เล่มที่ 13 เล่มที่ 13 ตอนที่ 362 สรรพสิ่งในโลก จิตใจคนดั่งมารร้าย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แม้เสียงนั้นจะฟังดูอบอุ่น ทว่าภายในใจของซูจิ่นซีกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หัวใจของนางเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ร่างกายสั่นเทาด้วยความตกใจ น้ำตาคลอเบ้า ซูจิ่นซีหันหลังกลับไป…

“แม่! ”

ใบหน้าของแม่ยังเหมือนกับตอนที่นางเสียชีวิตขณะที่ซูจิ่นซียังเด็ก นางยังคงงดงาม อบอุ่น ใจดี รูปร่างและใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นส่งผลต่อด้านที่อ่อนไหวที่สุดในส่วนที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดแม่ของตน “แม่ แม่ไปไหนมา? หลายปีมานี้แม่ไปไหนมา? ลูกคิดถึงแม่จริงๆ !”

“เด็กดี แม่ก็คิดถึงลูก” แม่โอบกอดซูจิ่นซีแน่น “จิ่นซี เด็กดีของแม่ ลูกสูงขึ้นมาก ทั้งยังงดงามอีกด้วย”

แม้รู้ว่าเป็นเพียงภาพฝัน เป็นเพียงภาพมายา ไม่ใช่ความจริง ทว่าการโอบกอดที่อบอุ่นของแม่ที่ซูจิ่นซีไม่ได้สัมผัสมานาน ทำให้นางรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องจริงและไม่อยากให้มันจางหายไป

นานอีกนิด นานอีกนิด ให้ความฝันเช่นนี้นานอีกหน่อย

ดูเหมือนแม่จะสัมผัสได้ถึงความคิดในใจของซูจิ่นซี “ลูกรัก นี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง ลูกเพียงหลับไปเท่านั้น สิ่งที่ลูกเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝัน”

ภายในใจของซูจิ่นซีพลันตกตะลึง

แม่ประคองใบหน้าของซูจิ่นซี พลางมองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ใช่แล้ว ลูกรักของแม่ อาณาจักรเทียนเหอ แคว้นจงหนิง โยวอ๋อง มหาวิหารธารามรกต ล้วนเป็นเพียงความฝัน”

เยี่ยโยวเหยาเป็นเพียงภาพในความฝันหรือ? เหตุการณ์ที่ประสบมาทั้งหมดก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝันหรือ?

เช่นนั้นนางกับเยี่ยโยวเหยา…

ซูจิ่นซีพลันรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ เจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก

“จิ่นซี! ” ทันใดนั้น ทางด้านหลังก็มีเสียงเรียกที่ทั้งเย็นยะเยือกและคุ้นเคยดังขึ้น

ซูจิ่นซีรีบหันหลังกลับไปทันที “เยี่ยโยวเหยา! ”

ภาพที่อยู่เบื้องหน้าแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหลังของนางเป็นจวนโยวอ๋องที่มีท้องฟ้าสดใส เยี่ยโยวเหยาสวมชุดสีขาวราวหิมะ ช่างหล่อเหลาสง่างาม เขากำลังดื่มชาอยู่หน้าเรือนอวิ๋นไค

“กลับมาจิ่นซี กลับมาอยู่ข้างกายข้า คนผู้นั้นไม่ใช่มารดาของเจ้า นั่นเป็นเพียงความฝัน”

ความฝัน?

ซูจิ่นซีหันหลังมามองแม่ของตนด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ จิ่นซี แม่คือความจริง โลกที่ลูกยืนอยู่ในเวลานี้เป็นความจริง โยวอ๋องเป็นเพียงภาพในความฝันของลูก”

“จิ่นซี เจ้าคือซูจิ่นซี ซูจิ่นซีคนเดิมได้ตายไปแล้ว เจ้าดูสิ พวกเขาต่างหากที่เป็นญาติสนิทของเจ้า เจ้าไม่ต้องการพวกเขาแล้วหรือ? ”

ซูจิ่นซีหันไปมองตามสายตาของเยี่ยโยวเหยา ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ ฮูหยินปี้ ซูอวี้ ลวี่หลี แม่นมฮวา และแม่นมเจิ้ง

“พี่จิ่นซี ท่านไม่ต้องการอวี้เอ๋อร์แล้วหรือ? พี่ใจร้าย หากพี่ไม่กลับมา ข้าจะวางยาพิษหลานเยวี่ยหลี ให้นางตายกลายเป็นผีดุร้ายตามหลอกหลอนท่าน”

“พระชายา ท่านกลับมาเถิด กลับมา! กลับมา! สกุลซูยังต้องการการสนับสนุนจากท่าน หอโอสถสกุลซูยังรอให้ท่านมาดำเนินการอยู่นะเพคะ”

ฮูหยินปี้ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แม้ปากจะพูดว่าขอร้องให้ซูจิ่นซีกลับไป แต่ซูจิ่นซีเห็นอย่างชัดเจนว่านางกำลังถือดาบสั้นซ่อนไว้ในแขนเสื้อกว้าง

“พระชายา ท่านกลับมา! ”

“พระชายา ท่านกลับมา! ”

“พระชายา ท่านกลับมา! ”

ลวี่หลี แม่นมฮวา และแม่นมเจิ้ง แม้แต่ละคนจะกางมือทั้งสองข้างออกกว้าง ร้องเรียกซูจิ่นซีให้กลับไป ทว่าใบหน้าของพวกเขากลับขึงขังดุร้าย เต็มไปด้วยไอสังหาร

“จิ่นซี เจ้าดูสิ พวกเขาเรียกให้เจ้ากลับไป ทว่าแต่ละคนกลับคิดจะสังหารเจ้า นั่นเป็นโลกที่โหดร้าย ชีวิตคนเป็นดั่งเครื่องสังเวย มีแม่เท่านั้นที่รักลูก แม่รักและเอ็นดูลูกจากใจจริง”

นางพูดพลางโอบซูจิ่นซีไว้ในอ้อมกอด

“ซูจิ่นซี นั่นเป็นความฝัน เป็นความฝัน! เจ้ากลับมาเถิด! รีบกลับมา! กลับมาอยู่ข้างกายข้า ซูจิ่นซี เจ้าได้ยินหรือไม่? ” เสียงเรียกเย็นชาของเยี่ยโยวเหยายังคงดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย

ด้านหนึ่งเป็นโลกที่น่ากลัวดั่งใจมาร ใบหน้าของแต่ละคนดูขุ่นเคือง น้ำเสียงเย็นชาดุดัน เต็มไปด้วยไอสังหาร ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นแม่ที่นางเฝ้าคิดถึงมากที่สุดกับอ้อมกอดอันอบอุ่น

ซูจิ่นซีควรเลือกอย่างไร?

“ไม่! เจ้าไม่ใช่แม่ของข้า! ไม่ใช่! ไม่ใช่! แม่ของข้าตายไปนานแล้ว นางตายไปแล้ว! นางตายไปนานแล้ว! ” ซูจิ่นซีผลักแม่ของนาง พลางส่ายศีรษะเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้า

ทันใดนั้น ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นดำมืดและเกิดเป็นภาพขาวดำสลับกัน มันดึงตัวแม่ของนางจากไป

“จิ่นซี ช่วยแม่ด้วย แม่ไม่อยากตาย แม่ไม่อยากตายจริงๆ ”

เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้กัน ซูจิ่นซีจำได้ว่าตอนที่นางยังเล็ก แม่ของนางประสบอุบัติเหตุและไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทัน ตอนที่แม่ของนางจากไป แม่นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยและยื่นมืออันไร้เรี่ยวแรงมาทางซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ด้านนอก

“จิ่นซี แม่ยังไม่อยากตาย แม่ยังไม่อยากตาย แม่ยังไม่อยากตายจริงๆ ลูกรักของแม่ แม่ไม่ต้องการจากลูกไป… ”

“แม่… ”

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ส่งเสียงตะโกนด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางมองไปทางภาพขาวดำที่กำลังพรากแม่ของนางจากไป

“เจ้าเด็กโง่! ”

ทันใดนั้น ร่างของจิ่วหรงก็ปรากฏขึ้นทางด้านหลัง เขาคว้าซูจิ่นซีที่กำลังก้าวเข้าไปในความมืด

“จิ่วหรง… ”

ซูจิ่นซีเรียกชื่อจิ่วหรงด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อหันหลังกลับไป ทางข้างหน้าที่นางกำลังจะก้าวไปกลับปรากฏเป็นภาพเปลวเพลิงลุกโชน ซูจิ่นซีรู้สึกหวาดกลัว สันหลังเย็นวาบ

อันตรายยิ่งนัก!

หากเมื่อครู่นางวิ่งตามแม่ของนางไปจริงๆ นางคงถูกเปลวไฟเผาผลาญจนกลายเป็นตอตะโก

“จิ่วหรง เหตุใดท่าน… ”

ซูจิ่นซีกำลังจะเอ่ยปากถามจิ่วหรงว่าเหตุใดถึงปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ ทว่าเมื่อหันหลังกลับไป จิ่วหรงก็หายไปเสียแล้ว

“จิ่นซี ซูจิ่นซี! ซูจิ่นซี! ” น้ำเสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาดังเข้ามาในหู

ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่เปียกชุ่มบนใบหน้า

ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ายังคงเป็นมหาวิหารธารามรกตเช่นเดิม

ที่แท้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากภาพมายาของเสียงพิณ

“เมื่อครู่เจ้าเห็นอันใดบ้าง? ” เยี่ยโยวเหยาถาม

ซูจิ่นซีหวนนึกถึงภาพมายาที่สับสนและโหดร้าย ทว่าไม่สามารถพูดให้เยี่ยโยวเหยาฟังอย่างละเอียดได้

“เห็นมารดาของหม่อมฉันเพคะ”

“มารดาเจ้าคือใคร? ” เยี่ยโยวเหยาถาม

“เมื่อครู่หม่อมฉันพูดอันใดไปบ้างเพคะ? ”

หรือเมื่อครู่ที่นางตกอยู่ในภาพมายาของเสียงพิณ นางได้พูดอันใดออกไป? ซูจิ่นซีกังวลว่านางจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

เยี่ยโยวเหยามีท่าทีประหลาดใจ “เจ้าร้องเรียกหาแต่แม่ อย่างอื่น… ก็ไม่มีอันใด”

“อืม” ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไร จึงทำได้เพียงตอบรับอย่างแผ่วเบา

เยี่ยโยวเหยาประคองซูจิ่นซีให้ลุกขึ้น

ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังสงสัยว่า เหตุใดในภาพมายาจึงเป็นจิ่วหรงที่ดึงนางกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

เสียงของชายชราคนเดิมดังขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองที่ผ่านด่านที่สองและเข้าสู่ด่านที่สามได้สำเร็จ”

ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยายังไม่ทันได้ถามอันใด ทันใดนั้นรอบด้านก็เกิดเสียง ‘ครืน ครืน ครืน’ เป็นเสียงการเคลื่อนที่ของหิน

ในเวลานี้ รอบด้านของซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาพลันปรากฏผนังหินผุดขึ้นมาทั้งสี่ด้าน

ภาพวาดอันวิจิตรงดงามจำนวนสี่ภาพปรากฏอยู่บนผนังหิน