ใบหน้าเยี่ยโยวเหยาไม่แสดงความหวั่นไหว ซูจิ่นซีลองเดินไปทางหนานกงลั่วอวิ๋นสองก้าว
“อย่าเข้ามา พวกเจ้าอย่าเข้ามา! ” ทันใดนั้นหนานกงลั่วอวิ๋นก็พูดขึ้น นางใช้แขนเสื้อกว้างปกปิดใบหน้าของตนเอง ไม่ให้ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาเห็น
“เยี่ยโยวเหยา นางคงไม่ใช่ภาพมายา” ซูจิ่นซีพูด
เยี่ยโยวเหยาไม่ตอบ
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในเมื่อด่านนี้มีหนานกงลั่วอวิ๋นปรากฏตัวขึ้น ก็แสดงว่าหากต้องการผ่านด่านนี้ พวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับหนานกงลั่วอวิ๋น ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่อาจเพิกเฉยได้
“นางคงได้รับบาดเจ็บ พวกเราไปดูกันเถิด! ” ซูจิ่นซีพูด
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีอย่างลึกซึ้ง “ระวังหน่อย นี่เป็นคุกนรก เจ้ามองเห็นหนอนโลหิตที่อยู่ด้านล่างหรือไม่? มันเป็นสัตว์ประหลาดในคุกนรก เจริญเติบโตโดยการดูดไอชั่วร้าย หากถูกมันทำร้ายเข้า ผลร้ายที่ตามมานั้นยากจะคาดเดา”
ซูจิ่นซีมองลงไปที่เท้า นางตกตะลึงถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที
ซูจิ่นซีเห็นว่าด้านหน้าของนางคือเหวที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำ บางครั้งสิ่งที่มีลักษณะสีดำยาวเหมือนงูก็ร่วงหล่นลงไปในเหวนั้น ลักษณะอันไร้รูปร่างของมันดูน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อครู่เท้าทั้งสองของซูจิ่นซีเหยียบลงตรงปากเหวลึกพอดี หากนางเดินหน้าต่อไปอีกเพียงก้าวเดียว นางอาจตกลงไปก็เป็นได้
ซูจิ่นซีมองไปยังหนานกงลั่วอวิ๋นที่อยู่ในกรงเหล็กใจกลางคุกนรกอีกครั้ง รอบตัวของนางเต็มไปด้วยหนอนโลหิตสีดำ เห็นได้ชัดว่านางถูกหนอนโลหิตกัดแทะร่างกาย
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น หากคิดช่วยหนานกงลั่วอวิ๋น นางคงไม่มีความสามารถนั้น
“เยี่ยโยวเหยา เรื่องการช่วยเหลือหนานกงลั่วอวิ๋น ท่านตัดสินใจเองเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชาเหมือนเดิม เขาจับมือพาซูจิ่นซีเดินย้อนกลับ
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง ขอร้องท่าน ช่วยลั่วอวิ๋น ช่วยลั่วอวิ๋นด้วย ลั่วอวิ๋นไม่อยากตายอยู่ที่นี่… ได้โปรด… ” ทันใดนั้น เสียงอ้อนวอนของหนานกงลั่วอวิ๋นก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาหยุดชะงักและหันกลับไป แม้หนานกงลั่วอวิ๋นจะเคลื่อนตัวมาเกาะที่กรง ทว่านางยังใช้แขนเสื้อกว้างปกปิดใบหน้า
“ยืนอยู่ที่นี่อย่าขยับ รอข้ากลับมา” เยี่ยโยวเหยาเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่ง ไม่ทันรอให้ซูจิ่นซีพูดอันใด เขาก็เหาะไปทางหนานกงลั่วอวิ๋น
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองร่างในชุดดำที่หลอมรวมกับบรรยากาศดำมืดของคุกนรกกำลังเหาะไปช่วยสตรีอีกนางหนึ่ง ภายในใจซูจิ่นซีกลับว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
ผ่านไปไม่นานนัก เยี่ยโยวเหยาก็โอบหนานกงลั่วอวิ๋นออกมาจากคุกนรก เขาวางหนานกงลั่วอวิ๋นลงบนพื้นโดยไม่หันไปมองนาง ก่อนจะพูดกับซูจิ่นซีว่า “นางถูกตัดเส้นเอ็นและถูกทำลายวรยุทธ์จนหมดสิ้น ทั้งยังถูกหนอนโลหิตในคุกนรกทำร้ายจนบาดเจ็บไม่น้อย”
ซูจิ่นซีก้มตัวลง พยายามจะตรวจชีพจรให้หนานกงลั่วอวิ๋น ทว่ามือของนางยังไม่ทันได้แตะข้อมือของหนานกงลั่วอวิ๋น ทันใดนั้นร่างของนางก็กระตุก ร่างกายเหมือนถูกไฟช็อตจนสะท้อนกลับมา
“คุณหนูหนานกง ไม่ต้องกลัว ข้าคือซูจิ่นซี ขอให้ข้าตรวจดูอาการบาดเจ็บของเจ้าได้หรือไม่? ”
หนานกงลั่วอวิ๋นสั่นเทาเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ยื่นแขนมาให้ซูจิ่นซี
เมื่อคนเจ็บปฏิเสธการรักษา ซูจิ่นซีก็ไม่อาจตรวจรักษาอาการป่วยของศัตรูหัวใจได้ นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะนำยาสมุนไพรจากระบบถอนพิษออกมามอบให้เยี่ยโยวเหยา
“นี่เป็นยาสมุนไพรที่ใช้รักษา ให้นางทานยานี้ก่อน รอจนออกจากมหาวิหารธารามรกตแล้ว ค่อยให้หมอตรวจดูอาการของนาง”
เยี่ยโยวเหยารับยาสมุนไพรจากมือของซูจิ่นซีและส่งให้หนานกงลั่วอวิ๋น หนานกงลั่วอวิ๋นไม่ได้ปฏิเสธเยี่ยโยวเหยาเหมือนที่ปฏิเสธซูจิ่นซี นางรับยาสมุนไพรไปและใช้แขนเสื้อปกปิดใบหน้าขณะทานยา
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังครืนและมีแสงกะพริบสีขาวดำ ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ ภาพเบื้องหน้าแตกต่างจากด่านทั้งสี่ก่อนหน้านี้ เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ ผนังโดยรอบสร้างขึ้นด้วยอิฐสีเขียว ช่างดูสูงตระหง่าน ลึกลับ เคร่งขรึม และสง่างาม ที่หัวมุมทั้งสี่ยังแกะสลักเป็นนกเหยี่ยวสี่ตัวกำลังกางปีกทะยาน ใต้ฝ่าเท้าของนกเหยี่ยวทั้งสี่คือเต่าเทพ
บนพื้นผิวของอิฐสีเขียวแกะสลักเป็นคาถาและภาพปริศนาลึกลับ
ทางด้านหน้าของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และหนานกงลั่วอวิ๋นเป็นขั้นบันไดหินทอดยาว บนขั้นบันไดหินใช้หินอ่อนสีขาวสร้างเป็นฐาน แกะสลักรูปมังกรและหงส์ ระหว่างรูปแกะสลักนั้นมีกระถางทองแดงสัมฤทธิ์ใบหนึ่งซึ่งถูกค้ำยันไว้ด้วยรูปแกะสลักทั้งสอง
“ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองที่สามารถผ่านด่านที่สี่และเข้าสู่ด่านสุดท้ายของมหาวิหารธารามรกตได้สำเร็จ ขณะเดียวกันต้องขอแสดงความยินดีกับแม่นางซูที่ประสบความสำเร็จ สามารถผ่านด่านที่สี่ซึ่งเป็นบททดสอบปัญญา ความกล้าหาญ ความรู้ และจิตใจ”
นี่เป็นบททดสอบด่านสุดท้ายของมหาวิหารธารามรกตหรือ?
ซูจิ่นซีรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“บททดสอบในด่านนี้คือสิ่งใด? ” ซูจิ่นซีถามเสียงดัง
ชายชราส่งเสียงตอบซูจิ่นซี “ทดสอบดวงชะตาของสตรีที่จะมาเป็นฮองเฮาแห่งต้าฉิน”
“ดวงชะตา? ”
ซูจิ่นซีมองไปรอบๆ ค้นหาสิ่งที่น่าจะเป็นบททดสอบ แต่ดวงชะตานี่… ไม่ใช่ฟ้าลิขิตหรือ?
ความต้องการของสวรรค์ เหตุใดต้องทดสอบ?
ซูจิ่นซีครุ่นคิดพลางมองไปยังกระถางสัมฤทธิ์บนขั้นบันไดหิน
หรือจะใช้กระถางสัมฤทธิ์เป็นบททดสอบ?
เมื่อซูจิ่นซีคิดมาถึงตรงนี้ เสียงของชายชราก็ดังตอบความคิดของนางทันที “แม่นางซูเดาไม่ผิด แท้จริงแล้วด่านนี้ใช้กระถางสัมฤทธิ์หงส์ที่อยู่เบื้องหน้าของแม่นางเป็นบททดสอบ เพียงดวงชะตาของแม่นางซูมีคุณสมบัติของมารดาแห่งแผ่นดินก็จะสามารถเป็นฮองเฮาแห่งต้าฉินได้ มิฉะนั้นแม้จะผ่านกลไกที่อยู่ด้านหน้า ทว่าดวงชะตาที่ไม่มีวาสนาเป็นฮองเฮา ก็ไม่อาจเป็นฮองเฮาแห่งต้าฉินได้”
สิ่งนี้ซูจิ่นซีเข้าใจดี ทว่ากระถางสัมฤทธิ์ที่อยู่ด้านหน้านั้น สามารถทดสอบดวงชะตาของคนได้จริงหรือ?
ซูจิ่นซีอดมองกระถางสัมฤทธิ์หงส์ไม่ได้ นางรู้สึกเพียงว่ากระถางสัมฤทธิ์ถูกประดิษฐานไว้ในตำแหน่งสูง ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และลึกลับ
แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเข้าสู่ด่านที่สี่ พวกเขาก็ถูกฮูหยินปิงจีกับยวี่จีจับตามองการเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างชัดเจน
ในตำหนักเสวียนปิง ยวี่จีใช้พลังเวทแสดงภาพที่เกิดขึ้นในมหาวิหารธารามรกตให้ฮูหยินปิงจีดู
ฮูหยินปิงจีมองพวกเขาทั้งสองช่วยหนานกงลั่วอวิ๋นออกมาจากกรงเหล็กในคุกนรก จนเข้าสู่ด่านที่ห้าได้อย่างราบรื่น ทั้งซูจิ่นซียังได้เข้ารับการทดสอบดวงชะตาจากกระถางสัมฤทธิ์หงส์อีกด้วย
“นึกไม่ถึงว่าซูจิ่นซี สตรีนางนี้จะสามารถผ่านด่านที่สี่ได้อย่างราบรื่น ข้ามองข้ามความสามารถของนางไปจริงๆ ” ฮูหยินปิงจีมองร่างกายบอบบางของซูจิ่นซีผ่านทางภาพมายาเวท ด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ใบหน้าของยวี่จีปรากฏรอยยิ้มเย็นชา “ฮูหยินโปรดวางใจ แม้ซูจิ่นซีจะผ่านบททดสอบด่านที่สี่ของมหาวิหารธารามรกตได้อย่างราบรื่น ทว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องประหลาดใจ บททดสอบจากกระถางสัมฤทธิ์หงส์ในด่านที่ห้านี้ ยังไม่แน่ว่านางจะผ่านไปได้นะขอรับ”
“ยวี่จี เจ้าแน่ใจหรือว่ากระถางสัมฤทธิ์หงส์จะทดสอบดวงชะตาของฮองเฮาแห่งต้าฉินได้? ”
“ของสิ่งนี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ข้าน้อยจะกล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไรขอรับ? กระถางสัมฤทธิ์หงส์ทดสอบดวงชะตาฮองเฮา ในหนึ่งร้อยปีมีเพียงผู้เดียว แม้ดวงชะตาของซูจิ่นซีจะดีเพียงใด ก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก นางไม่มีทางเป็นผู้ที่มีดวงชะตาฮองเฮาแน่นอน”
แม้ยวี่จีจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าในใจของฮูหยินปิงจียังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
นางเงยหน้ามองภาพมายาต่อ
ซูจิ่นซีใช้มือยกกระโปรงและค่อยๆ เดินขึ้นบันไดทีละก้าว มุ่งหน้าไปทางกระถางสัมฤทธิ์หงส์
ในเวลานี้ ไม่เพียงฮูหยินปิงจีกับยวี่จีที่เฝ้าติดตามภาพมายาเวทภายในมหาวิหารธารามรกตอย่างตื่นเต้นเท่านั้น แม้แต่แววตาของเยี่ยโยวเหยายังปรากฏความกังวลใจอยู่บ้าง ดวงตาดำขลับของเขาจ้องมองซูจิ่นซีตลอดเวลาโดยไม่ละสายตา
ไม่ต้องพูดถึงหนานกงลั่วอวิ๋นที่อยู่ด้านข้าง
กระถางสัมฤทธิ์หงส์ทดสอบผู้ที่มีวาสนาสัมพันธ์กับตำแหน่งฮองเฮาแห่งต้าฉิน ดวงชะตาของซูจิ่นซีจะเป็นเช่นไร?