ซูจิ่นซีแปลกใจเล็กน้อย นางรู้สึกเขินอายจนตัวสั่นเทา
เยี่ยโยวเหยาก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขาโอบเอวซูจิ่นซีแน่นขึ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็ปล่อยตัวซูจิ่นซี ซูจิ่นซีไม่กล้าเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางจับมือของซูจิ่นซีเดินไปยังภาพที่สี่บนผนังหิน
เมื่อเห็นภาพที่สี่บนผนังหิน แววตาของซูจิ่นซีพลันตกตะลึง
นางมีท่าทีเคร่งเครียด “เยี่ยโยวเหยา คราวนี้แย่แล้ว เวลาของพวกเราไม่พอแน่นอน”
“ยากมากหรือ? ”
ยิ่งกว่ายาก!
สำหรับซูจิ่นซีแล้ว นางอ่อนหัดในเรื่องการประพันธ์บทกวีอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะคนรุ่นก่อนประพันธ์ไว้ นางคงไม่สามารถผ่านด่านก่อนหน้าได้ ทว่าด่านที่อยู่ตรงหน้านี้…
ซูจิ่นซีอยากถามยิ่งนัก ผู้ใดเป็นผู้จัดเตรียมภาพบนผนังหินทั้งหมดในด่านที่สามของมหาวิหารธารามรกต?
ช่างเกินไปจริงๆ ขี้โกงชัดๆ !!!
ภาพที่สี่บนผนังหินไม่มีแนวคิดของภาพอันใดเลย หลายภาพมีเพียงตัวละครในนวนิยายชื่อดังของท่านโกวเล้ง [1]
แท้จริงแล้ว มันเกี่ยวกับนวนิยายกำลังภายในของท่านโกวเล้งทั้งสิบห้าเรื่อง ซูจิ่นซีไม่คุ้นเคยกับภาพที่วาดบนผนังหิน ทว่าสาเหตุที่นางจำได้เพราะนางรู้จักตัวละครในเรื่องมังกรหยก ภาค1 และมังกรหยก ภาค2 ตำนานศึกเทพอินทรี ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดสองเรื่อง
นี่มันเป็นด่านอะไรกันแน่?
ซูจิ่นซีแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“เช่นนั้น ให้ข้าจัดการดีหรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางมองซูจิ่นซี
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่อยากยอมรับว่านางทำไม่ได้ ทว่าเวลาไม่พอแล้วจริงๆ
“ท่านอ๋องมีคำตอบอยู่ในใจแล้วหรือเพคะ? ” ซูจิ่นซีถาม
“ให้ข้าช่วยเหลือ ต้องมีค่าตอบแทน” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางยกยิ้มแผ่วเบา
ซูจิ่นซีรู้สึกเคร่งเครียด “เยี่ยโยวเหยา ถึงเวลานี้แล้วท่านยังพูดล้อเล่นอีกหรือ! ”
เยี่ยโยวเหยาหรี่ตามอง “คิดให้ดีเล่าว่าจะตอบแทนข้าอย่างไร” พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ถือพู่กันเดินไปที่ภาพฝาผนัง
ซูจิ่นซีมองแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาอย่างจำยอม ทันใดนั้น นางก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้
“เยี่ยโยวเหยา”
เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา
ซูจิ่นซียกยิ้มแผ่วเบา “เช่นนั้นหม่อมฉันเขียนท่อนบน ท่านเขียนท่อนล่างดีหรือไม่? ”
แม้การเขียนบทกลอนท่อนบนจะไม่ยาก ทว่าการเขียนกลอนท่อนล่างให้สอดคล้องกับเนื้อหาในภาพและรูปแบบกลอนท่อนบน กลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
หากพูดอย่างจริงจังแล้ว เนื้อหาบนภาพนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ซูจิ่นซียังแปลกใจว่าเยี่ยโยวเหยาจะเพิ่มเติมกลอนส่วนล่างอย่างไร?
“ตกลง! ” คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ซูจิ่นซีหยิบพู่กันจากมือของเยี่ยโยวเหยา และเริ่มลงมือเขียนบทกลอนเทียบกับภาพบนผนังหิน
‘กลิ่นกรุ่นใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางหิมะโปรยปราย จันทราสุกสกาวสุดขอบฟ้า ใครหนอเต้นรำกับเทพแห่งรัก’
พูดตามความจริง ลายมือการเขียนพู่กันของซูจิ่นซีนั้นคดเคี้ยวไปมาราวกับไม่ตั้งใจเขียนเท่าไรนัก
เยี่ยโยวเหยามองตัวอักษรที่บิดเบี้ยวเหมือนแมลงวันตีกัน ก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด ตอนที่ซูจิ่นซียื่นพู่กันคืนเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาก็โน้มตัวลงพูดข้างหูซูจิ่นซีว่า “ชายาที่รัก ตัวอักษรนี้… ข้ามิอาจชมเชยได้จริงๆ ”
ซูจิ่นซีแก้มแดงขึ้นมาในทันที
ในยุคสมัยของนาง พู่กันแบบนี้เป็นเพียงของศิลปะตกทอดจากโบราณ เข้าใจหรือไม่?
ทุกคนเขาใช้ปากกากัน ใช้ปากกา!
ตอนที่ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น เยี่ยโยวเหยาก็เริ่มเขียนบทกลอนด้านข้างต่อจากบทกลอนของซูจิ่นซี
‘ถวิลหาคืนวันอันแสนสุข เมฆฝนที่เจียงหนาน ชำระกระบี่แห่งวิญญาณ ผู้ใดที่ขับขานกวีแห่งคู่รัก’
เมื่อเห็นกลอนท่อนล่างของเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าเขินอายของซูจิ่นซีก็ปรากฏอาการตกตะลึง เมื่อเยี่ยโยวเหยาหันมา ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เป็นไปได้อย่างไร?
บทกลอนท่อนบนของซูจิ่นซีมีความหมายเกี่ยวกับนิยายกำลังภายในเล่มที่สี่ของท่านโกวเล้ง และกลอนท่อนล่างของเยี่ยโยวเหยา ไม่เพียงสัมผัสตรงตามอักขระเท่านั้น มันยังมีความหมายเกี่ยวกับนิยายกำลังภายในเล่มที่สี่ของท่านโกวเล้งอีกด้วย
ผลงานนวนิยายกำลังภายในของท่านโกวเล้งเป็นสิ่งที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เยี่ยโยวเหยาเขียนออกมาได้อย่างไร?
เขารู้ได้อย่างไร?
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเข้าใจเนื้อหาของภาพบนฝาผนังหรือ? ”
ซูจิ่นซีถามจบก็รู้สึกได้เพียงเสียงหัวใจเต้นแรงของตนเอง นางตกประหม่าเป็นอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาหันศีรษะไปมองเนื้อหาบนภาพผนัง พลางส่ายศีรษะ “ค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าภาพบนผนังนั้นคือสิ่งใด”
“เช่นนั้น เหตุใดท่านจึงสามารถเขียนเนื้อหาบทกลอนส่วนล่างออกมาได้อย่างถูกต้องเล่า? ”
ซูจิ่นซีจับข้อมือของเยี่ยโยวเหยาด้วยความตื่นเต้น
เยี่ยโยวเหยาชำเลืองตามองแขนที่ถูกซูจิ่นซีจับ นิ้วมือของนางตึงเกร็งจนขาวซีด
“ชายาที่รักต้องการความเชื่อมั่นว่าเนื้อหาที่เจ้ากับข้าเขียนนั้นถูกต้องแน่นอนใช่หรือไม่? ”
“บอกหม่อมฉัน! ” ซูจิ่นซีพูดอย่างดึงดัน
“แม้ข้าไม่รู้ว่าเนื้อหาของภาพที่สี่บนผนังหินคือสิ่งใด ทว่าข้าเคยเห็นภาพนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง ด้านข้างภาพวาดเป็นบทกลอนนี้พอดี ข้ายังประหลาดใจว่าชายาที่รักเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นมาก่อนเช่นเดียวกันกับข้าใช่หรือไม่”
เคยเห็นจากหนังสือหรือ?
ความอยากรู้ของซูจิ่นซีค่อยๆ จางหายไป
โลกกว้างใหญ่ไพศาล สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกที่
เช่นเดียวกับภาพบนผนังหินและบทกวีทั้งสามก่อนหน้านี้ ซึ่งในมิติเวลาที่ซูจิ่นซีอยู่ มันคือเนื้อหาของประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ทว่ามันกลับปรากฏในมิติเวลาตรงกันข้าม
หากต้องการใช้เหตุผลบางอย่างมาอธิบายแล้ว ซูจิ่นซีคิดได้เพียงว่า ผู้ที่สร้างมหาวิหารธารามรกตอาจเป็นเหมือนนาง ที่มาจากมิติเวลาในอนาคต
ทว่ากลอนบทนี้…
แม้เนื้อหาของภาพบนผนังจะเป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนในมิติเวลานั้น ทว่าเนื้อหาของบทกลอนนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของนาง
ตอนที่นางเรียนมหาวิทยาลัย นางสนใจเข้าร่วมชมรมเฉพาะด้าน บทกลอนที่นางเขียนเป็นบทกลอนที่เพื่อนชาวเน็ตเผยแพร่ออกมาอย่างกะทันหัน ‘กลิ่นกรุ่นใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางหิมะโปรยปราย จันทราสุกสกาวสุดขอบฟ้า ใครหนอเต้นรำกับเทพแห่งรัก’ กลอนท่อนบนนี้ พวกเขาต้องคิดบทกลอนท่อนล่างมาต่อ
ตอนนั้น สมาชิกในชมรมหลายคนต่างช่วยกันต่อบทกลอนท่อนล่าง ซูจิ่นซีก็มีส่วนร่วมในการเขียนบทกลอนนั้นด้วยเช่นกัน มันคือบทกลอนที่เยี่ยโยวเหยาเขียนนั่นเอง ‘ถวิลหาคืนวันอันแสนสุข เมฆฝนที่เจียงหนาน ชำระกระบี่แห่งวิญญาณ ผู้ใดที่ขับขานกวีแห่งคู่รัก’
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเรื่องที่นางและเพื่อนชาวเน็ตตั้งใจทำ เหตุใดจึงปรากฏขึ้นในมิติเวลานี้ ทั้งเยี่ยโยวเหยายังรู้เรื่องอีกด้วย
ควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?
เป็นหนังสืออันใดกันแน่?
ซูจิ่นซีรู้สึกสับสนในใจชั่วขณะ
“ซูจิ่นซี เจ้า… เป็นอันใดไปหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีมีท่าทีไม่สู้ดีนัก
ซูจิ่นซีพยายามปกปิดความสับสนในใจด้วยรอยยิ้ม ทว่าทำอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก สุดท้ายจึงยกยิ้มมุมปากอย่างแข็งทื่อซึ่งดูน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก
“ไม่… ไม่มีอันใด หม่อมฉันเพียงรู้สึกประหลาดใจ ท่านอ๋องเห็นมาจากหนังสือเล่มใดเพคะ? ”
“หนังสือ ‘จดหมายเหตุมี่ซื่อ’ ฮองเฮามี่ซื่อแห่งจักรวรรดิต้าฉินเป็นผู้เขียนขึ้นมา”
ทั้งชื่อคนและชื่อหนังสือฟังดูแปลกประหลาดยิ่งนักสำหรับซูจิ่นซี
“ท่านอ๋องมีภาพของฮองเฮามี่และหนังสือที่พระนางเขียนหรือไม่? ”
“มี” เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า “หากเจ้าสนใจ หลังจากออกไปข้าจะให้คนนำไปให้เจ้า”
“เพคะ! ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีตอบตกลง ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็ปรากฏภาพขาวดำขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องให้ชายชราพูดเตือน ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาผ่านด่านที่สามแล้วและกำลังเข้าสู่ด่านที่สี่
ในใจของซูจิ่นซียิ่งเกิดความสงสัย
ด่านที่สามมีคำถามทั้งหมดสี่ข้อ ภาพทั้งสามบนผนังหินก่อนหน้านี้พูดถึงบทกวีซึ่งซูจิ่นซียังพอเข้าใจได้อยู่ ทว่าสิ่งที่นางไม่เข้าใจมากที่สุดคือภาพที่สี่บนผนังหิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบทกวีนวนิยายกำลังภายในของท่านโกวเล้ง และเป็นบทกวีที่พวกนางเขียนขึ้นมาด้วยตนเอง
คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
……
เชิงอรรถ
[1] โกวเล้ง มีชื่อจริงว่า โสงเอี๋ยวฮว่า (Xiong Yaohua) เกิดเมื่อพ.ศ.2481 ที่ฮ่องกงแต่เติบโตที่ไต้หวัน เป็นเจ้าของนามปากกา “โกวเล้ง” (Gu Long) เขามีฐานะยากจน ต้องทำงานหาเงินเรียนหนังสือเอง จนกระทั่งจบมหาวิทยาลัยตั้นเจียง Tamkang University (วิทยาลัยภาษาต่างประเทศแห่งไต้หวัน) โก้วเล้งเข้าทำงานแรกเป็นบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดยูซีสของคณะที่ปรึกษาทหารอเมริกันในกรุงไทเปของไต้หวันทำให้เขามีโอกาสเก็บเกี่ยวหาความรู้ด้านวรรณกรรมและนวนิยายตะวันตก ในปี 2503 เขาตีพิมพ์นิยายเรื่องแรกคือ “The Vault of Heaven and the Sword of Divinity” โดยใช้นามปากกาว่า “โกวเล้ง” ในช่วงแรก นิยายของเขายังเป็นแนวบู๊ล้างแค้นธรรมดา จึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก และนิยายส่วนใหญ่ไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย จากนั้นโกวเล้งก็พัฒนาฝีมือเรื่อยมา สร้างแนวการเขียนใหม่ เน้นความรู้สึก ความขัดแย้งทางจิตใจ และความคิดของตัวละคร แทรกคติเตือนใจ แฝงปรัชญาชีวิตแบบ “คุณธรรมน้ำมิตร” รวมทั้งการเดินเรื่องแบบบทภาพยนตร์ เขาใช้เทคนิคการเดินเรื่องแบบภาพยนตร์ จนกลายเป็นแนวทางของตัวเอง ผลงานของโกวเล้งโดดเด่นในการนำเสนอเรื่องราวธรรมดาในชีวิตมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ซ่อนปรัชญาคมคาย สะท้อนเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ผ่านภาษาที่สวยงาม อีกทั้งโกวเล้งยังมีความสามารถในการสร้างบุคลิกภาพของตัวละครได้ชัดเจน มีเลือดเนื้อและมีอารมณ์ความรู้สึกสมจริง