เล่มที่ 13 เล่มที่ 13 ตอนที่ 367 คิดจะปิดบังถึงเมื่อใด

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หนานกงลั่วอวิ๋นมองซูจิ่นซีอย่างตึงเครียด นางลืมกระทั่งใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้า จนเผยให้เห็นใบหน้าทั้งหมด

หากเวลานี้มีผู้อื่นมาเห็นนางคงต้องตกใจเป็นแน่

ใบหน้าที่เดิมทีงดงามอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ ตอนนี้กลับถูกหนอนโลหิตกัดกร่อนจนเต็มไปด้วยเลือดและเห็นเป็นกระดูกสีขาวอยู่หลายแห่ง

น่าเสียดาย เวลานี้ทุกคนต่างมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ซูจิ่นซีและกระถางหงส์สัมฤทธิ์ จึงไม่มีผู้ใดมองนาง

ซูจิ่นซีเดินไปเบื้องหน้ากระถางหงส์สัมฤทธิ์ ขณะที่นางกำลังจะเอื้อมมือวางลงที่กระถางหงส์สัมฤทธิ์ ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็เหาะไปยังข้างกายซูจิ่นซีและจับมือนางไว้

“ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า” เยี่ยโยวเหยามอบกำลังใจอันไร้ขีดจำกัดแก่ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยา พลางพยักหน้า

เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี พวกเขาค่อยๆ วางมือลงบนกระถางหงส์สัมฤทธิ์

ทันใดนั้นก็มีเสียงครืนดังขึ้น ทั่วทั้งมหาวิหารเริ่มสั่นไหว เสาหินและรูปปั้นแกะสลักตกแตกกระจัดกระจาย

“เกิดอันใดขึ้น? ” ภายในตำหนักเสวียนปิง ฮูหยินปิงจีผุดลุกขึ้นทันทีและหันไปถามยวี่จี

สีหน้าของยวี่จีเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบประกบนิ้วร่ายเวท แต่ก็ยังไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง ทันใดนั้น ภาพมายาเวทก็มืดลง ไม่ปรากฏสิ่งใดอีก

ภาพมายาสุดท้ายที่ฮูหยินปิงจีเห็นคือภาพที่เยี่ยโยวเหยาโอบซูจิ่นซีเหาะลงมาจากแท่นบูชาและกระถางหงส์สัมฤทธิ์ที่เอียงล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง

“ข้า… ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ… ”

มหาวิหารธารามรกตก่อตั้งมานานหลายพันปี มิหนำซ้ำกระถางหงส์สัมฤทธิ์ยังมีประวัติความเป็นมายาวนานยิ่งกว่ามหาวิหารธารามรกตเสียอีก หลายพันปีมานี้มันได้ทดสอบดวงชะตาของสตรีจำนวนมาก ทว่าไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

ผู้ที่เข้าไปยังแท่นบูชาหงส์ในมหาวิหารธารามรกต ไม่อาจมีชีวิตรอดออกมาได้ หรือผลลัพธ์ก็คือไม่ผ่านการทดสอบดวงชะตา บางทีผลลัพธ์อาจเป็นดวงชะตาที่ไร้วาสนา จนต้องจบชีวิตลงในมหาวิหารธารามรกต

เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

“พวกสวะ! ” ฮูหยินปิงจีพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไม่ใช่ตระกูลยวี่ของเจ้าหรือที่คอยดูแลมหาวิหารธารามรกตมาตลอด? นึกไม่ถึงว่ากระทั่งเจ้าก็ยังไม่รู้? ”

ยวี่จีไม่ทราบจริงๆ เขายืนพูดด้วยร่างกายที่สั่นเทา “ข้าน้อยจะไปตรวจสอบ จะไปตรวจดูเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบ ยวี่จีก็รีบเดินไปทางมหาวิหารธารามรกต

ทว่าน่าเสียดาย ขณะที่ยวี่จีเดินมาถึงมหาวิหารธารามรกต ที่แห่งนั้นก็ได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

“กระถางหงส์สัมฤทธิ์… กระถางหงส์สัมฤทธิ์ของข้า… ” สีหน้าของยวี่จีพลันขาวซีด

กระถางหงส์สัมฤทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าของมหาวิหารธารามรกต ทั้งยังเป็นหัวใจสำคัญทั้งหมดของมหาวิหารธารามรกต เป็นเหตุผลที่ทำให้มหาวิหารธารามรกตตั้งอยู่ใต้ทะเลมาได้หลายพันปีโดยไม่พังทลาย เนื่องจากอาศัยพลังอำนาจจากกระถางหงส์สัมฤทธิ์

แม้กระถางหงส์สัมฤทธิ์จะเกิดความผิดปกติ ทว่าตราบใดที่กระถางยังอยู่ในมหาวิหารธารามรกต มหาวิหารธารามรกตก็จะปลอดภัย

ทว่าตอนนี้มหาวิหารธารามรกตได้พังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือกระถางหงส์สัมฤทธิ์ไม่ได้อยู่ในมหาวิหารธารามรกตแล้ว

ยวี่จีรีบร่ายเวทมนตร์ที่ฝ่ามือ สร้างภาพมายาเพื่อตรวจดูว่าตอนนี้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างไร ทว่าร่ายเวทมนตร์หลายครั้งก็ไม่สามารถเห็นพวกเขาทั้งสอง จึงอดกระทืบเท้าอย่างขุ่นเคืองไม่ได้

จากนั้นยวี่จีก็รวบรวมพลังวิเศษเพื่อตรวจหาตำแหน่งของกระถางหงส์สัมฤทธิ์

อย่างไรเสีย ตระกูลยวี่ของเขาก็ทำหน้าที่ปกป้องมหาวิหารธารามรกตมาหลายพันปี กระถางหงส์สัมฤทธิ์กับคนตระกูลยวี่จึงมีกระแสจิตส่งถึงกัน ทว่าเขากลับไม่สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งของกระถางหงส์สัมฤทธิ์แม้แต่น้อย

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?

ใบหน้าของยวี่จีขาวซีด แววตายิ่งทวีความมืดมน…

ในใต้หล้านี้ นอกจากคนของตระกูลยวี่แล้ว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถปลุกกระถางหงส์สัมฤทธิ์และยังสามารถปกปิดร่องรอยของมันได้ นั่นคือ… คนของเผ่าเม้ย

หรือว่าคนของเผ่าเม้ยปรากฏตัวขึ้นแล้ว?

ทันใดนั้นยวี่จีก็นึกถึงภาพซูจิ่นซีซึ่งกำราบกระบี่จื๋ออิ่งที่ข้างสระไร้รัก ทั้งสัตว์เทพกิเลนก็มีท่าทีนอบน้อมต่อนาง นั่นยิ่งทำให้ยวี่จีมั่นใจว่าสถานะของซูจิ่นซีต้องเกี่ยวข้องกับเผ่าเม้ยแน่นอน

เผ่าเม้ย…

หากซูจิ่นซีเป็นคนของเผ่าเม้ยจริง เช่นนั้นนางกับฝ่าบาทก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ยิ่งไม่อาจมีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน

แย่แล้ว!

เขาต้องรีบนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อฮูหยินปิงจี

จากทะเลตงไห่ไปยังแคว้นจงหนิง แม้ระหว่างทางยังมีแคว้นหนานหลี แต่ก็มีเส้นทางน้อยใหญ่มากมาย แม้ระยะทางจะไกลไปบ้าง แต่เดินทางได้สะดวกกว่า

ทว่าหลังออกมาจากมหาวิหารธารามรกต เยี่ยโยวเหยากลับเลือกพาซูจิ่นซีไปยังเส้นทางเล็กที่ยากลำบาก เพื่อหลบหลีกการตามล่าของฮูหยินปิงจี

ในรถม้า อาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยามิสู้ดีนัก หลังออกมาจากมหาวิหารธารามรกต เขาก็หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืน

ยาวิเศษหลงหุยช่วยฟื้นฟูร่างกายของเยี่ยโยวเหยาและบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้รักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายขาด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาอาการกำเริบของหมุดกร่อนรัก รอยดำที่ฝ่ามือของเขาไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป ทั้งยังกระจายไปเกือบทั่วร่าง

ซูจิ่นซีจับมือของเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาและจ้องกลางฝ่ามือของเขาอย่างเงียบงันเคร่งขรึมตลอดเส้นทาง นางไม่ดื่มไม่กินและไม่พูดออกมาสักคำ เหล่าองครักษ์เงายิ่งไม่กล้ารบกวน ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งของซูจิ่นซี รีบมุ่งหน้ากลับแคว้นจงหนิง

เยี่ยโยวเหยา… ท่านช่างใจดำเสียจริง!

นางเคยคาดเดาและทำการตรวจสอบฝ่ามือที่หนาและกว้างนี้หลายครั้ง คาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยโยวเหยาจะปกปิดได้อย่างมิดชิดเช่นนี้

เยี่ยโยวเหยา หากท่านไม่ต้องการให้ข้ารู้ ข้าก็จะไม่มีวันรับรู้ใช่หรือไม่?

ท่านอ๋องยังมีเรื่องราวมากน้อยเพียงใดที่ปกปิดข้ากันแน่?

ซูจิ่นซีรู้สึกขุ่นเคือง ทว่าเมื่อมองใบหน้าที่คุ้นเคยกลับโกรธเกลียดไม่ลง

เมื่อเข้าวันที่สาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งของเยี่ยโยวเหยาในเขตแดนแคว้นจงหนิง

ซูจิ่นซีเคยมาคฤหาสน์แห่งนี้ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เยี่ยโยวเหยาพานางไปเยือนหุบเขาร้อยบุปผาที่แคว้นหนานหลีครั้งแรก ทว่าซูจิ่นซีไม่มีอารมณ์นึกถึงเรื่องเหล่านั้น

หลังจากจัดแจงที่พักให้เยี่ยโยวเหยาเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีก็เดินออกมาด้านนอก องครักษ์เงาชุดดำผู้หนึ่งเหาะลงมาเบื้องหน้าซูจิ่นซีทันที

“หมอเทวดาหวาอยู่หรือไม่? ”

“ทูลพระชายา หมอเทวดาหวามาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เรียกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

ตั้งแต่ออกมาจากมหาวิหารธารามรกต เยี่ยโยวเหยาก็หมดสติจนถึงตอนนี้ ซูจิ่นซีจึงให้คนไปเชิญหมอเทวดาหวา เมื่อหมอเทวดาหวาได้รับรายงานจากองครักษ์เงาและทราบอาการโดยรวมของเยี่ยโยวเหยา ก็รีบไปพบซูจิ่นซีที่จุดนัดหมายทันที

แต่ก่อนที่หมอเทวดาหวาจะขึ้นไปบนหลังม้า เขาทอดสายตาออกไปทางทะเลตงไห่ พลางพูดออกมาคำหนึ่งว่า “พายุมาถึงแล้ว”

ตอนที่หมอเทวดาหวาตามองครักษ์เงาไปพบซูจิ่นซีนั้น ซูจิ่นซีกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในศาลาร่มเย็นด้านนอกห้องบรรทมของเยี่ยโยวเหยา

ซูจิ่นซีมีรูปร่างเล็กทว่าหนักแน่นดั่งหินผา ลมหนาวพัดผ่าน โบกสะบัดเสื้อผ้าบางเบาราวกับปีกจักจั่นของนางให้พลิ้วไหวในอากาศ ทว่าไม่อาจทำให้ร่างที่ยืนสงบนิ่งของนางสั่นไหวได้

หมอเทวดาหวามองไปยังร่างนั้น ความรู้สึกผิดพลันปรากฏในแววตา

ไม่รู้ว่าเขาคิดมากไปหรืออย่างไร หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าพระชายาและท่านอ๋องมีความคล้ายกัน เข้มแข็งมุ่งมั่นเหมือนกัน

ซูจิ่นซีรับรู้ได้ถึงลมหายใจของหมอเทวดาหวาที่ยืนอยู่ด้านหลัง นางค่อยๆ หันไปมองด้วยแววตาดุร้ายราวกับใบมีดทิ่มแทง หมอเทวดาหวาตกใจเล็กน้อย

“หมอเทวดาหวา หากอาการหมุดกร่อนรักไม่กำเริบจนทำให้ท่านอ๋องต้องมีอันตรายถึงชีวิต ท่านคิดจะร่วมมือกับท่านอ๋องปิดบังข้าจนถึงเมื่อใด? ”