระดับพี่หยาง นางสามารถดูแลตนเองได้!” เชี่ยวเย่ว์หลานตอบกลับ
“เตรียมตัวรับการประลองยุทธ์ เจ้าต้องระวังตัวให้ดี!”
“ได้ เจ้าเองก็เช่นกัน!”
หลังสนทนากันเล็กน้อยกับเชี่ยวเย่ว์หลาน ฉินหยุนจึงเดินไปยังลาน
ประลองยุทธ์กลุ่มที่สิบห้า เขาอยู่คู่ที่สอง ขณะนี้ต้องรอผลลัพธ์ของคู่
แรก
ศึกแรกเป็นระหว่างศิษย์ตระกูลหลงและศิษย์สำนักอสูร
“หยุนเอ๋อ ร่างอสูรและร่างมารแตกต่างกันอย่างไร?” ฉินหยุนยัง
ค่อนข้างสับสนว่าระหว่างทั้งสองแตกต่างกันเพียงใด
“เป้าประสงค์ของร่างอสูรคือกำลังทางร่างกาย และร่างมารคือจิต
และใจ” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว “โดยสรุปแล้ว ผู้ที่ครอบครองร่างมารจะ
ชั่วร้ายโหดเหี้ยมกว่า พลังของพวกเขาสามารถส่งผลกับจิตของเจ้า
ได้ คล้ายคลึงกับการใช้พลังจิตโจมตี”
ฉินหยุนครอบครองพลังแห่งความเที่ยงธรรม ดังนั้นเขาจึงไม่หวั่น
เกรงต่อวิญญาณร้าย ซึ่งมันตรงกันข้ามกับที่ผู้คนคาดคิด เขากลับ
สงบใจอย่างยิ่ง
ทีละคู่ ทีละคู่ การประลองของแต่ละลานประลองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็น
ทางการแล้ว
ฉินหยุนหาได้ใส่ใจทางด้านกลุ่มที่สิบห้า กลับกัน เขามองไปที่กลุ่ม
สิบสาม เจี้ยนรั่วหยานกำลังต่อสู้อยู่ อีกฝ่ายเป็นศิษย์สำนักอสูรที่
ครอบครองร่างอสูร
“สงสัยนักว่านางจะเอาชนะเจ้านั่นได้อย่างไร!” ฉินหยุนค่อนข้าง
เป็นกังวลไม่น้อย
เจี้ยนรั่วหยานอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลางก็ใช่ ทว่าคู่ต่อสู้
ของนางคือร่างอสูร และยังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง
ความแตกต่างนี้ออกจะมากเกินไป
“เสี่ยวหยุน แม่เด็กรั่วหยานนั่นมีวิญญาณยุทธ์ดาบคู่ โดยเฉพาะหลังจาก
ที่นางก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง วิญญาณยุทธ์ดาบ
ของนางจึงยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างคาดคิด ว่าท่ามกลางศิษย์ของนครเซียนยุทธภัณฑ์
มีแต่เจี้ยนรั่วหยานที่สามารถแบกรับภาระเอาไว้ได้
ศิษย์สำนักอสูรที่ต่อสู้กับเจี้ยนรั่วหยานร่างสูงใหญ่และกำยำ ร่างนั้น
สูงกว่าสองเมตร กล้ามเนื้อบนร่างกายเป็นสีดำเงา ดูไปแล้วแข็งแกร่ง
อย่างยิ่ง
ดาบต้นกำเนิดของเจี้ยนรั่วหยานที่ปะทะกับร่างอสูร มันส่งเสียง ‘ตึง
ตึง ตึง’ ดังออกมา เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้ว ว่าร่างอสูรนั้นแข็งแกร่ง
เพียงใด
“น้องหยานค่อนข้างรวดเร็ว ทั้งยังใช้ดาบคู่ได้ยอดเยี่ยม! แม้พลัง
ป้องกันของศิษย์สำนักอสูรแกร่งไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้จุดอ่อน ยังมี
ดวงตาและปากให้ตกเป็นเป้าได้อยู่” เจี้ยนหนันหู่มาพูดกล่าวข้างฉิน
หยุน
“เมื่อครู่ นางจ้วงแทงที่หัวศิษย์สำนักอสูรไปหลายครั้ง ทว่าก็ยังไม่
อาจแทงทะลุ ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สำนักอสูรยังระวังการป้องกันหัว
เป็นอย่างดี!” ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าว “นางสมควรต้องใช้พลังจิต
โจมตีแล้ว!”
แม้เจี้ยนรั่วหยานเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง นางก็ยังคงสงบจิตใจ
ได้ ก้าวเท้าของนางยังคงมั่นคง หลบเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้อย่าง
ง่ายดาย
ระหว่างการประลองยุทธ์ ย่อมไม่สามารถใช้งานอาวุธ แต่ผู้ฝึกตน
ดาบย่อมสามารถใช้งานดาบต้นกำเนิด
กลยุทธ์ของเจี้ยนรั่วหยานเน้นที่การโจมตีจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ทว่านาง
ก็ถูกสกัดต้านรับไว้ได้หมด นางพยายามโจมตีหลายครั้งครา ก็ได้
เพียงแค่จ้วงแทงใส่ศีรษะของผู้ฝึกตนอสูร
ผู้ฝึกตนอสูรที่ครอบครองร่างอสูรจะมีผิวหนัง เนื้อ และกระดูกที่
ทนทานยิ่ง ดาบทั้งสองของเจี้ยนรั่วหยานทัดเทียมอาวุธลึกล้ำชั้นเลิศ
หรือระดับราชัน กระนั้น พวกมันก็ยังไม่อาจเรียกเลือดจากคู่ต่อสู้
“แม่สาวน้อย จงยอมแพ้เสีย! เจ้าคือศิษย์ตระกูลเจี้ยน ข้าไม่คิดอยาก
ทำร้ายเจ้า!”
ผู้ฝึกตนอสูรยิ้มโฉดชั่ว หากไม่ใช่เพราะแข่งขันกันในพื้นที่ตำหนัก
เซียนดาบ อีกฝ่ายคงกล่าววาจาหยามเหยียดยิ่งกว่านี้ไปแล้ว
“ผู้ที่ต้องยอมแพ้เป็นเจ้า!” เจี้ยนรั่วหยานหลบเลี่ยงการโจมตีของอีก
ฝ่าย ถอยจนถึงขอบสนามประลอง พร้อมตะโกนเสียงเย็นเยือก
นางควบคุมดาบเจตจิตกลับกลายเป็นแสงสีขาว พร้อมจ้วงแทงใส่
ศิษย์สำนักอสูร
ศิษย์สำนักอสูรผู้นี้โบกมือรวดเร็วและโจมตีออก ด้วยกำลังกายอสูร
แกร่งกล้า เขาย่อมไม่หวาดเกรงดาบแม้แต่น้อย
กระนั้น หลังจากดาบเจตจิตพุ่งทะยานมา มันพลันระเบิดออก กลับ
กลายเป็นแสงสีขาวสว่างเจิดจ้า ปลดปล่อยการโจมตีทางจิตอย่าง
รุนแรงออกมา
การโจมตีทางจิต หาได้ใช่สิ่งที่ร่างกายแข็งแกร่งจะสามารถต้านรับ
ศิษย์สำนักอสูรกลับกลายเป็นวิงเวียน
อึดใจนี้เอง เจี้ยนรั่วหยานเร่งรีบสืบเท้าก้าวเข้ามา จ้วงแทงดาบเข้าใส่
ดวงตาของศิษย์สำนักอสูร!
นางจ้วงแทงออกไปสองครั้ง ทะลวงเข้าไปในดวงตาของศิษย์สำนัก
อสูรจนอีกฝ่ายสูญเสียการมองเห็น ภายในศีรษะนั้นยังมีอาการ
บาดเจ็บร้ายแรง เขาที่ไร้ซึ่งทางเลือกจึงได้แต่ต้องยอมรับความพ่าย
แพ้
ผู้คนโห่ร้องตะโกนออกมา พวกเขาต่างชื่นชมถึงพละกำลังอันเหนือ
ล้ำของเจี้ยนรั่วหยาน
ดวงตาฉินหยุนพลันรู้สึกชาวาบ “ดวงตาเจี้ยนหมางบอดเพราะเช่นนี้
หรือ?”
“ถูกต้อง! ครั้งยังเด็ก เขาถูกทำให้สูญเสียการมองเห็นเพราะอสูรน้อย
จากตระกูลเจี้ยนของเราที่ร่วงหล่นสู่การเป็นอสูรคลุ้มคลั่ง” เจี้ยน
หนันหู่กล่าว
“สหายที่ดีของข้าก็คล้ายกัน หลังสูญเสียแขน แม้สามารถนำกลับมา
ได้ เขากลับปฏิเสธ! เขาไม่ใช่ศิษย์ตระกูลเจี้ยนของเจ้า ทว่าก็เป็นผู้ฝึก
ตนดาบเช่นกัน!” ฉินหยุนนึกถึงเซี่ยอู๋เฟิงขึ้นมา
“หากมีโอกาส ข้าคิดอยากพบบุคคลผู้นั้นสักครั้ง!” เจี้ยนหนันหู่ให้
ความสนใจขึ้นมา
ตอนนี้เอง คู่แรกของกลุ่มที่สิบห้าค่อยจบลง เป็นศิษย์ตระกูลหลง
พ่ายแพ้ต่อศิษย์สำนักอสูร
“คู่ประลองที่สอง ฉินหยุนและเหลิงหวน ขึ้นมาบนลานประลอง
ได้!” ชายชราตะโกนกล่าว
เจี้ยนหนันหู่เอ่ยคำ “เหลิงหวนผู้นี้เป็นคนของหนึ่งในห้าสำนักอสูร
ใหญ่ สำนักกระหายโลหิต สมดังชื่อของมัน มิตรสหายผู้นี้รักชอบ
การสูบโลหิต กล่าวว่าเพียงชั่วลมหายใจ มันสามารถสูบเลือดผู้คน
จนร่างแห้งกรังได้!”
“อสูรร้ายเช่นนี้ ข้าคงต้องส่งมันไปเกิดใหม่!” ฉินหยุนกล่าว “หากข้า
สังหารศิษย์สำนักอสูร อย่างนั้นจะมีผลตามมาหรือไม่?”
“นี่เจ้ายังหวาดเกรงผลที่ตามมาอีกหรือ? ตำหนักโทเทมเพ่งเล็งเจ้า
สำนักกระหายโลหิตเพิ่มเข้าไปจะเป็นอะไร?”
เจี้ยนหนันหู่ตบไหล่ฉินหยุนเบามือและยิ้มกล่าว “ขึ้นไปสังหารมัน
เสีย หากเป็นข้า ก็คงปลิดชีพตัวตนชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ต่างกัน!”