เล่มที่ 12 เล่มที่ 13 ตอนที่ 361 กลยุทธ์คือจุดสำคัญ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“ไม่ต้องกลัว เจ้ามีข้าอยู่” เยี่ยโยวเหยากุมมือซูจิ่นซีแน่น

ซูจิ่นซียังคงแสดงออกอย่างจริงจัง นางพยักหน้ารับคำ

เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและยืนอยู่ในตำแหน่งของจอมพลแคว้นฉู่

เมื่อเข้าไปยืนตรงจุดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ได้ยินเสียงกลไกตำแหน่งม้าของฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหว

“ตามกฎแล้ว ความเร็วของพวกเราต้องไม่ช้าไปกว่าฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นควรเดินม้าก่อนเช่นกัน” ซูจิ่นซีพูด

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า

“เดินม้าไปตำแหน่งที่เจ็ด” ซูจิ่นซีพูดเสียงดัง

ทันใดนั้น ดาวม้าฝ่ายพวกเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่เจ็ด

จากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็เคลื่อนปืนใหญ่จากตำแหน่งที่แปดไปตำแหน่งที่เจ็ด

ซูจิ่นซีตะโกนให้เรือเดินจากตำแหน่งที่หนึ่งไปยังตำแหน่งที่ห้า

ฝ่ายตรงข้ามก็เคลื่อนที่ปืนใหญ่จากตำแหน่งที่เจ็ดไปตำแหน่งที่ห้า

ซูจิ่นซีเดินช้างออกมา

ฝ่ายตรงข้ามเดินเรือจากตำแหน่งที่หนึ่งไปตำแหน่งที่ห้า

ซูจิ่นซีเดินปืนใหญ่จากตำแหน่งที่สองไปตำแหน่งที่ห้า

……

แม้ไม่ใช่สนามรบจริง ทว่าความเป็นตายของทหารแต่ละตัวเกี่ยวโยงกัน ทั้งยังเกี่ยวพันกับโชคชะตาของพวกเขาอีกด้วย ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นี่คือสงครามที่ไร้เสียงดินปืน

ยิ่งสถานการณ์เกมรบในกระดานดำเนินไปนานเท่าใด บรรยากาศก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเท่านั้น ซูจิ่นซีไม่ได้เดินกระดานเพียงลำพัง หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาดูกลการเดินหมากและเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ที่ได้ฟังแล้ว เขาก็เข้าใจวิธีการเดิมเกมและการควบคุมตัวหมากเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเข้าช่วยซูจิ่นซีอีกแรง

ในช่วงเริ่มต้นการเดินหมาก พวกเขายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ แม้ตอนแรกความเร็วในการเดินหมากของซูจิ่นซีจะพอๆ กับฝ่ายตรงข้าม ทว่าเมื่อเกมผ่านไปครึ่งทาง เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ทางนี้ได้เสียปืนใหญ่หนึ่งตัว ม้าหนึ่งตัว เรือหนึ่งตัว และทหารสองตัว ทว่าหมากของฝ่ายตรงข้ามยังคงปกติดี เสียเรือไปเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น

ซูจิ่นซีรู้สึกประหม่าอย่างมาก ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ

ฝ่ายตรงข้ามเดินมาตำแหน่งที่สี่และตำแหน่งที่แปด ซูจิ่นซีเพิ่งจะเดินทหารข้ามแม่น้ำไปกินปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็กินปืนใหญ่ที่เหลือเป็นตัวสุดท้ายของนาง

ซูจิ่นซีใบหน้าเปลี่ยนสีทันที

เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเปรียบธรรมดา แต่เป็นการเดินหมากที่เสียเปรียบอย่างมาก

ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นยอดฝีมือการเดินหมาก หากอยู่ในสนามรบจริง ซูจิ่นซีคงเหลือเพียงขุนพลแพ้ศึกกับทหารบาดเจ็บเท่านั้น

ฝ่ายตรงข้ามส่งทหารข้ามแม่น้ำมาตัวหนึ่งแล้ว ซูจิ่นซีเริ่มเดินหมากสับสน ไม่รู้ว่าควรเดินตัวไหน เกรงว่าจะเป็นการเดินหมากที่เปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่นางเสียปืนใหญ่ให้ฝ่ายตรงข้ามเมื่อครู่ และอาจจะเสียทหารกับม้าไปอีก

“จิ่นซี ในสนามรบจริง เราต้องไม่พะวงกับการเสียทหารเล็ก แต่ต้องควบคุมให้ได้ทั้งเกมรบ” เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้น มือของเขายังคงจับมือซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาตื่นตระหนก เมื่อเห็นแววตาที่สงบนิ่งเยือกเย็นของเยี่ยโยวเหยา ความหวาดหวั่นและความประหม่าพลันสงบลงไม่น้อย

คำพูดประโยคนี้ของเยี่ยโยวเหยาทำให้ซูจิ่นซีหวนนึกถึงตอนที่อยู่กรมการแพทย์ของรัฐบาล นางเคยเล่นหมากรุกกับหัวหน้า

หัวหน้าของนางเป็นยอดฝีมือหมากรุกจีน ทั้งเขายังเป็นผู้ฝึกสอนการเดินหมากรุกแก่ซูจิ่นซี แม้ฝีมือการเดินหมากรุกของซูจิ่นซีจะไม่ยอดเยี่ยมเท่าหัวหน้า ทว่าการแข่งขันหมากรุกจีนภายในกรมการแพทย์ของรัฐบาล ซูจิ่นซีก็ได้อันดับหนึ่งถึงสองปีซ้อน

ซูจิ่นซีจำได้ว่าหัวหน้าของนางเคยพูดประโยคเช่นนี้

การเดินหมากรุกต้องดูหมากทั้งกระดานและต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ จะกังวลแต่ความสูญเสียของทหารไม่ได้ เราต้องควบคุมเกมทั้งกระดานถึงจะสามารถรุกฆาตฝ่ายตรงข้ามได้ อาศัยหมากเพียงตัวเดียวก็พอแล้ว ตัวอื่นเป็นเพียงตัวสนับสนุนเท่านั้น

ตอนนั้นที่พวกเขาทั้งสองเดินหมาก หัวหน้าของนางมักต่อให้นางครึ่งกระดาน เขายกม้าและเรือออกไปอย่างละหนึ่งตัว และไม่ขยับปืนใหญ่ เขาปล่อยให้นางกินหมากไม่เลือก ทว่านางยังไม่สามารถรุกฆาตฝ่ายตรงข้ามได้

ในเวลานั้น ซูจิ่นซียังไม่เข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งที่แฝงไว้ในประโยค ทั้งไม่รู้ว่า เหตุใดฝ่ายตรงข้ามที่มีหมากน้อยกว่านางมาก ทว่านางกลับไม่สามารถเอาชนะได้

ซูจิ่นซีหลับตาทำสมาธิ นึกถึงเหตุการณ์ในครั้งก่อนที่นางเดินหมากกับหัวหน้าหลายต่อหลายครั้ง กอปรกับคำพูดแนะนำของหัวหน้า

เวลานี้ สถานการณ์หมากของซูจิ่นซีเหมือนกับการเดินหมากในตอนนั้น นางเป็นฝ่ายตรงข้ามที่มีหมากมากกว่า ส่วนหัวหน้าของนางก็เป็นเหมือนนางที่เหลือหมากไม่ถึงครึ่งกระดาน

ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็เข้าใจหลักการเดินหมากอย่างถ่องแท้ ทั้งยังเข้าใจยุทธวิธีการใช้ทหารในสนามรบ

หากมีทหารน้อยกว่า ก็ใช่ว่าผู้ที่มีจำนวนทหารและม้ามากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ ทว่ามันเป็นกลยุทธ์ในการรบ ในฐานะจอมทัพ กลยุทธ์ในการรบนั้นสำคัญที่สุด

ซูจิ่นซีลืมตาขึ้น แววตาของนางกระจ่างใส นางมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“หรือจะให้ข้าลองเดินหมาก” เยี่ยโยวเหยาพูด

“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันคิดว่าสามารถเอาชนะได้ ให้หม่อมฉันลองดูอีกครั้งเถิด”

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า

ซูจิ่นซีเริ่มเดินหมากอีกครั้ง

ต่อจากนี้ จุดประสงค์ในการเดินหมากของนางไม่ใช่เพื่อสังหารฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียว ทว่าแฝงไว้ด้วยยุทธวิธีที่เต็มไปด้วยไอสังหาร

ผลสุดท้าย เรือ ปืนใหญ่ ม้า และทหารของฝ่ายตรงข้าม ก็ถูกซูจิ่นซีไล่ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไร้ประโยชน์และไม่มีผลต่อเกมหมาก โดยที่นางไม่ได้กำจัดตัวหมากใดๆ นางใช้ตัวหมากที่มีจำนวนน้อยกว่า ได้แก่ เรือหนึ่ง ม้าหนึ่ง และทหารที่เดินข้ามแม่น้ำไปแล้วสองตัว เพื่อรุกฆาตฝ่ายตรงข้าม

ทันใดนั้น แผนภูมิดาราศาสตร์ที่สร้างเป็นภาพกระดานหมากและค่ายกลก็สลายกลายเป็นทรายและลอยหายไป

“เยี่ยโยวเหยา พวกเราชนะแล้ว” ซูจิ่นซีพูดกับเยี่ยโยวเหยาด้วยความดีใจ

“อืม” เยี่ยโยวเหยาตอบรับแผ่วเบาอย่างคาดไม่ถึง

เยี่ยโยวเหยารู้สึกประหลาดใจกับรูปแบบการเดินหมากของซูจิ่นซีเมื่อครู่นี้

แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าความตระหนักรู้ในเกมหมากรุกของซูจิ่นซีในวันนี้ ไม่เพียงทำให้ฝีมือการเดินหมากรุกของนางก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นเท่านั้น ทว่ามันยังเกี่ยวโยงถึงอนาคต เมื่อจักรวรรดิต้าฉินทำสงครามพิชิตใต้หล้าโดยใช้กลยุทธ์ทหารน้อยพิชิตศัตรู นอกจากนั้นยังทำให้ซูจิ่นซีได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจอีกด้วย

ทันใดนั้น ภาพเบื้องหน้าทั้งหมดก็สลายหายไปกลายเป็นความมืด เมื่อมีแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง เสียงของชายชราก็ดังขึ้น

“ยินดีกับพวกท่านทั้งสองที่ผ่านด่านแรกได้อย่างราบรื่นและก้าวมาสู่ด่านที่สองได้สำเร็จ”

“ด่านที่สองคือบททดสอบอันใด? ” ซูจิ่นซีตะโกนถาม

“มหาวิหารธารามรกตมีไว้เพื่อทดสอบฮองเฮาแห่งแคว้นต้าฉินในอดีต ด่านต่างๆ ที่แต่ละท่านได้รับเมื่อก้าวเข้ามาในมหาวิหารธารามรกตนั้นมีความแตกต่างกันตามพรสวรรค์และความเฉลียวฉลาด ทว่าโดยภาพรวมแล้ว บททดสอบทั้งหมดมีไว้เพื่อคัดเลือกฮองเฮาผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งอุปนิสัย จิตใจ ความเฉลียวฉลาด และคุณธรรม”

“พวกเราจะผ่านด่านที่สองได้อย่างไร? ” ซูจิ่นซีถามอีกครั้ง

ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับ ทั้งเสียงของชายชราเมื่อครู่ก็หายไปอีกด้วย

อาคมกำไลปี่อั้นไม่สามารถใช้งานได้เมื่ออยู่ในมหาวิหารธารามรกต ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่สามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงได้

ทันใดนั้นก็มีเสียงพิณดังขึ้น

ในตอนแรกเสียงพิณทุ้มต่ำ นุ่มลึก และผ่อนคลาย ทำให้ซูจิ่นซีแทบจะผล็อยหลับไปหลายครั้ง

ขณะที่ซูจิ่นซีตกอยู่ในสภาวะง่วงงัน เสียงกลไกก็ดังขึ้น เสียงพิณเปลี่ยนเป็นจังหวะตื่นเต้นปลุกเร้า ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ได้สติกลับมา นางเบิกตากว้าง

ซูจิ่นซีตกใจกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

อาคารสูงระฟ้า ป้ายไฟร้านค้าตามท้องถนนในยามค่ำคืน เสียงแตรของรถยนต์ และเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของผู้คนที่ดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน ทรงผมที่ทันสมัย แว่นตาดำอันลึกลับ รองเท้าหนังกับเสื้อสูท กระโปรงสั้น รองเท้าส้นสูง…

นางกลับมาในยุคสมัยศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทั้งยังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาหายไปไหนแล้ว

“จิ่นซี! ”

น้ำเสียงอันอบอุ่นที่ไม่ได้ยินมานานแล้วดังขึ้นจากทางด้านหลัง