“ด่านทั้งสองก่อนหน้านี้คือหมากรุกและพิณ ด่านนี้คือภาพวาด ทั้งสามด่านคือทักษะทางบุ๋น” ซูจิ่นซีพูด
“ดังนั้นข้าไม่จำเป็นต้องลงมือ ข้าจะคอยปกป้องพระชายาของข้าเท่านั้น”
ไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะมีอารมณ์ขันกับซูจิ่นซีเช่นนี้ ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีสับสน
“ด่านที่สามมีเวลาจำกัด ทั้งสองท่านมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น” ทันใดนั้น เสียงของชายชราก็ดังขึ้น
“พวกเราจะผ่านด่านที่สามนี้อย่างไร? ” จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งเตือนหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในด่านที่สาม ซูจิ่นซีจึงตะโกนถามเสียงดัง
“ผนังหินทั้งสี่ด้านมีรูปภาพทั้งหมดสี่ภาพ ท่านทั้งสองเพียงนำความหมายในภาพมาแต่งเป็นบทกลอน หากกลอนคล้องจองกันตามภาพที่กำหนดไว้ ก็นับว่าผ่านด่านนี้ไปได้”
“เดินไปดูกันเถิด” เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี
ทั้งสองเดินมายังผนังหินที่หนึ่ง บนผนังหินมีรูปภาพหนึ่งรูป เป็นภาพทิวทัศน์ในช่วงกลางฤดูร้อน ในภาพมีสระน้ำแห่งหนึ่ง ริมสระน้ำเกิดเป็นร่มเงาของต้นไม้ที่พาดกระทบผิวน้ำ ใต้เงาของต้นไม้มีแมลงปอตัวหนึ่งกำลังบินล้อใบบัวที่อยู่เหนือสระ ภาพนั้นดูเรียบง่ายเป็นธรรมชาติและสะอาดตา
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยามองไปรอบๆ เห็นว่าด้านข้างมีโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีกระดาษและพู่กันวางอยู่ จึงเดินไปหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา
“ด่านนี้ยังต้องอาศัยพระชายาของข้าลงมือ ข้าช่วยเขียนอักษร”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ท่านอ๋องเขียน หม่อมฉันพูด”
“ตกลง! ”
ทิวทัศน์นี้คุ้นเคยเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าซูจิ่นซีแต่งบทกลอนไม่เป็น ดังนั้นเพื่อให้เกียรติศิลปะวรรณกรรมของตน นางจึงใช้บทกลอนสำเร็จรูป
“สายนทีนิ่งเงียบไร้สิ้นเสียง เงาพฤกษาเคียงคู่สู่ธารา ปัทมาเผยปลายอ่อนอรชร แมลงปอโบยบินล้อหมู่ภมร” ซูจิ่นซีพูดชัดถ้อยชัดคำ ไม่ช้าไม่เร็ว เยี่ยโยวเหยาตวัดพู่กันดั่งสายน้ำ ตัวอักษรทรงพลัง เขียนคำกลอนทั้งหมดที่ซูจิ่นซีเอ่ยออกมา
“ภาพกลอนบทแรกไม่ยากเท่าไรนัก ดูภาพที่สองกันเถิด” เยี่ยโยวเหยาพูด
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปดูภาพบนผนังหินแผ่นที่สองต่อ
ภาพบนผนังหินแผ่นที่สองเป็นภาพการทำสงคราม ซูจิ่นซีมองไม่ออกว่าเป็นของสำนักใด เมื่อไม่สามารถยืนยันที่มาของภาพได้ นางจึงใช้บทกลอนของนักกวีใต้เท้าฉวีหยวน [1] ในสมัยแคว้นฉู่《จิ่วเกอ·กว๋อซัง》
“มือถือดาบแลสวมชุดเกราะ รถศึกออกสู้รบแลพุ่งทะยาน
ศัตรูรายล้อมบดบังสุริยัน รบพุ่งกันสองฝ่ายด้วยดอกศร
รอยเท้าเหยียบย่ำตลอดทาง ม้าศึกซ้ายขวาล้มตายกันเรียงราย
ซากรถศึกแลม้าคลุกกองโคลน ตีกลองศึกบัญชาการรบพุ่ง
สวรรค์พิโรธแลวิญญาณโกรธแค้น มุ่งเข่นฆ่าสังหารให้แตกหัก
ไร้ทางรุกคืบแลไร้ทางล่าถอย เส้นทางสุดแสนไกลในทุ่งรบ
มือถือดาบพาดคันธนูฉิน พลีชีพวายไม่แปรเปลี่ยนความภักดี
ภักดีแลสัตย์ซื่อคือการศึก แข็งแกร่งยืนหยัดไร้ละอาย
แม้นชีวาวายในสมรภูมิ ขอเป็นวิญญาณนักสู้ผู้กล้าหาญ”
เมื่อมองไปยังภาพที่สาม ซูจิ่นซีก็อดเลิกคิ้วมองไปทางเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ นางเห็นแววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความสับสน
เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีเงียบไปพักใหญ่ ทั้งการแสดงออกยังผิดปกติ จึงถามขึ้นว่า “ภาพนี้ค่อนข้างยาก ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่? ”
ให้เยี่ยโยวเหยาช่วย?
ด่านที่สามต้องใช้คำตอบจากบทกวีเดิม หากตอบไม่ถูกต้องก็ถือว่าไม่ผ่านด่านนี้
“ช่างเถิด หม่อมฉันไม่ต้องการให้สมองอันล้ำค่าของท่านอ๋องต้องสูญเสียรอยหยัก หม่อมฉันจัดการได้เพคะ”
เส้นหยักในสมอง?
แม้เยี่ยโยวเหยาจะพอเข้าใจว่านั่นหมายถึงสมอง ทว่าเขายังคงขมวดคิ้วมุ่น
“ทิวทัศน์แคว้นทางเหนือ ดินแดนน้ำแข็งพันลี้ ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ทอดสายตากำแพงยาว มีเพียงความไพศาล แม่น้ำเหลืองทอดยาวพลันไร้เสียงเจื้อยแจ้ว
เทือกเขาทอดยาวดั่งนาคา ทุ่งกว้างดั่งคชสารคลาคล่ำ หมายแข่งกับโชคชะตาให้รู้แจ้ง
รอถึงวันที่สดใส ทิวทัศน์งดงาม ท้องฟ้าสีคราม สง่างามทรงเสน่ห์
แผ่นดินเปราะบางยิ่ง ทุ่มเทสุดกำลัง เพื่อประเทศชาติที่มั่นคง
จักรพรรดิฉิน จักรพรรดิฮั่น เก่งกาจการศึกด้อยศาสตร์ศิลป์ จักรพรรดิถังแลซ่ง จบสิ้นเพราะความมัวเมา
วีรบุรุษผู้หาญกล้า เจงกิสข่านผู้เกรียงไกร ศิลปะการต่อสู้เลื่องลือ
ทุกอย่างเป็นอดีต วีรบุรุษผู้หาญกล้า ต้องอยู่ที่ปัจจุบันแล”
ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือของเยี่ยโยวเหยาที่จับมือนางไว้มีอาการผิดปกติ เขาเพิ่มแรงบีบหนักหน่วง
“ท่านอ๋องเป็นอันใดไปเพคะ? ” ซูจิ่นซีหันหน้าไปถาม
“ซูจิ่นซี เหตุใดเจ้าชอบทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เรื่อย? เจ้ายังมีความสามารถพิเศษอันใดที่ข้าไม่รู้อีก? ”
ตั้งแต่ความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากันครั้งแรก ต่อมาซูจิ่นซีก็เผยให้เห็นวิชาพิษที่ร้ายกาจ นอกจากนั้น ทุกครั้งที่พบกับอุปสรรค นางก็มักแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
นางเป็นคนต่ำต้อย ทั้งสถานะของนาง ตำแหน่งของนาง ในยุคที่มีแต่ความโกลาหลซึ่งเคารพนบถือเพียงผู้ที่มีอำนาจและตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ สถานะของนางเรียกได้ว่าเป็นเพียงเศษหญ้า ผงธุลี หยดน้ำในมหาสมุทร
ทว่านางมีความกล้าหาญบางอย่าง นางไม่รู้จักคำว่าแพ้และมีพลังไร้ขีดจำกัด
ความกล้าหาญของนาง ความพิเศษของนาง และจิตใจของนาง เป็นอุปนิสัยและบุคลิกที่แตกต่างจากสตรีทั่วไป ซึ่งทุกอย่างที่นางเป็นสามารถดึงดูดเยี่ยโยวเหยาได้อย่างสิ้นเชิง
ทุกครั้ง เมื่อเยี่ยโยวเหยาเชื่อว่าซูจิ่นซีที่เขารู้จักมีความอ่อนโยนและบอบบาง ต้องการให้เขาคอยปกป้อง ทว่านางกลับแสดงพลังบางอย่างที่ทำให้ผู้อื่นตกตะลึง ทำให้เขาประหลาดใจ
มีคนผู้หนึ่ง นางชื่อซูจิ่นซี
นางมอบความสว่างไสวมากมายแก่เขา ผู้ที่โดดเดี่ยวเย็นชา นางค่อยๆ เดินเข้ามาในหัวใจอันดำมืดของเขาทีละก้าว
ทันใดนั้น… เยี่ยโยวเหยาก็ดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอด และใช้ริมฝีปากร้อนรุ่มประทับลงบนริมฝีปากของซูจิ่นซีโดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว
ซูจิ่นซีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ทว่าไม่ได้หลบเลี่ยงและไม่ได้ขัดขืน นางหลับตาลงอย่างเชื่องช้า จุมพิตตอบเยี่ยโยวเหยาอย่างดูดดื่ม
เยี่ยโยวเหยาจุมพิตด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้ง และระมัดระวัง
เกรงว่าเขาจะทำรุนแรงเกินไปจนทำให้ซูจิ่นซีบาดเจ็บ เกรงว่าหากเร่าร้อนกว่านี้ ซูจิ่นซีจะตกใจ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการจุมพิตอันดื่มด่ำในครั้งนี้
จุมพิตนี้ราวกับจะคงอยู่ตลอดไป เหมือนเขาลืมไปว่าที่นี่คือมหาวิหารธารามรกต พวกเขายังต้องผ่านด่านไปให้ได้
ซูจิ่นซีพูดเตือนเยี่ยโยวเหยาในขณะที่พอจะมีช่องว่าง “เยี่ยโยวเหยา ด่านนี้มีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้วเพคะ”
“พระชายาของข้าร้ายกาจยิ่งนัก เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปสำหรับเจ้าแล้วเหลือเฟือ เวลาที่เหลือข้าจัดการเอง ข้า… ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยพระชายาได้ตลอด อย่างน้อยก็ควรทำอะไรบ้าง”
……
เชิงอรรถ
[1] ใต้เท้าฉวีหยวน เป็นสมาชิกราชสกุลหมี่ (芈) แห่งรัฐฉู่ (楚国) และรับราชการในรัชสมัยพระเจ้าฉู่หวาย (楚懷王) ซึ่งครองราชย์ในช่วง 328–299 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเสนาบดีและกวีชาวจีนในยุคนครรัฐของจีนโบราณ มีชื่อเสียงเพราะความรักชาติและผลงานด้านร้อยกรอง โดยเฉพาะประชุมกวีนิพนธ์เรื่อง ฉู่ฉือ (楚辭) ซึ่งเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นผลงานของเขา และถือกันว่าเป็นหนึ่งในสองประชุมร้อยกรองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งจีนโบราณ อีกเรื่องคือ ชือจิง (詩經) นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าเขาเป็นต้นกำเนิดของเทศกาลเรือมังกร (龍船節)