เล่มที่ 13 เล่มที่ 13 ตอนที่ 365 นรกเก้าขุม

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสงสัย ความคิดไม่ได้อยู่กับสิ่งตรงหน้าแม้แต่น้อย

ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ชักกระบี่ยาวออกมาฟันสิ่งที่อยู่ใต้เท้าของซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีตกใจใบหน้าซีดขาว นางก้าวถอยหลังไปสองก้าวจึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งใดอยู่ใต้เท้านางเมื่อครู่นี้ หลังจากที่ก้อนสีดำนั้นถูกกระบี่ยาวของเยี่ยโยวเหยาฟาดฟันก็กลายเป็นไอดำกระจายไปรอบๆ

ซูจิ่นซีหันไปมองบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ในระยะที่สายตามองเห็น นางเห็นเพียงภาพสีขาวพร่ามัวคล้ายหมอกควัน นอกเหนือจากนั้น นางมองไม่เห็นสิ่งใดเลย

เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี “อยู่ใกล้ข้าไว้ ด่านที่สี่มีบางอย่างแปลกประหลาด” ซูจิ่นซีพยักหน้า เยี่ยโยวเหยามองกระบี่จื๋ออิ่งในมือของซูจิ่นซี

“เจ้าสามารถใช้กระบี่จื๋ออิ่งได้ แม้เจ้าจะไม่มีวรยุทธ์ แต่กระบี่จื๋ออิ่งเชื่อมสัมพันธ์กับเจ้า มันสามารถปกป้องเจ้าได้ในเวลาที่เหมาะสม”

ซูจิ่นซีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในมือของนางยังถือกระบี่จื๋ออิ่งที่แย่งมาจากยวี่จี ซูจิ่นซีชักกระบี่จื๋ออิ่งออกมาตามที่เยี่ยโยวเหยาแนะนำ

ซูจิ่นซีเพิ่งชักกระบี่จื๋ออิ่งมาถือไว้ในมือ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากทางขวามือของพวกเขาทั้งสอง

“จิ่นซี… ”

เสียงหนักแน่นดังก้องไปทั่ว มันคือเสียงของซูจ้ง

ทว่าซูจ้งตายไปแล้ว!

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น ด่านที่สองมีภาพมายา นางจึงวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดายว่านี่ไม่ใช่ความจริง

“จิ่นซี บิดาทำผิดต่อเจ้า บิดาปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า เจ้าต้องดูแลอนุปี้และอวี้เอ๋อร์ให้ดี ดูแลพวกเขาให้ดี… ”

ซูจ้งพูดพลางกางมือออกและเดินมาหาซูจิ่นซี ใบหน้าของเขาซีดขาวไร้สีเลือด

“ใช้กระบี่จื๋ออิ่งฟันเขาให้ตาย อย่าให้เขาเข้าใกล้เจ้า” เยี่ยโยวเหยาพูด

ซูจิ่นซีเหวี่ยงกระบี่จื๋ออิ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ภาพมายาของซูจ้งกลายเป็นเถ้าถ่านทันที

“ซูจิ่นซี หญิงแพศยา เจ้าใจร้ายยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าแม้แต่บิดาของตนเอง เจ้ายังสังหารได้ลงคอ”

ขณะที่ภาพมายาของซูจ้งกำลังจะจางหายไป เสียงของฮั่วซื่อก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา

ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับมาทันที เห็นฮั่วซื่อที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด กำลังแยกเขี้ยวยิงฟันเดินมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง

ฮั่วซื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ได้กลืนกุญแจจนตาย ทั้งนางยังเป็นคนใจร้าย ดังนั้นภาพมายาของนางในเวลานี้จึงยิ่งมีหน้าตาดุร้าย ซูจิ่นซีมองสภาพนั้นพลันรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ช่างน่าขยะแขยงจนนางแทบอาเจียนออกมา

“หญิงแพศยา เจ้ายังกล้าทำร้ายข้า ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้” ฮั่วซื่อกางมือออกดั่งกรงเล็บอินทรี ตั้งใจจะบีบคอซูจิ่นซี

เยี่ยโยวเหยาฟันกระบี่ด้วยสีหน้าเย็นชา ฮั่วซื่อจึงสลายหายไปในทันที

“ซูจิ่นซี… ข้าตายโดยไร้ความผิด! ”

“ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา แม้ข้าจะตายไปแล้ว ข้าก็ไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่นอน ไม่ปล่อยอย่างแน่นอน”

เป็นไทเฮากับท่านหญิงหวาหรงแห่งแคว้นจงหนิง

ท่านหญิงหวาหรงผมเผ้ารุงรัง ท่าทางสิ้นหวัง นางสวมชุดนกขมิ้นปักดิ้นทองคำสง่างามหรูหราซึ่งเต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน ใบหน้าสง่างามของไทเฮาปรากฏความสะพรึงกลัว ทั้งสองต่างมีใบหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด

ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาสบตากัน พร้อมกับวาดกระบี่ในมือออกไป ไทเฮาและท่านหญิงหวาหรงจึงสลายหายไปในทันที

พวกเขายังคงถือกระบี่ไว้ในมือ ทว่าเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมพร้อมป้องกัน รอดูว่าต่อจากนี้จะมีใครปรากฏขึ้นอีก

ทว่ายืนคุมเชิงอยู่นาน รอบด้านกลับเงียบสงัด

ด่านที่สี่ บททดสอบคืออันใด?

เหตุใดถึงเกิดภาพมายาของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว?

ขณะที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาคิดว่าด่านที่สี่จบลงเพียงเท่านี้ ทันใดนั้นภายในหมอกหนาทึบก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น

“อ้าก… ”

เสียงนี้ซูจิ่นซีไม่คุ้นเคย ทว่าแววตาของเยี่ยโยวเหยากลับปรากฏความเคร่งขรึม

ซูจิ่นซีรับรู้การเปลี่ยนแปลงของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างฉับไว

“คือผู้ใด? ” ซูจิ่นซีถาม

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีพลางจับมือนางแน่นโดยไม่พูดอันใด

“เป็นคนที่ท่านรู้จักใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามต่อ

“อ้าก… แม้… แม้หม่อมฉันต้องตาย หม่อมฉันก็ไม่ทำร้าย… ไม่ทำร้ายท่านอ๋อง ไม่ทำ! ” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับกำลังแบกรับบางสิ่งอย่างสุดกำลัง

แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยายิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

“เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถิด! บางทีสิ่งนี้อาจเป็นบททดสอบด่านที่สี่ของพวกเรา หากต้องการทำลายด่านนี้ พวกเราต้องเผชิญหน้ากับมัน แม้หัวใจจะไม่ต้องการ”

ตัวอย่างเช่น ด่านที่สอง ซูจิ่นซีต้องมองดูมารดาของตนถูกเปลวไฟเผาผลาญ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่านั่นไม่เป็นความจริง ทว่าใจของนางกลับเป็นอุปสรรคที่หนักหนาอย่างยิ่ง

เยี่ยโยวเหยาไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัว ซูจิ่นซีจึงจับมือเยี่ยโยวเหยา

“ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น หม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างท่านอ๋อง”

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้งอย่างที่นางไม่มีวันเข้าใจ

“ตกลง! ” เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปในหมอกหนาทึบ

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อซูจิ่นซีมองแววตาลึกซึ้งอันยากคาดเดาของเยี่ยโยวเหยา ภายในใจของนางกลับรู้สึกแปลกประหลาด

ทันใดนั้น นางก็ไม่ต้องการให้เยี่ยโยวเหยาไปตรวจสอบเสียงนั้นอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้แสดงความคิดที่อยู่ในใจออกมาทางสีหน้า และไม่ได้ขัดขวางเยี่ยโยวเหยา

แท้จริงแล้ว ค่ำคืนอันอ้างว้างในอดีต ที่ผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า ซูจิ่นซีจำช่วงเวลานี้ได้ ช่วงเวลาที่ในใจของนางเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ มันทำให้นางหวนนึกถึงสัมผัสที่หกของสตรี

เป็นความจริงที่บางครั้งสัมผัสที่หกของสตรีก็แม่นยำยิ่งนัก

ซูจิ่นซีถามตนเองนับครั้งไม่ถ้วน หากตอนนั้นนางขัดขวางเยี่ยโยวเหยาไว้ พวกเขาจะสิ้นสุดการทดสอบจากมหาวิหารธารามรกตเพียงด่านที่สี่เท่านั้น ไม่มีโอกาสก้าวเข้าสู้ด่านที่เหลือ และเรื่องราวทั้งหลายหลังจากนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?

โชคชะตาสามารถแก้ไขได้หรือไม่?

ซูจิ่นซีเฝ้าถามตนเองหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ

ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจับมือกัน หลังจากที่เดินมาครู่หนึ่ง หมอกหนาที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มเบาบางลง พวกเขามองเห็นภาพด้านหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพดำมืด

มันไม่ใช่ความมืดที่มองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือ ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นสีดำราวกับนรกเก้าขุม

ไม่มีท้องฟ้าและผืนดิน ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยโครงกระดูกอันน่ากลัว ทุกที่ทุกทางมีแต่มดนอนตาย ไม่ไกลจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยานักมีกรงเหล็กสีดำตั้งอยู่ และมีใครบางคนอยู่ด้านในกรงเหล็กนั้น

ซูจิ่นซีมองอย่างละเอียด พยายามมองให้ชัดว่าผู้ที่อยู่ในกรงเป็นใคร คนผู้นั้นราวกับเห็นซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา แววตาของเขาหยุดอยู่ที่เยี่ยโยวเหยาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว

แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตา ทว่าซูจิ่นซีสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

ในบรรดาผู้คนทั้งหมดบนโลกใบนี้ เมื่อกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว ซูจิ่นซีอาจลืมเลือนได้ ทว่าซูจิ่นซีไม่อาจลืมนาง

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของเยี่ยโยวเหยา นางคือหนานกงลั่วอวิ๋น

เป็นนางได้อย่างไร?

นางปรากฏตัวในด่านที่สี่ของมหาวิหารธารามรกตได้อย่างไร?

นางเป็นตัวจริงหรือเป็นภาพมายาเช่นเดียวกับซูจ้ง ฮั่วซื่อ ไทเฮา และท่านหญิงหวาหรงแห่งแคว้นจงหนิงก่อนหน้านี้?

ซูจิ่นซีอดหันไปมองเยี่ยโยวเหยาไม่ได้