เมื่อได้ยินซูจิ่นซีตอบตกลงอย่างมั่นใจ ใบหน้าของฮูหยินปิงจีก็ปรากฏความขึงขัง
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีแน่น “ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า”
เยี่ยโยวเหยาต้องการไปกับซูจิ่นซีหรือ?
ยวี่จีรู้เจตนาของฮูหยินปิงจีดี หากฝ่าบาทไปด้วย จะทำให้เขาทำงานได้ยากขึ้น
“ฮูหยิน? …” ยวี่จีขยับเข้าไปใกล้ฮูหยินปิงจี พลางส่งสายตาสอบถาม
“ถึงเวลาก็หาโอกาสจัดการ” ฮูหยินปิงจีพูด
“ขอรับ! ” ยวี่จีตอบรับ
เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีมายังมหาวิหารธารามรกต
แท้จริงแล้วมหาวิหารธารามรกตอยู่ที่ทะเลตงไห่ สร้างอยู่ใต้บาดาลเหมือนกับตำหนักเสวียนปิง การปรากฏของมันมีมาก่อนตำหนักเสวียนปิงด้วยซ้ำ
ภายในมหาวิหารมีด่านและกลไกสร้างไว้มากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าด้านในมีบททดสอบที่หนักหนาเพียงไร แต่ละด่านเป็นเช่นไร มีเพียงฮองเฮาแห่งจักรวรรดิต้าฉินในอดีตซึ่งเคยเข้าไปเท่านั้นที่ล่วงรู้
มหาวิหารธารามรกตตั้งสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก มีทั้งหมดหกชั้น แต่ละชั้นมีรูปแบบเดียวกัน สร้างคล้ายกับวิหารทั่วไป ไม่แตกต่างกันมากนัก
เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซียืนอยู่หน้ามหาวิหารธารามรกต เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ใต้บาดาล ทั้งโดยรอบยังมีเขตอาคมปกคลุม นับว่าเป็นเขตแดนที่ถูกปิดผนึกด้วยอาคมอย่างหนาแน่น ทว่าเส้นผมและเสื้อผ้าของพวกเขากลับพลิ้วไหวเล็กน้อยโดยปราศจากกระแสลม บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทั้งสองสบตากัน พลางยื่นมือออกมาพร้อมกันเหมือนเข้าใจโดยปริยาย ก่อนจะเดินจับมือก้าวขึ้นบันไดของมหาวิหาร
ขณะที่ทั้งสองผลักประตูมหาวิหาร แผ่นประตูเสียดสีกับพื้นจนเกิดเสียงครืด เนื่องจากไม่มีผู้ใดใช้งานมานานนับปี
จากนั้นลมเย็นก็พัดวูบออกมาจากด้านใน เยี่ยโยวเหยาเบี่ยงศีรษะหลบและใช้มืออีกข้างปิดบังดวงตาของซูจิ่นซี
รอจนลมเย็นพัดผ่านไปแล้วจึงลดมือลง
สิ่งที่น่าแปลกคือด้านนอกยังพอมีแสงสว่าง ทว่าด้านในกลับมืดสนิท
ซูจิ่นซีเปิดความถี่ของอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด ทว่านางไม่ได้ยินเสียงอันใดแม้แต่น้อย และไม่ได้กลิ่นผิดปกติอันใด
ในเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมบททดสอบ จึงไม่มีทางให้ย้อนกลับ
ทั้งสองจับมือกันเดินหน้าต่อไป
ท่ามกลางความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเท้ากระทบพื้นหินอย่างชัดเจน ทั้งเสียงหัวใจเต้น แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ทว่ายิ่งเสียงนั้นชัดเจนมากเท่าไร พวกเขากลับยิ่งรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีทองเจิดจ้าปรากฏขึ้น จากนั้นรอบตัวพวกเขาก็ปรากฏเส้นใยโครงข่ายสีแดงจำนวนมาก บนเส้นโครงข่ายนั้นยังมีดวงดาวสว่างไสวมากมาย พวกเขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง
รอจนทุกอย่างสงบนิ่ง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าดูคล้ายกับระบบสุริยจักรวาลในวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน
นี่คือด่านแรกเมื่อพวกเขาเข้ามาด้านในมหาวิหารธารามรกต แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเสียงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกำลังทดสอบอันใด
“มีใครอยู่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีตะโกนเสียงดัง
“…”
“มีใครอยู่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีตะโกนถามอีกครั้ง ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
“ที่แห่งนี้คงไม่มีใครอยู่” เยี่ยโยวเหยาพูด
ซูจิ่นซีสังเกตสถานที่โดยรอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ตรงนี้คงเป็นค่ายกลหยินหยางห้าธาตุ” เยี่ยโยวเหยาพูด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ส่ายศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่ใช่เพคะ สิ่งนี้ไม่ใช่ค่ายกล ทว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด มันมีธาตุทั้งห้าคือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ทั้งยังมีดาวเหนือเป๋ยโต่วและระบบทางช้างเผือก เช่นนี้เหมือนกับภาพระบบสุริยจักรวาลเพคะ ทว่าไม่เหมือนเสียทีเดียว ท่านอ๋องลองดูเส้นโครงข่ายสีแดงเหล่านั้น มันคล้ายกับแผนที่ยุทธศาสตร์ฉู่ฮั่น [1] และภาพหมากรุก”
ยิ่งซูจิ่นซีพูด สีหน้าและแววตาของเยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งสับสน “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ”
ระบบสุริยจักรวาล แผนที่ยุทธศาสตร์ฉู่ฮั่น และภาพหมากรุก คำพูดเหล่านี้ เยี่ยโยวเหยาไม่เคยได้ยินมาก่อน
ซูจิ่นซีเพิ่งนึกขึ้นได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านางล้วนเป็นความรู้ในยุคสมัยสามพันปีข้างหน้า
“ท่านอ๋องพอจะทราบเกี่ยวกับดาวเหนือเป๋ยโต่วและทางช้างเผือกหรือไม่? ” ซูจิ่นซีถาม
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
“ระบบสุริยจักรวาลคล้ายกับสิ่งที่พวกท่านเรียกว่าดาราศาสตร์ ส่วนหมากรุกเป็นหมากชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย ราชา จอมพล ช้าง ม้า เรือ ปืนใหญ่ แม่ทัพ และทหาร คล้ายกับหมากล้อม ทว่าวิธีเล่นแตกต่างกัน สิ่งที่หม่อมฉันเห็นคือสิ่งเหล่านี้ ท่านอ๋องเห็นอันใดบ้างเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ทว่ายังอธิบายให้ซูจิ่นซีฟังเพิ่มเติม “ดาราศาสตร์ ประกอบด้วยดาราศาสตร์หยินหยางห้าธาตุ ทว่าข้าไม่ชำนาญเรื่องเหล่านี้นัก เจ้าได้ยินเสียงผิดปกติอันใดอีกหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าใกล้มหาวิหารธารามรกตก็ไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอันใด และไม่ได้กลิ่นผิดปกติอันใดเช่นกันเพคะ อาคมกำไลปี่อั้นคงใช้งานไม่ได้ในสถานที่แห่งนี้”
เยี่ยโยวเหยาตรวจสอบบริเวณโดยรอบด้วยท่าทีจริงจังและเย็นชา เพื่อหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเชื่อใจหม่อมฉันหรือไม่? ” ซูจิ่นซีถาม
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีอย่างสงสัย
“มหาวิหารธารามรกตเป็นด่านทดสอบสำหรับฮองเฮาแห่งจักรวรรดิต้าฉินในอดีตใช่หรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย
ซูจิ่นซีไม่แปลกใจและไม่สงสัยในจุดนี้
เพราะในประวัติศาสตร์จีน แคว้นเว่ยเหนือในยุคราชวงศ์เหนือใต้ มีกรณีตัวอย่างของการกำหนดตำแหน่งในวังหลังโดยพิจารณาว่าสตรีสามารถหล่อมนุษย์ทองคำออกมาได้หรือไม่
“ตามที่หม่อมฉันเข้าใจ ท่านอ๋องกับหม่อมฉันจะเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในเมื่อมันเป็นการทดสอบสำหรับฮองเฮาแห่งจักรวรรดิต้าฉินในอดีต เช่นนั้นควรอาศัยสิ่งที่สตรีเห็นเป็นสำคัญ เชื่อหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันมั่นใจว่าจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้เพคะ”
เยี่ยโยวเหยาเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของซูจิ่นซี ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกชื่นชม
“ตรงนี้น่าจะเป็นกระดานหมากเจินหลงที่ผสมผสานจากแผนภูมิดาราศาสตร์หรือหมากกลเทพเดินดารา รูปแบบการวางหมากมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
“หมากกลนี้ใช่หมากรุกที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่หรือไม่? ”
“ใช่เพคะ! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า “ท่านอ๋องดูตรงนั้น ดาวดวงนั้นคือราชา ดวงนั้นคือจอมทัพ ดวงนั้นคือเรือ ดวงนั้นคือปืนใหญ่… ”
ซูจิ่นซีอธิบายกฎการเล่นหมากรุกให้เยี่ยโยวเหยาฟังหนึ่งรอบ
“แม่น้ำที่พวกเราเห็นคือทางช้างเผือกในแผนภูมิดาราศาสตร์ ทว่าในกระดานหมากรุกคือแผนที่ยุทธศาสตร์ฉู่ฮั่น ดังนั้นตำแหน่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือค่ายทหารแคว้นฉู่เพคะ”
เมื่อพูดถึงค่ายทหารแคว้นฉู่ ใบหน้าของซูจิ่นซีพลันปรากฏท่าทีขึงขัง
“ทำไม? มีอันใดผิดปกติหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาจับความผิดปกติของซูจิ่นซีได้อย่างว่องไว จึงถามขึ้น
“เยี่ยโยวเหยา สงครามระหว่างแคว้นฉู่และแคว้นฮั่นมีอยู่จริง… ผลสุดท้าย… หม่อมฉันเกรงว่า… ”
“ผลสุดท้ายแคว้นฮั่นปราบแคว้นฉู่ได้ใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า แววตาแสดงความกังวล “แคว้นฉู่พ่ายแพ้ แคว้นฮั่นปราบใต้หล้า นี่คือบัญชาสวรรค์ หม่อมฉันกับท่านอ๋อง… ”
เพียงเริ่มต้น นางกับท่านอ๋องก็ยืนผิดตำแหน่งแล้ว เช่นนั้นทหารแคว้นฉู่ยังสามารถชนะทหารแคว้นฮั่นได้หรือ?
หากชนะไม่ได้ ก็แสดงว่าไม่สามารถผ่านด่านแรกของมหาวิหารธารามรกตได้ หากผ่านด่านแรกไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงด่านที่เหลือ เช่นนี้ก็แสดงว่านางกับเยี่ยโยวเหยาไร้วาสนาต่อกันใช่หรือไม่?
ชะตากรรมของนางกับเยี่ยโยวเหยาจะเป็นอย่างไร?
แม้ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีจะพูดย้ำให้เยี่ยโยวเหยาเชื่อใจนาง ทั้งนางยังให้กำลังตนเองตลอดเพื่อให้ผ่านด่านนี้ไปได้ ทว่าขณะที่นางอธิบายรูปแบบกระดานหมากให้เยี่ยโยวเหยาเข้าใจ นางก็เริ่มเห็นค่ายทหารของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน ทั้งยังเห็นสถานการณ์ของพวกเขาในเวลานี้ ซูจิ่นซีอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้
ในประวัติศาสตร์ เซี่ยงอวี่แห่งแคว้นฉู่พ่ายแพ้ให้กับหลิวปังแห่งแคว้นฮั่น เช่นนั้นชะตาชีวิตในกระดานหมากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?
……
เชิงอรรถ
[1] แผนที่ยุทธศาสตร์ฉู่ฮั่น หรือ สงครามฉู่-ฮั่น (206–202 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นยุคสมัยระหว่างราชวงศ์ฉู่กับราชวงศ์ฮั่นที่ยังไร้ซึ่งกษัตริย์ เกิดขึ้นเมื่อราชวงศ์ฉินล่มสลายในปีที่ 206 ก่อนคริสตกาล เซี่ยงอวี่ ขุนศึกฉู่จึงนำจักรวรรดิฉินไปรวมกับอาณาจักรทั้งสิบแปด ต่อมาอาณาจักรเหล่านี้แย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน รัฐฉู่ตะวันตกกับรัฐฮั่นซึ่งมีกำลังมากได้เข่นเคี่ยวกัน รัฐฉู่ตะวันตกมีเซี่ยงอวี่เป็นผู้นำ รัฐฮั่นมีหลิวปังเป็นผู้นำ ในช่วงนั้นรัฐที่เหลือรบรากันเองบ้าง ทำสงครามกับฉู่ตะวันตกหรือฮั่นบ้าง จนปีที่ 202 ก่อนคริสตกาล รัฐฮั่นมีชัยเหนือรัฐอื่นทั้งหมด จึงรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งอีกครั้งโดยมีราชวงศ์ฮั่นปกครอง และมีหลิวปังเป็นปฐมกษัตริย์