ภาคที่ 4 ตอนที่ 49 ทั้งครอบครัวสี่คนนั่งพร้อมหน้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ได้ยินว่านายหญิงอวี้มาแล้ว จูจั้นวางเท้าก็วิ่ง 

 

 

ส่วนคุณหนูจวินอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานข้ามต้มร้อนอีกหนึ่งถ้วย คนทั้งร่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก และคาดว่าครอบครัวสามคนพบหน้ากันอีกครั้งน่าจะพูดจากันได้พอประมาณแล้ว ตอนนี้ถึงลุกขึ้นมายังที่พักของเฉิงกั๋วกง 

 

 

เพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของนายหญิงอวี้ 

 

 

“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าไปพบชิงเหอปั๋วไม่ได้คิดจะขายเจ้าไปเป็นลูกเขยของผู้อื่นเสียหน่อย” นางเอ่ย “อีกอย่าง ราคาตัวเจ้าสู้ค่าสินสอดที่ผู้อื่นต้องการไม่ได้หรอกนะ” 

 

 

“ดังนั้นสิบหมื่นตำลึงแม่ก็ขายข้าเสียแล้ว” เสียงไม่พอใจของจูจั้นดังขึ้นตาม “แม่คิดจะเอาเปรียบจริงๆ ผู้หญิงคนนั้นเอาเปรียบง่ายปานนั้นที่ไหน” 

 

 

“พูดจาอะไร? ไม่มีมารยาท!” เสียงของนายหญิงอวี้เอ็ดทันที พร้อมกันนั้นเสียงร้องเจ็บปวดของจูจั้นก็ดังขึ้น 

 

 

“มีอะไรเจ้าก็พูดจาดีๆ อย่าตีเด็ก” เสียงอ่อนโยนของเฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น 

 

 

“เขาโตเท่าไรแล้วยังเด็กอีก” นายหญิงอวี้เอ่ย “ท่านอย่าทำเขาเสียนิสัยอยู่เรื่อยสิ” 

 

 

นี่เป็นมารดาเข้มงวดบิดาใจดีอย่างแท้จริง 

 

 

คุณหนูจวินที่ยืนอยู่หน้าประตูสีหน้าพิกลอยู่บ้าง บรรดาทหารคนสนิทที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็สีหน้าคล้ายเห็นจนคุ้นชินแล้ว ยังพยักหน้าให้คุณหนูจวินอีกด้วย 

 

 

พวกเขาไม่ได้แจ้งแล้วก็ไม่ได้ขัดขวาง ปฏิบัติต่อคุณหนูจวินเฉกเช่นเดียวกับจูจั้นอย่างสิ้นเชิง 

 

 

เฉิงกั๋วกงไม่ปฏิบัติกับนางอย่างคนนอก นางกลับไม่อาจไม่ทำตัวเป็นคนนอกจริงๆ ได้ 

 

 

คุณหนูจวินหยุดยืนอยู่ตรงประตู หลังส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์แจ้งข้างในถึงเดินเข้าไป 

 

 

“คุณหนูจวิน” 

 

 

นายหญิงอวี้เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ไม่พูดสักประโยคก็ก้าวเข้าไปคำนับทันที 

 

 

คุณหนูจวินรีบยื่นมือประคอง 

 

 

มองเห็นนางใช้มือข้างเดียวประคองอย่างแสร้งประคอง ร่างกายแทบไม่ค้อมลง จูจั้นก็เลิกคิ้ว 

 

 

ท่วงท่านี่สูงส่งพอสมควรนะ เป็นความเกรงใจที่คนฐานะสูงกว่าปฏิบัติต่อคนฐานะต่ำกว่าอย่างสิ้นเชิง 

 

 

นางหญิงอวี้ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ นางจับมือคุณหนูจวิน มีถ้อยคำมากมายอยากเอื้อนเอ่ย ตัวอย่างเช่นถามว่าทำไมนางไม่บอกสักคำก็ตัดสินใจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้ ตัวอย่างเช่นตำหนินางว่าทำไมทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ไปได้ ตัวอย่างเช่นขอบคุณพันหมื่นหนที่นางช่วยท่านกั๋วกงไว้ ท้ายที่สุดรอยยิ้มของสตรีผู้นี้ก็กลายเป็นประโยคหนึ่ง 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านช่างเป็นแม่นางที่ดีคนหนึ่งจริงๆ” นางตบบนมือคุณหนูจวินเบาๆ เอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนแล้ว” 

 

 

“นายหญิงอวี้ไม่ต้องเกรงใจปานนี้” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย พลิกมือตบบนมือของนางเบาๆ “จ่ายเงินก็ได้” 

 

 

นายหญิงอวี้หัวเราะฮ่าฮ่า 

 

 

“โถ่ คุณหนูจวิน” นางถอนหายใจอีกหน “เรื่องที่ท่านทำเงินเท่าไรถึงตอบแทนได้เล่า” 

 

 

พูดจบก็มองจูจั้นทีหนึ่ง 

 

 

คุณหนูจวินมองตามสายตานางไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

จูจั้นที่กำลังเบะปากอยู่ด้านข้างขนลุกตั้งทันที 

 

 

“เฮ้ยเฮ้ย แม่ ท่านพูดเช่นนี้ไม่ได้” เขารีบเอ่ย “นี่ท่านกำลังจะหนีหนี้นะ” 

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขา 

 

 

“ข้าหนีหนี้อะไร” นางเอ่ย 

 

 

จูจั้นยิ้ม 

 

 

“แม่ ท่านยังไม่รู้จักคุณหนูจวิน คุณหนูจวินเป็นคนทำการค้าขายคนหนึ่ง ที่เมืองหลวงรู้จักแต่เงินไม่รู้จักน้ำใจ” เขาเอ่ย “ท่านชมนางเช่นนี้ ไม่พูดเรื่องจ่ายเงิน ไม่มีความจริงใจเกินไปแล้ว” 

 

 

“เหลว…” นายหญิงอวี้เอ่ยปาก 

 

 

คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก เฉิงกั๋วกงที่อยู่ด้านข้างก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่งพลางยื่นมือทำท่าเชิญ 

 

 

“คุณหนูจวินเชิญนั่งลงคุยกัน” เขาเอ่ยขัดคำพูดของนายหญิงอวี้ 

 

 

นายหญิงอวี้พลันเก็บคำพูดไป ยิ้มพลางจูงนางนั่งลง 

 

 

คุณหนูจวินทำตามคำบอก 

 

 

“เรื่องที่คุณหนูจวินทำไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” นายหญิงอวี้เอ่ยต่อ “น้ำใจส่วนน้ำใจ การค้าส่วนการค้า ที่ควรขอบคุณก็ขอบคุณ เงินที่ควรจ่ายก็ต้องให้” 

 

 

นางมองไปทางเฉิงกั๋วกง 

 

 

“อวี้หลาง จ่ายสิบหมื่นตำลึงก่อนเถอะ” 

 

 

เฉิงกั๋วกงอมยิ้มพยักหน้า 

 

 

“เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เขามองคุณหนูจวิน “วันนี้คุณหนูจวินจะได้รับ” 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร 

 

 

จูจั้นผ่อนลมหายใจแล้วก็อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง 

 

 

“แม่ แม่ ควรพูดถึงเงินที่ช่วยพ่อได้แล้ว” เขาเอ่ยเร่ง 

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง 

 

 

“ทำไมพูดมากแบบนี้” นางตำหนิเสียงเบา “ไปด้านข้างไป” 

 

 

จูจั้นหน้าแดงเล็กน้อยมองไปทางคุณหนูจวิน เห็นคุณหนูจวินยิ้มมองเขาอยู่จริงๆ 

 

 

“แม่” เขาร้องเรียกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ยังคงย้ายไปอยู่ข้างกายเฉิงกั๋วกงแล้ว 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มให้คุณหนูจวิน 

 

 

“เอ้อร์…” นางเอ่ย 

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านข้างกระแอมหนักๆ ทีหนึ่ง 

 

 

“กระแอมอะไร” นายหญิงอวี้เอ่ยทันที “คุณหนูจวินรู้ว่าเจ้าชื่อเอ้อร์เสี่ยวตั้งนานแล้ว ชื่อนี้มันทำไม? ขายหน้าคนตรงไหน? คนไม่ทำตัวขายหน้าก็ใช้ได้แล้ว คิดเล็กคิดน้อยเรื่องชื่ออะไร ยิ่งโตยิ่งจู้จี้” 

 

 

จูจั้นยกมือขึ้นกุมหน้าผากปิดหน้าไว้ 

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะพยักหน้าให้คุณหนูจวิน สีหน้าไม่ได้มีความจนปัญญาหรือกระวนกระวายสักนิด ตรงไปตรงมาและอ่อนโยน 

 

 

เหมือนพระบิดาจริงๆ มิน่าพระบิดาถึงคุยถูกคอกับเขา 

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพลางพยักหน้าให้เฉิงกั๋วกงเช่นกัน 

 

 

“คุณหนูจวิน ขายหน้าท่านแล้ว” นายหญิงอวี้หันหน้ามาเอ่ยกับคุณหนูจวิน “ท่านกับจั้นเอ๋อร์ก็รู้จักกัน เขาเป็นคนอย่างไรคิดว่าท่านก็คงรู้ อะไรก็ดีทั้งสิ้น แต่วาจามากนักก็ไม่รู้เลียนแบบใครมา” 

 

 

คงไม่ใช่เลียนแบบเฉิงกั๋วกงหรอก คุณหนูจวินเม้มปานยิ้มอีกหน 

 

 

“ก็ไม่แย่เท่าไร” นางว่า 

 

 

สิ้นเสียงก็เห็นจูจั้นถลึงตาใส่นาง 

 

 

อะไรเรียกไม่แย่เท่าไร? นางเป็นใครกันฮึ คุ้นเคยกับเขากนักหรือ? เสแสร้งทำคุ้นเคยมากเช่นนี้คิดจะทำอะไร? 

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มไม่ได้สนใจเขา 

 

 

“เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่พูดแล้ว ทุกคนคุ้นเคยกันเช่นนี้ก็ตรงไปตรงมาสักหน่อย” นายหญิงอวี้เอ่ย “ข้ารู้ว่าคุณหนูจวินไปอี้โจว เสียเงินทองมหาศาล ชีวิตคนที่ช่วยกลับมาต่อให้ภูเขาเงินภูเขาทองก็นับประมาณมิได้ แต่ในเมื่อมีเสียไปย่อมมีได้มา อย่างไรก็ต้องมีสักจำนวน เชิญคุณหนูจวินเรียกราคา” 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็สามสิบหมื่นตำลึงแล้วกัน” นางเอ่ย “ที่สำคัญคือคนฝั่งนี้ของข้ามีคนบาดเจ็บล้มตาย ต้องรับประกันว่าครอบครัวของพวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดู แม้ข้าก็เลี้ยงดูได้ แต่นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ” 

 

 

นายหญิงอวี้ตกลงอย่างไม่ลังเล ดังเช่นที่นางว่า เรื่องมาถึงวันนี้เงินเป็นเพียงจำนวนตัวหนึ่งเท่านั้น นางย่อมไม่อาจเพียงจ่ายเงินแล้วจบได้ 

 

 

“เงินเหล่านี้ข้าจะหามาให้คุณหนูจวินให้ได้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย 

 

 

จูจั้นอยู่ด้านข้างอดไม่อยู่เอ่ยปากอีกครั้ง 

 

 

“แม่เรื่องนี้พูดจบแล้ว พวกเราหารือเรื่องที่ครอบครัวเราจะเข้าเมืองหลวงต่อเถอะ” เขาเอ่ย 

 

 

ตรง “ครอบครัว” สองพยางค์นี้เน้นเสียงหนักแล้วมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง 

 

 

นาง คนนอกคนนี้ควรเข้าใจ ควรหลบเลี่ยงแล้วกระมัง? 

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าจริงจัง 

 

 

“ข้าไม่เห็นด้วยที่จะเข้าเมืองหลวงตอนนี้” นางเอ่ย “คลื่นลมถาโถม ยังไงอ้างว่ารักษาอาการบาดเจ็บหลบเลี่ยงสักหน่อยดีกว่า” 

 

 

จูจั้นมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง 

 

 

นางคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา 

 

 

“แม่ ข้ารู้สึกว่าก็เพราะคลื่นลมถาโถมถึงต้องกลับไป” เขาสีหน้าขึงขังเอ่ยขึ้น “ลาภเคราะห์แต่ไหนแต่ไรมาเคียงคู่กัน อาศัยคลื่นลมถาโถมพ่อก็เหยียบเมฆขึ้นไปอีกขั้นได้ มีปัญหาไม่แก้ไข อย่างไรมันก็ยังคงอยู่ หลบซ่อนรวมถึงหลีกเลี่ยงไม่มีประโยชน์ดันใด” 

 

 

เมื่อวานเขายังไม่ได้คิดแบบนี้เลยนี่ คืนเดียวก็เปลี่ยนใจแล้วหรือ? คุณหนูจวินยกถ้วยชามองเขาทีหนึ่ง บุรุษเปลี่ยนใจง่ายจริงๆ 

 

 

นายหญิงอวี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านพ่อลูกล้วนตัดสินใจจะไปเมืองหลวงรึ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

จูจั้นสีหน้าขึงขังพยักหน้า เฉิงกั๋วกงก็อมยิ้มพยักหน้า 

 

 

“ข้าอยากไปดูสักหน่อย” เขาเอ่ย 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มทีหนึ่ง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราทั้งครอบครัวสามคนก็ไปให้หมด” นางเอ่ย “ไม่มีอะไรต้องหารือแล้ว” 

 

 

จูจั้นเผยรอยยิ้มออกมา 

 

 

พลันมีเสียงสตรีกระแอมเบาๆ ดังขึ้น  

 

 

“ท่านหญิงพูดผิดแล้ว” 

 

 

ผิดแล้ว? 

 

 

สายตาของทั้งสามคนล้วนมองมาทางคุณหนูจวิน 

 

 

คุณหนูจวินยกถ้วยชาขึ้นมา 

 

 

“ไม่ใช่ทั้งครอบครัวสามคน” นางเอ่ยแล้วยิ้มน้อยๆ “เป็นทั้งครอบครัวสี่คนสิ” 

 

 

ทั้งครอบครัวสี่คน? 

 

 

นายหญิงอวี้กับเฉิงกั๋วกงงุนงงวูบหนึ่งจากนั้นก็เข้าใจ จูจั้นโกรธจัดทันที 

 

 

รู้อยู่แล้วเชียวว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าง่ายปานนี้ สามสิบหมื่นตำลึงทำให้นางพอใจได้ที่ไหน จ้องจะงาบเขาจริงๆ ด้วย! 

 

 

“เจ้า…” เขาถลึงตากำลังจะตวาด 

 

 

“เจ้าหุบปาก” 

 

 

เสียงสตรีเสียงหนึ่งเสียงบุรุษเสียงหนึ่ง เสียงเข้มเสียงหนึ่งเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่ง เอ่ยคำพูดเช่นเดียวกัน 

 

 

เสียงจูจั้นชะงักหยุดทันที หน้าแดงมองนายหญิงอวี้แล้วก็มองเฉิงกั๋วกง 

 

 

“พ่อ แม่…” เขาเรียกอย่างน้อยใจ 

 

 

“ฟังคุณหนูจวินพูด” เฉิงกั๋วกงพยักหน้าอ่อนโยนให้เขาพลางเอ่ย 

 

 

“เจ้าอย่าสอดปาก” นายหญิงอวี้ขมวดคิ้วถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วอมยิ้มมองไปทางคุณหนูจวิน “คุณหนูจวินท่านพูดเถอะ” 

 

 

ฟังนางพูด ผู้หญิงคนนี้กระทั่งโจรยังพูดจนกลายเป็นชาวบ้านคนดีทหารแข็งแกร่งได้ จูจั้นถลึงตา ฟังนางพูด ถ้าอย่างนั้นก็จบสิ้นแล้ว