ตอนที่ 679 ศิษย์ร่างเซียนตระกูลใหญ่
เดิมฉินหยุนคิดว่างานประลองยุทธ์ก็แค่งานทั่วไป กระนั้นครานี้กลับ
ไม่ใช่ดังที่คิด
มันไม่ต่างอะไรกับที่เปาเฉิงโฉ่วคาดเดา ตำหนักจารึกเทวะได้เชื้อเชิญ
บรรดาศิษย์ของสำนักอสูรมาเข้าร่วม
สาเหตุที่ตำหนักจารึกเทวะหยิบยืมเรือบินสำหรับแขกพิเศษจำนวน
มาก ก็เพื่อที่จะได้ไปนำเหล่าศิษย์ของสำนักอสูรมาเข้าร่วมงาน
ประลองยุทธ์
แดนอสูรอ้างว้างมีวัตถุอุปกรณ์ระดับไม่สูงล้ำมากนัก ดังนั้นพวกเขา
จึงไม่มีอุปกรณ์บินได้ที่ดีสักเท่าใด
แม้ตำหนักจารึกเทวะครอบครองมากมาย กระนั้นพวกมันก็กระจัด
กระจายกันทั่ว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเลือกหยิบยืมเรือของตำหนัก
เซียนดาบ
“เหมือนว่าสำนักอสูรทั้งหลายในแดนอสูรอ้างว้าง จะมีความสัมพันธ์
อันดีกับตำหนักจารึกเทวะไม่น้อย! เรือบินลำใหญ่ที่ข้าทำลายไป
สมควรเป็นตำหนักจารึกเทวะสร้างให้แก่ตำหนักโทเทม!” เปาเฉิง
โฉ่วแค่นเสียงกล่าว
“จ้าวสำนัก ศิษย์จากสำนักอสูรมีค่อนข้างมากมายนัก พวกเขาเหล่านี้
มาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์กันทั้งหมด หรือเพียงแค่มารับชมกัน
ขอรับ?” ฉินหยุนเอ่ยถามเสียงเบา
“ที่เข้าร่วมงานประลองยุทธ์น่าจะแค่เพียงส่วนหนึ่ง! วางใจเถอะ ที่นี่
คือตำหนักเซียนดาบ พวกนั้นไม่กล้าใช้กลโกงอันใดแน่” เปาเฉิง
โฉ่ว กล่าว “เข้าไปกัน!”
เปาเฉิงโฉ่วนำกลุ่มศิษย์ตนเองก้าวเดินเข้าไป
ทันใดนี้เอง เขาจึงได้เห็นเจี้ยนสือเทียนเร่งรีบก้าวเดินออกมา
นอกจากนี้แล้ว ยังมีผู้แทนจากตำหนักจารึกเทวะ และอีกคนเป็นชาย
ชราไว้ผมสีม่วงลึกล้ำ
ฉินหยุนสบสายตาเจี้ยนหนันหู่ ภายในต้องทึ่ง เพราะเจี้ยนหนันหู่นั้น
ให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้นไปอีกถึงระดับหนึ่ง
“เสี่ยวหยุน เจี้ยนหนันหู่ถึงกับมีร่างเซียนได้ ชายคนนี้ฝึกฝนมันได้
อย่างไรกัน?” หลิงหยุนเอ๋อกล่าวออกอย่างตื่นตะลึง
เจี้ยนหนันหู่สวมใส่ชุดขาว แม้เขาติดตามด้านหลังเจี้ยนสือเทียนด้วย
ความนอบน้อม กระนั้นดวงตายังคงอัดแน่นด้วยความภาคภูมิ โดย
เฉพาะยามได้เห็นฉินหยุน ดวงตานั้นเผยเจตนาการต่อสู้ออกมาอย่าง
เด่นชัด
“ผู้นี้คือเปาเฉิงโฉ่วแห่งนครเซียนยุทธ์ภัณฑ์?” ชายชราเส้นผมสีม่วง
เดินเข้ามาเอ่ยถามเสียงลุ่มลึกเจือปนความโกรธเคือง
“เจ้าคือ?” เปาเฉิงโฉ่วพอคาดเดาได้โดยคร่าวแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด
“ข้าคือจ้าวสำนักตำหนักโทเทม ตูเทียนตี้!” จิตสังหารปรากฏเด่นชัด
ในดวงตาชายชราผมสีม่วง “เจ้าคือผู้ที่ทำลายเรือของพวกเราไปใช่
หรือไม่?”
“เรือนั่นเจตนาชนเรือของข้าก่อน ข้าให้โอกาสพวกมันยอมรับความ
ผิดพลาดแล้ว กระนั้นกลับเป็นพวกมันไม่ยอมรับ ข้าจึงทำลายเรือ
นั่นเสีย!”
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มอ่อนกล่าวคำ “โชคร้ายนักที่ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ ไม่เช่นนั้น
ข้าคงแสดงตัวเป็นผู้ผดุงธรรมแห่งสวรรค์กำจัดอสูรที่โฉดชั่วไปแล้ว!”
“ตาเฒ่าแคระ ให้ข้าสังหารเจ้า!” ตูเทียนตี้กราดเกรี้ยว เขานำเอาดาบ
ใหญ่สีดำออกมา
“ในพื้นที่ตำหนักเซียนดาบ ไว้หน้าข้าด้วย!” ทันทีที่เจี้ยนสือเทียน
ปลดปล่อยเจตนาแห่งดาบอันล้นพ้นออกมา สีหน้าของตูเทียนตี้จึง
แปรเปลี่ยน
ตูเทียนตี้เก็บอาวุธ พร้อมหันไปกล่าวกับครึ่งเซียนจากตำหนักจารึก
เทวะ “ท่านผู้จัดการเยี่ย เปาเฉิงโฉ่วผู้นี้สังหารคนของพวกท่านมา
ก่อนไม่ใช่หรือ? คล้ายพวกเราจะมีศัตรูร่วมกันแล้ว!”
“ถูกต้องแล้ว นครเซียนยุทธภัณฑ์ถือเป็นศัตรูของพวกเรา วันหนึ่ง
พวกเราจะเข้ากวาดล้างที่แห่งนั้นให้ราบเตียน!” ผู้จัดการเยี่ยมองทาง
เปาเฉิงโฉ่วพร้อมแค่นเสียง
หลังได้ทราบว่าเปาเฉิงโฉ่วมาถึง ครึ่งเซียนจากอีกหลายสำนักและ
ตระกูลต่างเข้ามารับชมเรื่องราวอึกทึก
พวกเขาย่อมได้ทราบกันมา ว่าเปาเฉิงโฉ่วทำลายเรือบินขนส่งน้ำมัน
สัตว์ของตำหนักโทเทม และจ้าวสำนักตำหนักโทเทมตูเทียนตี้ เขา
คือเต๋าอสูรที่ยากรับมือเป็นอย่างยิ่ง
ฉินหยุนยังได้เห็นเชี่ยวเย่ว์หลาน นางสวมใส่ชุดกระโปรงสั้นสีขาว
พร้อมผ้าสีดำปิดบังใบหน้างดงาม นางยืนอยู่ข้างฮูจิงเซียน รอยยิ้ม
ทรงเสน่ห์ที่มองมานั้นไม่อาจปิดได้มิด
ณ ลานกว้างของคฤหาสน์เซียนดาบ บรรดาขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหมด
ของแคว้นมหาดวงดาวต่างมารวมตัวกัน
ผู้จัดการเยี่ยพลันชี้นิ้วที่ฉินหยุนพร้อมกล่าว “เหล่าตู เด็กน้อยผู้นี้คือ
ฉินหยุน!”
“ฉินหยุนอย่างนั้นหรือ? เป็นมันที่ก่อกวนเมฆฝนโลหิตเหม็นคละคลุ้ง
ทั้งแดนยุทธ์อ้างว้าง อุปกรณ์เต๋าที่มันมี เป็นสิ่งที่ได้รับจากการสังหาร
ศิษย์สำนักเก้าตะวัน มันไม่ต่างอะไรกับโจรผู้ร้าย!”
“ไม่เพียงเท่านั้น มันยังครอบครองมรดกโทเทมราชสีห์สวรรค์! ทั้ง
ยังยั่วยุแปดสำนักของสำนักเก้าตะวันในแดนยุทธ์อ้างว้าง!” ตูเทียนตี้
ผู้นี้คล้ายทราบเรื่องราวฉินหยุนเป็นอย่างดี
ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลายย่อมทราบเรื่องราวฉินหยุนมาบ้าง กระนั้น
พวกเขาไม่ทราบว่าที่ได้รับฟังมาเป็นความจริงหรือไม่
และตอนนี้ เมื่อตูเทียนตี้กล่าวออกด้วยตนเอง บรรดาผู้ได้รับฟังต่าง
ต้องเผยอาการตื่นตะลึง
โดยเฉพาะกับบรรดาศิษย์ผู้เยาว์ พวกเขาไม่เคยคาดคิด ว่าฉินหยุนคือ
ผู้มาจากแดนยุทธ์อ้างว้าง ทั้งยังเป็นผู้ที่ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่
เอาไว้อีกด้วย!
เจี้ยนหนันหู่กำหมัดแน่น ตอนนี้เขาค่อยได้ทราบ ว่าฉินหยุนมีโทเทม
ราชสีห์สวรรค์ แต่เขากลับไม่เคยสัมผัสถึงพลังของโทเทมราชสีห์
สวรรค์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเชื่อ ว่าฉินหยุนยังเก็บงำกำลังความ
แข็งแกร่งอีกมากมายเอาไว้ในกาย
ตูเทียนตี้แค่นเสียงกล่าว “ฉินหยุน ข้าได้ยินว่าเจ้าครอบครองวิญญาณ
ยุทธ์สั่นไหวสีดำ และวิญญาณยุทธ์อสนีบาตอัคคีทองม่วง แต่หลัง
ผ่านการตรวจหา เจ้าคล้ายเหลือเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ นี่เจ้าโดนทำ
ให้พิการหรือไร?”
“และยังเป็นเจ้าที่สร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่ตำหนักโทเทมของ
เราที่แดนยุทธ์อ้างว้าง อย่าได้คิดว่าพวกเราจะปล่อยเจ้าไปโดยง่าย!”
“เป็นพวกเจ้าที่แส่หาเรื่องแก่ตนเอง คิดอยากฉกชิงโทเทมราชสีห์
สวรรค์จากข้า เป็นธรรมดาที่ข้าจะตอบโต้สังหารพวกเจ้า!” ฉินหยุน
กล่าวเสียงเย็น หนึ่งในตัวตนที่เขาเกลียดชังที่สุด ย่อมมีตำหนักโทเทม
เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนแล้ว
“ฉินหยุน ตอนนี้ข้าจะยังไว้ชีวิตเจ้า แต่ก็จงระวังเงาหัวไว้ให้ดี! ผู้อื่น
อาจไม่ทราบความสัมพันธ์ของเจ้ากับหยางฉีเย่ว์ ทว่าข้าทราบ!” ตู
เทียนตี้หัวเราะดังโฉดชั่ว
ฉินหยุนคือผู้ต้องสงสัยว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับหยางฉีเย่ว์ ผู้ที่
เปิดเผยเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นตำหนักจันทราทมิฬ
เปาเฉิงโฉ่วมีโทสะไม่น้อย เขากล่าว “ตูเทียนตี้ ด้วยฐานะผู้นำสำนัก
อสูร เจ้ายังกล้าอวดดีในแดนวิญญาณอ้างว้างเพียงนี้ เจ้าต่างหากจึง
เป็นผู้ที่สมควรต้องระวังตัวไว้!”
“เปาเฉิงโฉ่ว นี่คือข้า ย่อมไม่หวาดเกรงเจ้า หากเจ้าคิดอยากเป็น
ตัวแทนสวรรค์ลงทัณฑ์ต่อข้า เช่นนั้นก็เข้ามา!” ตูเทียนตี้หัวเราะดัง
“เหล่าตู อย่าได้สนใจเสียงนกกา พวกเราไปร่วมดื่มกันดีกว่า!”
ผู้จัดการเยี่ยนำตูเทียนตี้ออกจากที่ตรงนี้
เจี้ยนสือเทียนพอเห็นพวกเขาจากไป เขาจึงมองทางกลุ่มศิษย์เบื้องหลัง
เปาเฉิงโฉ่วก่อนจะเผยคิ้วขมวด “เหล่าเปา เจ้าได้พาศิษย์ร่างเซียนใด
มาด้วยหรือไม่?”
“ไม่ได้พามา มีอะไรหรือ?” เปาเฉิงโฉ่วกล่าวถาม
“อย่างนั้นนครเซียนยุทธภัณฑ์ของเจ้าก็คงหมดโชคแล้ว! ตราบเท่าที่
ศิษย์ผู้นั้นสามารถเข้าถึงสองอันดับแรกในงานประลองยุทธ์ เช่นนั้น
ขั้วอำนาจเบื้องหลังศิษย์ผู้นั้นจะได้รับตำแหน่งในตำหนักจารึกเทวะ
ของแคว้นมหาดวงดาว!”
“ตำแหน่งนี้สำคัญยิ่ง มันสามารถตัดสินกฎระเบียบ การปกครอง
และการตัดสินใจสำคัญอื่น มันมีแต่จะนำพามาซึ่งผลประโยชน์
มหาศาล!”
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “นครเซียนยุทธภัณฑ์ของเราไม่เคยต้องพึ่งพา
ตำหนักจารึกเทวะมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราก็ยังอยู่ดีหรือ
ไร?”
เจี้ยนสือเทียนส่ายศีรษะกล่าว “ครั้งนี้ไม่ใช่! เพราะครั้งนี้ พวกเราจะ
สู้กันเพื่อตำแหน่งสองจอมราชันแห่งแคว้นมหาดวงดาว เมื่อใดพวก
เราได้รับตำแหน่งนั้น พวกเราจะได้รับต้นกำเนิดเซียน!”
คล้ายมีแต่เปาเฉิงโฉ่วที่ไม่ทราบเรื่องนี้ เนื่องจากขั้วอำนาจทั้งหลาย
ของสำนักอื่นล้วนทราบกันมานานแล้ว
กระนั้น ศิษย์หลายต่อหลายคนต่างก็ไม่เคยทราบมาก่อน พอได้ยิน
ย่อมเกิดเสียงอึกทึกครั้งใหญ่
สำนักเซียนจะได้ครอบครองถึงสองต้นกำเนิดเซียน นั่นหมายความ
ถึงพลังงานเซียนของสำนักจะยิ่งหนาแน่นและเพิ่มพูนมากขึ้น
“เขตแดนลึกล้ำเป็นผู้ตัดสินใจเสนอสองต้นกำเนิดเซียนให้!” เจี้ยน
สือเทียนตบไหล่เปาเฉิงโฉ่ว “เจ้าก็ควรต้องพยายามให้มาก!”
สาเหตุว่าทำไมบรรดารุ่นเยาว์ต้องมาขันแข่งในงานประลองยุทธ์ ก็
เพราะเหล่าครึ่งเซียนไม่คิดต่อสู้กันเอง หากครึ่งเซียนต้องต่อสู้กัน
จนถึงแก่ความตาย รากฐานแห่งพลังและอำนาจของสำนักอาจต้อง
สั่นคลอน
เจี้ยนหนันหู่กล่าวกับฉินหยุน “ข้าได้ฝึกฝนร่างเซียนแล้ว ส่วนว่า
ฝึกฝนได้อย่างไรอย่าได้ใส่ใจ ขณะนี้ไม่ว่าจะด้วยอะไร เจ้าไม่มีทาง
ใช่คู่ต่อสู้ข้าอีกต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ที่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับกลาง เจี้ยนหนันหู่ถึงกับฝึกฝนร่าง
เซียนสำเร็จ หลายผู้คนต่างต้องตื่นตะลึง
ทางด้านฉินหยุน เขายังเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น!
“เจี้ยนหนันหู่ เช่นนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสร้างผลงานในการแข่งขันที่ดี
จนได้รับอันดับหนึ่ง!” ฉินหยุนยิ้มสงบตอบคำ
“ฉินหยุน เจ้ายังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น กระนั้นกลับใจ
เย็นได้เพียงนี้ หรือเจ้าคิดยอมปล่อยวางแล้ว? ก็พอเข้าใจได้ หากข้า
เป็นเจ้า ข้าก็คงยอมปล่อยวางเช่นกัน!” เจี้ยนหนันหู่หัวเราะดังก่อน
จะเดินตามเจี้ยนสือเทียนจากไป
เจี้ยนรั่วหยานแค่นเสียง “พี่หู่ฝึกฝนร่างเซียนแล้วกลับกลายเป็น
อหังการเพียงนี้ ถึงกับปรามาสคู่ต่อสู้จนเกินไป!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ “เพราะอย่างนั้นเขาจึงต้องพ่ายแพ้แก่ข้าอย่างแน่นอน!
ข้าจะสอนสั่งเขาเอง ว่าภายหน้าอย่าได้ทะนงตนจนเกินไป!”
“เจ้าเองก็หาได้แตกต่างกันไม่!” เจี้ยนรั่วหยานมองค้อนสายตาเย็น
เยือก
เปาเฉิงโฉ่วยิ้มกล่าว “ให้การต่อสู้เป็นผู้ตัดสิน! และข้าก็ไม่คิดให้ศิษย์
ร่างเซียนของนครเซียนยุทธภัณฑ์ต้องมาต่อสู้กันจนตัวตายที่นี่!”
เจี้ยนรั่วหยาน เย่ว์ผูเฟิง และศิษย์ทั้งหลายต่างเผยอาการตระหนก
ตกใจ พวกเขาคิดมาตลอดว่านครเซียนยุทธภัณฑ์ไร้ซึ่งศิษย์ร่างเซียน
เหลียวจิงเหมิงคือศิษย์ร่างเซียนตัวจริง และพละกำลังของนางก็ลึกล้ำ
จนแทบไม่อาจปรามาสได้ กระนั้น เพราะตัวตนของนางจึงทำให้ไม่
ค่อยเหมาะแก่การต่อสู้ ดังนั้นแล้วเปาเฉิงโฉ่วย่อมไม่คิดให้นางออก
มาต่อสู้
เปาเฉิงโฉ่วและคณะได้รับสวนใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อใช้พักผ่อน
ตอนนี้ฟ้าใกล้พลบค่ำแล้ว พวกเขาต่างเข้าห้องพักตนเองเพื่อรอคอย
วันพรุ่งนี้ ที่งานประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้น!
ในช่วงเช้า ก่อนฟ้าสาง เปาเฉิงโฉ่วได้เรียกตัวฉินหยุน เจี้ยนรั่วหยาน
และศิษย์อีกสองคนให้ไปพบที่ห้องของตน
“เมื่อคืนข้าได้สอบถามไปทั่ว นอกจากพวกเราแล้ว สำนักเซียนทั้งหมด
ได้ส่งศิษย์ร่างเซียนมาเข้าร่วมกันทั้งสิ้น และยังมีของตำหนักจารึกเทวะ
อีกสอง! อีกทางหนึ่ง ตำหนักเซียนดาบส่งศิษย์ร่างเซียนเข้าร่วมมาก
ที่สุด พวกเขามีกันถึงสี่คน!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าว “วันนี้และวันพรุ่งนี้
เป็นรอบคัดเลือก จะมีเพียงสิบหกคนที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในรอบ
สุดท้าย!”
ฉินหยุนเอ่ยคำ “เช่นนั้นมีศิษย์ร่างเซียนแปดคนหรือขอรับ?”
“มากมายกว่านั้น หุบเขาเซียนโอสถ ขุนเขาเซียนอัคคีคราม และวิมาน
เซียนปีศาจได้ส่งมาสำนักละสอง ตำหนักเซียนดาบส่งออกมาสี่ รวม
อีกสองจากตำหนักจารึกเทวะ รวมแล้วทั้งสิ้นสิบสอง ด้วยกำลังของ
ศิษย์ร่างเซียนทั้งสิบสอง ไม่ว่าสำนักใดก็ต้องได้รับหนึ่งตำแหน่งไป
อย่างแน่นอน!”
“ห้าตระกูลใหญ่ และห้าสำนักดวงดาว รวมถึงสามสำนักจันทรา
และสำนักกับตระกูลอื่นทั้งหลาย รวมถึงสำนักอสูร พวกเขาต่างต้อง
สู้กันอย่างดุเดือดเพื่ออีกสี่ตำแหน่งที่เหลือ!”
เปาเฉิงโฉ่วค่อยผ่อนคลาย เขาเผยยิ้มแล้วจึงกล่าว “ไม่ว่าพวกเรา
สามารถได้รับอันดับหนึ่งหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือ
พวกเจ้าต้องไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง!”
เจี้ยนรั่วหยานกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ต้องสู้เพื่อคว้าตำแหน่ง
นั้นมาให้ได้!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “นั่นก็ต้องอาศัยโชคด้วย หากพวกเรามีโชค ตำแหน่ง
นั้นอาจได้รับมาง่ายดายเกินผู้ใดคาดคิด”
ศิษย์อีกสองคนไม่กล่าวคำใด แม้กำลังพวกเขาไม่แย่ แต่พวกเขาคิด
ว่าเมื่อเทียบกับบรรดาศิษย์ร่างเซียนที่แกร่งกล้าเหล่านั้น พวกเขา
แทบไม่มีโอกาสใดให้ฉกฉวย
ฉินหยุนเคยสังหารศิษย์ร่างเซียนของตำหนักจารึกเทวะมาก่อน
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจ
“ดี เช่นนั้นไปเข้าร่วมรอบคัดเลือก!” เปาเฉิงโฉ่วกล่าว
เปาเฉิงโฉ่วนำกลุ่มศิษย์มุ่งหน้าสู่ลานกว้างบริเวณทางตะวันออก
เฉียงใต้ของคฤหาสน์เซียนดาบ รอบคัดเลือกแพ้ออกจะดำเนินขึ้น
ที่นี่
แต่ละมุมของลานกว้าง มันจะมีดาบยักษ์สูงกว่าร้อยเมตรปักเอาไว้
กับพื้น ทั้งยังเผยประกายแสงเย็นเยือก รวมถึงเจตนาแห่งดาบที่
คุกคาม มันคล้ายเป็นอาคมดาบที่แกร่งกล้า ทำเอาทั้งลานกว้างต้อง
ปกคลุมด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
ที่ลานกว้าง ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงออร่าของศิษย์ร่างเซียนกว่าสิบคน!
เปาเฉิงโฉ่วที่มาถึงพลันต้องสบถออก “สำนักอสูรเองก็ส่งผู้ที่ครอบ
ครองร่างอสูรเข้าร่วม มีกันไม่หกก็เจ็ดคน! งานประลองนี้คล้าย
น่าสนใจขึ้นทุกที!”