“ดูเหมือนโยวเหยาจะโปรดปรานเจ้าเสียจริง มาถึงตอนนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าเขายังปิดบังเรื่องหมุดกร่อนรักกับเจ้าอีก”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจความหมายของฮูหยินปิงจี
ทุกคนต่างพูดว่าเยี่ยโยวเหยาโปรดปรานนาง ทว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ มีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจชัดเจน
เขาปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชา ไม่แยแส ทั้งยังดุดัน แม้หลายครั้งที่เขาพูดว่าต้องการอยู่เคียงข้างนางตลอดชีวิต ทว่ากระทั่งคำว่ารักคำเดียว เขากลับให้นางไม่ได้
ในสังคมศักดินา ผู้ที่มีอำนาจและสถานะสูงส่งอย่างท่านอ๋อง มักรายล้อมไปด้วยหญิงงามนับพันเป็นเรื่องปกติ เขาจะมีความรักมอบให้สตรีธรรมดาอย่างนางเท่าไรกัน?
ทัศนคติในการใช้ชีวิตและการมองโลกระหว่างพวกเขานั้นช่างตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แม้ซูจิ่นซีจะมีความรักต่อเยี่ยโยวเหยา ทว่ายังไม่ถึงขั้นหลงใหลในหน้าตาอันสง่างามจนลืมประเด็นเหล่านี้
“ในเมื่อเจ้ายังไม่ทราบ เช่นนั้นข้าบอกเจ้าก็ได้ หมุดกร่อนรักคือ… ”
“อ้าก… ”
ฮูหยินปิงจีกำลังจะพูด ทว่าเมี่ยวเซิ่งและเมี่ยวอินที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางกลับร้องเสียงดัง เสียงนั้นได้ขัดจังหวะคำพูดของฮูหยินปิงจี
ทุกคนต่างมองไปยังจุดที่เกิดเสียงนั้น พบว่าองครักษ์เงาสองนายเป็นผู้ลงมือ
ทันใดนั้น ร่างในชุดสีดำเย็นชาราวกับค่ำคืนมืดมิดก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อสายตาทุกคน
เยี่ยโยวเหยา!!!
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ซูจิ่นซีส่งเสียงเรียกแผ่วเบา ดวงตางดงามทอประกายความตื่นเต้นดีใจ
“นาย… นายน้อย! ”
นอกจากฮูหยินปิงจีแล้ว ทุกคนในตำหนักเสวียนปิงรวมทั้งยวี่จีต่างตกตะลึงจนก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว
ตอนที่ซูจิ่นซีถือกระบี่จื๋ออิ่งเพื่อต่อต้านฮูหยินปิงจีและคนอื่นๆ นางกระทำอย่างกล้าหาญและแน่วแน่ ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาปรากฏตัวขึ้น พลังทั้งร่างพลันสลายหายไปราวกับลมรั่ว นางซวนเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซูจิ่นซีเห็นเพียงเงาดำแวบเข้ามา ชั่วพริบตาเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้านางแล้ว ลำแสงจากอาคมกำไลปี่อั้นที่ปกคลุมร่างของนางพลันแยกออกจากกันอย่างง่ายดาย ราวกับมันไม่คิดต่อต้านเยี่ยโยวเหยา
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีรีบสังเกตร่างกายของเยี่ยโยวเหยาและคว้ามือของเขามาตรวจชีพจร
เยี่ยโยวเหยาไม่แสดงท่าทีอันใด เขาตรวจดูร่างกายซูจิ่นซีหนึ่งครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหรือบาดเจ็บภายใน จากนั้นจึงกวาดสายตาเย็นชาไปทางฮูหยินปิงจีและคนอื่นๆ
“มีเรื่องอันใดก็พูดคุยกับข้า หากใครกล้าแตะต้องนาง ฆ่าไม่ละเว้น”
ใบหน้าสง่างามของฮูหยินปิงจีแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที นางเลิกคิ้วพลางกล่าวว่า “โยวเหยา คำพูดของเจ้า รวมข้าด้วยหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยากวาดสายตามองฮูหยินปิงจีอย่างเย็นชา “ทุกคน”
“เจ้า… ” ฮูหยินปิงจีโกรธมาก “เจ้ากล้าดีอย่างไร ก่อนหน้านี้อาสอนเจ้าอย่างไร เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ? ”
“จิ่นซี พวกเราไปกันเถิด”
เยี่ยโยวเหยาไม่สนใจฮูหยินปิงจีแม้แต่น้อย ทำเพียงจับมือซูจิ่นซีพานางเดินออกไป
ในอดีต แม้เยี่ยโยวเหยาจะเย็นชา ทว่าเขาไม่เคยมองฮูหยินปิงจีด้วยสายตาเฉยเมยเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินปิงจีจะทนรับได้อย่างไร?
ทันใดนั้นฮูหยินปิงจีก็ยกมือขึ้น องครักษ์เงาสองนายของเยี่ยโยวเหยาพลันลอยขึ้นไปกลางอากาศ “พวกเจ้าดูแลนายน้อยเช่นนี้หรือ? ดูแลจนนายน้อยกลายเป็นเช่นนี้หรือ? ”
ฮูหยินปิงจีพูดพลางส่งพลังภายในไปที่มือและบีบอย่างรุนแรงราวกับบีบลูกแกะ นางบีบองครักษ์เงาฝีมือดีทั้งสองของเยี่ยโยวเหยาจนเสียชีวิต
ทันใดนั้น เหล่าองครักษ์เงาที่ติดตามเยี่ยโยวเหยามาพลันตกตะลึงเมื่อรับรู้ว่าตนตกอยู่ในอันตราย
แววตาเยี่ยโยวเหยาดุดัน ลมหายใจเต็มไปด้วยความเย็นชา “หากท่านอากล้าขัดขวาง ก็อย่าตำหนิว่าโยวเหยาอกตัญญู”
“อกตัญญู? ” ฮูหยินปิงจีขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นก็ยกยิ้มเย็นชา “เจ้าคิดอกตัญญูต่อท่านอาของเจ้าหรือ? เพื่อสตรีนางนี้หรือ? โยวเหยา เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเสด็จแม่และเสด็จพ่อของเจ้าสิ้นพระชนม์อย่างไร ลืมแล้วหรือว่าท่านอาเคยสั่งสอนเจ้าอย่างไร ลืมงานใหญ่ของบ้านเมือง ลืมความหวังของเหล่าทหารนับแสนนายแห่งจักรวรรดิต้าฉินที่ยอมสละเลือดเนื้อแล้วหรือ? ”
จักรวรรดิต้าฉิน?
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า ฮูหยินปิงจีพูดอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว หากซูจิ่นซียังเดาสถานะของเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ นางคงเป็นคนโง่เขลาจริงๆ กระมัง?
เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิต้าฉิน?
เยี่ยโยวเหยาราวกับรับรู้ถึงความประหลาดใจและความสงสัยในใจของซูจิ่นซี เขาหันมามองนางด้วยแววตาปลอบโยนพลางจับมือของนางให้แน่นขึ้น
จากนั้นก็หันไปพูดกับฮูหยินปิงจีด้วยสายตาเย็นชา “ซูจิ่นซีเป็นชายาข้า วันนี้ข้าต้องพานางไป หากผู้ใดกล้าขัดขวาง จะถูกลงโทษตามกฎบัญญัติของจักรวรรดิต้าฉิน”
ตามกฎบัญญัติของจักรวรรดิต้าฉิน?
ฮูหยินปิงจีร่างกายสั่นเทาด้วยความตกใจ
หากยึดตามกฎบัญญัติและกฎของวังหลวงแห่งจักรวรรดิต้าฉิน เยี่ยโยวเหยาเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นที่เคารพ และเป็นเจ้านาย แม้ฮูหยินปิงจีจะมีสถานะเป็นท่านอาของเยี่ยโยวเหยา ทว่าตั้งแต่โบราณมา เชื้อพระวงศ์ถือว่าไม่มีพระญาติ หากลำดับกันอย่างเคร่งครัด นางก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิต้าฉินเท่านั้น
เยี่ยโยวเหยาจับมือพาซูจิ่นซีเดินผ่านฮูหยินปิงจีไป ฮูหยินปิงจีหันมาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “โยวเหยา อาอบรมเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้ เพื่อสตรีนางหนึ่ง เจ้ากลับกล้ายกสถานะเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิต้าฉินขึ้นมาต่อหน้าอา ดี! ดี! ดี! ”
ฮูหยินปิงจีพูดคำว่า ‘ดี’ ติดต่อกันถึงสามครั้ง ก่อนจะคุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อเยี่ยโยวเหยาตามกฎบัญญัติของจักรวรรดิต้าฉิน “หม่อมฉัน… หม่อมฉันขอถวายพระพรฝ่าบาท”
เยี่ยโยวเหยาหยุดชะงักเพียงเล็กน้อย ทว่าไม่คิดหันหลังกลับ ทำเพียงเดินหน้าต่อไป
ทันใดนั้น ฮูหยินปิงจีที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นว่า “ทว่า ฝ่าบาท! ในเมื่อพระองค์ต้องการให้ซูจิ่นซีเป็นพระชายา ตามกฎเกณฑ์ของบรรพชนแห่งจักรวรรดิต้าฉิน หากนางสามารถผ่านด่านทดสอบของมหาวิหารธารามรกตได้ ชาวจักรวรรดิต้าฉินทุกคนย่อมเต็มใจเคารพนางในฐานะนายหญิง หากนางไม่สามารถผ่านด่านทดสอบของมหาวิหารธารามรกต นางจะโน้มน้าวจิตใจของผู้คนได้อย่างไร? นางจะทำให้ตระกูลหนานกงยอมรับทั้งกายและใจได้อย่างไร? ”
ให้ซูจิ่นซีผ่านด่านทดสอบของมหาวิหารธารามรกต?
ในเวลานั้นทุกคนต่างหันไปมองที่ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีถามเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีสงสัย
มหาวิหารธารามรกตคือที่แห่งใดกัน?
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซี เดิมทีเขาไม่คิดให้ซูจิ่นซีไปยังมหาวิหารธารามรกตจึงปฏิเสธฮูหยินปิงจีอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้อื่นคิดอย่างไร ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้ากระมัง? ”
ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางเยี่ยโยวเหยาที่พาซูจิ่นซีเดินออกจากตำหนักเสวียนปิง
เยี่ยโยวเหยาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ทว่าซูจิ่นซีสนใจ!
ตามความหมายของฮูหยินปิงจี มหาวิหารธารามรกตนี้ดูจะมีความสำคัญต่อนายหญิงของจักรวรรดิอย่างมาก มิหนำซ้ำยังเกี่ยวพันกับการเป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยาอีกด้วย มันคือความภักดีต่อผู้ที่มีสถานะและศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิต้าฉิน
เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ นางจะไม่สนใจได้อย่างไร?
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ดึงแขนเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยาบอกหม่อมฉันทีว่ามหาวิหารธารามรกตเป็นสถานที่เช่นไร? หม่อมฉัน… อยากลองดูสักครั้งเพคะ! ”
แววตาลึกซึ้งดำขลับอันไร้จุดสิ้นสุดของเยี่ยโยวเหยาจ้องมองดวงตางดงามของซูจิ่นซีครู่หนึ่ง “เจ้าอยากลองดูจริงๆ หรือ? ”
“เพคะ! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ