บทที่ 14 เสี่ยวเข่อลี่เปิดโหมดนางฟ้าแสนสวย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 14 เสี่ยวเข่อลี่เปิดโหมดนางฟ้าแสนสวย

หลังเลิกเรียน มู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ที่เพิ่งเดินลงบันไดมาด้วยกัน เห็นเสี่ยวเข่อลี่และเพื่อนสาวคนอื่นๆกำลังยืนอยู่ตรงแถวๆทางเข้าตามทางเดิน หรือว่าพวกเธอกำลังรออะไรสักอย่าง?

มู่หรงเสวี่ยทำสีหน้าแข็งกระด้างพร้อมดึงมือของโม่อ้ายลี่ให้เดินต่อไป โดยไม่หยุดพักและไม่สนใจกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเข่อลี่เห็นว่าเธอกำลังเดินมา จึงเปิดปากเรียกเธอไว้ “เสี่ยวเสวี่ย…” เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำพลาดไป จึงกัดริมฝีปากจนซีด

“เสี่ยวเสวี่ย เธอโกรธฉันเรื่องที่ตกน้ำคราวก่อนหรือเปล่า? ฉัน…ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆนะ ฉันขอโทษ… เธออยากให้ฉันทำอะไรให้ก็บอกมาได้เลยนะ อะไรก็ได้ที่ทำให้เธอยอมยกโทษให้ฉัน…”

เสียงของเสี่ยวเข่อลี่ดังกว่าปกติเล็กน้อย และมันก็ได้ดึงดูดความสนใจของนักเรียนหลายคน รวมถึงฟางฉีฮัวและหยางเฟิงที่เพิ่งจะเดินผ่านมาแถวนี้เช่นกัน

มู่หรงเสวี่ยหยุดฝีเท้า จากนั้นก็ค่อยๆหันไปมอง เสี่ยวเข่อลี่ ด้วยสายตาคม “เข่อลี่ ทำไมถึงได้พูดอะไรแปลกๆอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่ได้โกรธ เธอคิดว่าตัวเองไปทำอะไรมา ฉันถึงต้องโกรธเธอด้วยล่ะ?”

เมื่อเสี่ยวเข่อลี่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย จู่ๆหัวใจของเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที

เสี่ยวเข่อลี่เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนเหมือนกับพระอาทิตย์ส่องแสงสีขาวกล่าวว่า “ถ้าเธอไม่ได้โกรธฉันจริงๆ แล้วทำไมช่วงนี้เธอถึงไม่สนใจฉันเลยล่ะ”

ทันใดนั้นหัวใจของมู่หรงเสวี่ยก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เธอตอบกลับไปว่า “คือ…ช่วงนี้ฉันยุ่งๆน่ะ” จากนั้นก็หันไปมองคนรอบตัวที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงเสวี่ย เธอต้องคุมน้ำเสียงตัวเองเอาไว้

“เสี่ยวเสวี่ย อย่าโกรธฉันเลยนะ นะ?” ทันใดนั้น เสี่ยวเข่อลี่ก็รีบเอื้อมมือออกมาจับที่แขนของมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยโต้ตอบเธอด้วยการรีบดึงแขนตัวเองกลับมาโดยอัตโนมัติ ทำให้เสี่ยวเข่อลี่สะดุดล้มลงไปกองที่พื้น

คนรอบตัวเริ่มจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยและชี้นิ้วมาที่เธอ

มันเป็นความตั้งใจของเสี่ยวเข่อลี่ ที่มาดักรอมู่หรงเสวี่ยตรงนี้

มู่หรงเสวี่ยมองดูเสี่ยวเข่อลี่ที่ล้มลงไปกองที่พื้นด้วยใบหน้างุนงง ในเวลานี้ เสี่ยวเข่อลี่ทำท่าทางอย่างกับเป็นลูกหมาตกน้ำ ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะช่วยประคับประคองเธอให้ขึ้นมาจากพื้นและคอยปลอบประโลม

โอ้โห เสี่ยวเข่อลี่ เธอนี่มันสุดยอดนักแสดง ฉันล่ะประทับใจในตัวเธอจริงๆ

“เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอโกรธฉันจริงๆใช่ไหม?…” เสี่ยวเข่อลี่ที่ล้มลงไปกับพื้นโดยไม่สนว่าตัวเองจะเจ็บตัวขนาดไหน เข้ามาพูดออดอ้อนมู่หรงเสวี่ย

เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อดไม่ได้จนเข้ามาต่อว่ามู่หรงเสวี่ยด้วยความไม่พอใจ

“นี่ มู่หรงเสวี่ย เสี่ยวเข่อลี่ขอร้องเธอขนาดนี้แล้ว นอกจากเธอจะไม่ยกโทษให้แล้ว ยังจะมาผลักอีกเหรอ โอ้โห เธอเป็นคนใจร้ายใจดำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เธอรู้จักเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอเคยเล่นกับเสี่ยวเข่อลี่มาก่อน เธอชื่อ หวังหยาน ในชีวิตที่แล้ว หวังหยานมักจะอยู่กับเสี่ยวเข่อลี่เสมอ เรียกได้ว่าแค่พยักหน้าก็เข้าใจกันแล้ว และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หวังหยานจะเป็นคนช่วยเสี่ยวเข่อลี่อยู่ตลอด ส่วนเสี่ยวเข่อลี่เองก็มักจะแสดงเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเช่นกัน

เสี่ยวเข่อลี่รีบฉุดรั้งหวังหยานและส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว “นี่ เธอเข้าใจเสี่ยวเสวี่ยผิดแล้ว เมื่อกี้ที่ฉันล้มก็เพราะไม่ระวังเอง มันไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเสวี่ยเลย อย่าไปว่าเธอแบบนั้นเลยนะ”

ในเวลานั้นที่ใบหน้าของเสี่ยวเข่อลี่ก็ปรากฏน้ำตาที่ไหลรินลงมาอาบแก้ม สิ่งนี้ยิ่งทำให้เสียงวิจารณ์ดังขึ้นไปอีก

“เข่อลี่ ฉันรู้นะว่าเธอเป็นคนใจดี แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องไปแก้ตัวให้มู่หรงเสวี่ยแบบนั้นก็ได้นะ เฮ้อ แล้วเท้าของเธอเป็นไงบ้าง? ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงเสวี่ย เธอก็คงไม่ต้องมาหกล้มแบบนี้หรอก ฉันพูดถูกไหมล่ะ?”

“…”

อึก! ในหัวใจของมู่หรงเสวี่ยถูกระลอกคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าใส่อย่างจัง

“เข่อลี่ ฉันไม่รู้เรื่องที่ฉันจะต้องยกโทษให้เธอจริงๆนะ เธอทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมไม่บอกฉันมาตรงๆล่ะ? แถมก่อนหน้านี้ฉันก็เคยบอกเธอแล้วว่าอย่าใส่รองเท้าส้นสูงเกินไป เห็นไหม เธอหกล้มอีกแล้ว เดือนนี้เธอล้มต่อหน้าฉันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วนะ” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้

“ฮ่าฮ่า!” ท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้มีเสียงหัวเราะเสียงดังหลุดออกมาขัดจังหวะ

“อะแฮ่ม! ฉันต้องขอโทษนะ แต่มันอดขำไม่ได้จริงๆ ฉันคิดว่าที่คุณหนูมู่หรงพูดมาก็ถูกนะ เสี่ยวเข่อลี่ควรจะใส่รองเท้าที่สูงน้อยกว่านี้สักหน่อย” เป็นหยางเฟิงเองที่กล่าวออกมา

เสียงกระซิบกระซาบที่อยู่รอบๆดังขึ้นมาอีกครั้ง แตกต่างกันที่ครั้งนี้ไม่ได้พูดถึงมู่หรงเสวี่ยแต่เป็นเสี่ยวเข่อลี่แทนที่ยังทำเป็นร้องไห้ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่เธอใส่รองเท้าสูงเกินไปจึงไม่แปลกถ้าเธอจะหกล้มอยู่หลายหน นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง เพราะทุกคนไม่ได้เป็นคนโง่ โดยเฉพาะกับคนอย่างหยางเฟิงและฟางฉีฮัวแล้ว คนแบบนี้ก็จะพบเจอได้อยู่บ่อยครั้ง และจำนวนที่พวกเขาล้มก็นับครั้งไม่ถ้วนเลยด้วย

ทันใดนั้น ดวงตาของเสี่ยวเข่อลี่ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ดวงตากลมโตของเธอมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา เพื่อที่จะแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมและความโศกเศร้า เสี่ยวเข่อลี่หันไปมองหยางเฟิงแล้วพูดว่า “ฉัน… ฉันขอโทษ ฉัน…แค่อยากจะคุยกับเสี่ยวเสวี่ย…”

หยุดนะ นี่เธออย่ามองมาทางฉันอย่างนั้นสิ หยางเฟิงไม่อาจต้านทาน ‘หญิงงามดั่งบุปผา’ ได้ หยางเฟิงคิดว่าตัวเองไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ จึงรีบละสายตาจากอีกฝ่ายแล้วมองไปทางอื่นในทันที

“เข่อลี่ ฉันว่าเธอลุกขึ้นมาก่อนนะ ที่พื้นมันสกปรกนะ ถ้าเธอยังนั่งอยู่ที่พื้นแบบนี้ มันคงดูไม่ดีเท่าไร” มู่หรงเสวี่ยกล่าว เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเสี่ยวเข่อลี่ถึงได้ชอบนั่งอยู่ที่พื้นตลอดเวลาด้วย

“ในเมื่อเสี่ยวเสวี่ยบอกว่าไม่ได้โกรธเธอแล้ว แต่ทำไมเธอถึงได้ขอโทษเสี่ยวเสวี่ยตลอดเวลาด้วยล่ะ? เธอทำอะไรที่ไม่น่าให้อภัยไว้งั้นเหรอ?” สมกับที่เป็นเพื่อนสนิทของมู่หรงเสวี่ย คำพูดของโม่อ้ายลี่ได้ใจมู่หรงเสวี่ยอย่างแรง พูดได้ดี เอาใจไปเลยเพื่อน!

ดีจริงๆที่มีใครยืนอยู่ข้างๆเธอ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าโลกนี้เริ่มจะมีเรื่องดีอยู่บ้าง

“ลุกขึ้น” เพราะความสงสาร ฟางฉีฮัวถึงได้ช่วยพยุงเสี่ยวเข่อลี่ให้ลุกขึ้นยืน

“ข..ขอบคุณนะ…” เสี่ยวเข่อลี่เหลือบมองไปทางสุดหล่ออย่างฟางฉีฮัวด้วยความขอบคุณ เบ้าตาของเธอดูเหมือนว่าจะมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หัวใจของฟางฉีฮัวอ่อนยวบ

เสี่ยวเข่อลี่รู้สึกอับอายจนต้องก้มหน้าก้มตา ทำให้น้ำในตาไหลออกมาในทันที น้ำใสๆค่อยๆไหลอาบลงมาตามแก้มสะท้อนกับแสงแดดที่ตกกระทบ

“ฉันแค่คิดว่าเสี่ยวเสวี่ยยังโกรธฉันเรื่องที่เธออยากจะกระโดดกอดหยางเฟิงก่อนหน้านี้อยู่ แต่ก็…ดีแล้วล่ะที่เธอไม่ได้โกรธฉัน แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น จู่ๆเธอก็เมินฉัน เหมือนเธอไม่พอใจฉันเลย..”

เสี่ยวเข่อลี่เก่งเรื่องการสร้างความร้าวฉานจริงๆ

“เสี่ยวเสวี่ย ถ้าเธออยากกอดฉัน จริงๆเธอไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะ ฉันจะยอมให้เธอกอดเอง” หยางเฟิง นายเป็นโจทย์ของเรื่องนะ นี่นายไม่กลัวว่าโลกมันจะวุ่นวายไปมากกว่าเดิมรึไง

ดวงตากลมของมู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่หยางเฟิง ราวกับจะบอกเขาว่า ‘นายหลีกไปไกลๆเลยนะ อย่ามาสร้างปัญหาแถวนี้!’ ยังไงอย่างนั้น

แน่นอนว่าหยางเฟิงเชื่อฟังมู่หรงเสวี่ยแต่โดยดี จึงยอมเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ในเวลาเดียวกัน คนที่อยู่รอบๆก็เริ่มซุบซิบกันอีกครั้ง “มู่หรงเสวี่ยคิดว่าตัวเองเป็นใครเนี่ย? เธอกล้าคิดกับหยางเฟิงแบบนั้น แล้วไหนเมื่อกี้ที่ผลักเสี่ยวเข่อลี่ล้มอีก โอ้โห เธอนี่มันวางอำนาจใหญ่โตจริงๆเลยนะ สร้างเรื่องน่าอับอายไปทั่ว หน้าไม่อาย”

“ใช่ๆ เสี่ยวเข่อลี่นี่ทำตัวน่ารักตลอดเลย ได้ยินมาว่าเธออยู่บ้านเดียวกับมู่หรงเสวี่ยด้วยล่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มู่หรงเสวี่ยจะแอบแกล้งอะไรเธอบ้าง”

“เหอะๆ พวกคนรวยก็เอาแต่ใจแบบนี้แหละ คิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้รึไงกัน”

“…”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะเยาะ “เข่อลี่ ฉันรู้นะว่าเธอชอบการแสดง เธอควรจะขอบคุณฉันที่ยังคบเธอมานานขนาดนี้ เห็นรึเปล่าว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นคนเลวไปแล้ว เพื่อนๆแทบจะนินทาฉันทุกคน ตระกูลมู่หรงของฉันทำดีกับเธอมาตลอด แถมฉันก็ไม่เคยว่าอะไรเธอเลยสักครั้ง ฉันปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวตัวเองมาโดยตลอด ที่ฉันพูดมา มันถูกไหม? เอาเป็นว่า ครั้งต่อไป เธออย่ามาร้องห่มร้องไห้แบบนี้อีก พวกคนอื่นชอบคิดไปเองว่าฉันรังแกเธอ ถึงเธอจะชอบการแสดง แต่ก็อย่าร้องไห้แบบนี้ทุกวันดีกว่า ระวังตาจะบวมเป็นปลาทองล่ะ ตาบวมแบบนั้นน่าเกลียดจะตายไป” มู่หรงเสวี่ยกล่าวด้วยความเป็นห่วง อย่าคิดว่ามีแค่เธอคนเดียวที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้ ตอนนี้ ฉันไม่ได้โง่เหมือนชีวิตที่แล้วหรอกนะ

“อ่า? นี่เป็นการแสดงเหรอ?”

“โอ้ พระเจ้า แสดงเก่งมากเลยอ่ะ”

“สุดยอดไปเลย!”

เธอไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดีๆทุกคนที่อยู่รอบตัวเธอถึงได้ปรบมือให้เธอ

ใบหน้าของเสี่ยวเข่อลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ไม่ใช่เพราะทักษะการแสดงของเธอที่เธอแสดงออกมาแล้วได้รับคำชม แต่เป็นเพราะเธอโกรธต่างหาก คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเสวี่ยจะฉลาดขนาดนี้

น้ำตาที่กำลังจะเอ่อล้นออกมา เสี่ยวเข่อลี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกมู่หรงเสวี่ยชิงพูดไปก่อนแล้ว

“หยุดจ้ะ ฉันยังพูดไม่จบ เธอต้องร้องไห้อีกรอบแน่ๆ แย่จริงๆเชียว…” จากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“อีกอย่าง เข่อลี่ ถ้าเธออยู่ที่บ้านของตระกูลมู่หรงแล้วไม่สบายใจ เธอจะย้ายออกมาก็ได้นะ ขนาดฉันยังย้ายออกมาเลย พอดีว่าฉันอยากลองไม่พึ่งครอบครัวดู จะได้รู้ว่าพึ่งตัวเองแล้วจะไปได้ไกลขนาดไหน?! เธอคิดว่าไง มันน่าสนใจมากเลยใช่ไหม?”

เสี่ยวเข่อลี่ตกใจเล็กน้อย เธอไม่อยากออกจากบ้านมาพักคนเดียว เพราะถ้าเธอต้องออกมาอยู่ข้างนอก เธอจะไม่ได้กินอาหารดีๆ ไม่ได้แต่งตัวสวยๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชื่อเสียงของตระกูลมู่หรง ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายมาจนถึงทุกวันนี้

ดวงตาของเสี่ยวเข่อลี่เบิกกว้างขึ้นแล้วหรี่ลง เธอทำเหมือนกับคนอ่อนแอ “เสี่ยวเสวี่ย คือว่า…คุณป้าเคยบอกว่าท่านอยากให้ฉันอยู่ในบ้านมู่หรง ฉันก็เคยบอกท่านแล้วว่าอยากจะย้ายออกมาอยู่คนเดียวดูบ้าง แต่คุณป้าก็ขอให้ฉันอยู่ต่อ…”

เสียงซุบซิบรอบกายทำให้เธออับอาย เสี่ยวเข่อลี่ก้มหัวลงต่ำ เธอพลาดแล้วที่พูดแบบนั้นออกไป

“หา? นี่พวกเธอยังแสดงกันไม่จบอีกเหรอ?”

“อ๋า? ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า คอยดูก็แล้วกันนะ”

“ถึงเวลากินข้าวแล้ว ไปๆ แยกย้ายไปกินข้าว ฉันหิวจะตายแล้วเนี่ย” ในที่สุดโม่อ้ายลี่ก็ทนดูทั้งสองคนต่อปากต่อคำต่อไปไม่ไหว

ทันใดนั้นก็มีบางคนหลุดหัวเราะออกมา ตามมาด้วยฝูงชนที่อยู่รอบๆก็ได้หัวเราะตามขึ้นมาด้วย

“ทั้งสองคนนี้เล่นเก่งมากเลย นี่พวกเธอสนใจมาแสดงในงานโรงเรียนปะ?”

“ไม่รู้สินะ ก็รอดูกันต่อไป”

ฝูงชนค่อยๆสลายตัวและแยกย้ายกันไปตามทางของตน

แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังสงสัยในตัวของมู่หรงเสวี่ยอยู่ดี!