ภาคที่ 4 ตอนที่ 50 คำขอร้องที่นอกจากเงิน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ 

 

 

“เฉิงกั๋วกงท่านกลับเมืองหลวง พวกเราติดตามไปด้วยจะดีกว่า” นางเอ่ย 

 

 

พวกเราย่อมหมายถึงนางกับกองทหารชิงซาน 

 

 

บนหน้านายหญิงอวี้รอยยิ้มยิ่งกว้าง 

 

 

“เด็กดี ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก” นางเอ่ย “แต่เจ้าวางใจ ท่านกั๋วกงไม่เหมือนข้า เดินทางย่อมต้องมีคนอารักขา” 

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงก็ถูกคนช่วยไว้ถึงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจริงๆ 

 

 

นายหญิงอวี้ยิ้มอีกครั้ง 

 

 

“เมืองหลวงไม่เหมือนสนามรบ” นางเอ่ยต่อ “คุณหนูจวิน ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่ดูแคลนท่าน หากเฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงหนหนึ่งยังต้องให้คนอารักขาถึงปลอดภัย ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรรีบเลิกเป็นกั๋วกงนี่เสียเถิด” 

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง 

 

 

“ขอบคุณภรรยาที่ชม” เขาเอ่ย 

 

 

“ท่านกั๋วกง ท่านคู่ควร” นายหญิงอวี้มองเขาแล้วยิ้มบอก 

 

 

คุณหนูจวินมองดูสามีภรรยาสองคนนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย 

 

 

“คุณหนูจวินขอบคุณท่านมาก เรื่องต่อจากนี้ข้าจัดการเองก็ได้แล้ว” เฉิงกั๋วกงเอ่ย 

 

 

จูจั้นอยู่ข้างหลังแค่นเสียงเหอะๆ สองที 

 

 

“ไม่ ข้าย่อมรู้ว่าท่านกั๋วกงไม่ต้องการ” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าจะบอกว่าข้าต้องการ ดังนั้นนอกจากเก็บเงินสามสิบหมื่นตำลึง ที่เหลือก็คือข้อเรียกร้องนี้แล้ว”  

 

 

แหนะแหนะแหนะ… จูจั้นที่อยู่หลังร่างเฉิงกั๋วกงอยากชี้นิ้วยิ่งนัก พ่อแม่ผู้ซื่อตรงของเขา เห็นแล้วหรือยัง เห็นแล้วหรือยัง นี่ถึงเป็นตัวตนที่แท้จริงของนาง 

 

 

อย่าคิดว่านางดีนักเลย ในใจเจ้าเล่ห์นักล่ะ ไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า 

 

 

“คุณหนูจวินเชิญเอ่ย” นายหญิงอวี้รีบกล่าว 

 

 

“ข้าอยากให้กองทหารชิงซานกลายเป็นทหารจริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขาไม่ใช่ข้ารับใช้ในตระกูลของข้า แล้วก็ไม่ใช่กองทหารอาสา แต่กลายเป็นทหารทางการ” 

 

 

กลายเป็นทหารทางการ? 

 

 

คนมากมายนัก โจรก็ดี กองทหารอาสาก็ดี ไม่ว่าใช้ชีวีตมีอำนาจรุ่งเรืองมากเท่าใด เวลามากมายก็ยังอยากมีฐานะที่ยืดอกได้ไม่อายสักอันอย่างยิ่ง 

 

 

อย่างไรทหารทางการฐานะนี้ตัวมันเองก็เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง 

 

 

จูจั้นที่อยู่ด้านหลังแค่นเสียงเฮอะเฮอะอีกสองที 

 

 

เอาอีกแล้ว! 

 

 

ตอนนั้นที่เมืองหลวงอาศัยการปลูกฝี นางไม่เพียงเหยียบสำนักแพทย์หลวงกับหมอหลวงพวกนั้นที่ไม่ถูกกับนางทีหนึ่ง ยังส่งหมอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเข้ากรมฮั่นหลินกระโดดทีหนึ่งกลายเป็นขุนนาง 

 

 

อย่าเห็นว่าเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กที่ไม่ใช่ส่วนกลางแต่งตั้ง แค่มีฐานะขุนนางก็ทำสิ่งต่างๆ ง่าย แม้นางออกจากเมืองหลวงไป โรงหมอจิ่วหลิงของนางที่เมืองหลวงก็ยังคงไม่มีใครสั่นคลอนได้ 

 

 

ตอนนี้จะยื่นมือมาหากองทัพอีกแล้ว! 

 

 

แต่ได้ยินข้อเรียกร้องนี่เขากลับไม่กังวลใจปานนั้น เรื่องอื่นพูดจาฉอเลาะหลอกพ่อแม่เขาก็ช่างเถิด เรื่องการปกครองทหาร พ่อย่อมไม่ใช่คนที่กล่อมได้ง่ายๆแล้ว 

 

 

จูจั้นยักคิ้วใส่คุณหนูจวิน 

 

 

“คุณหนูจวิน” เฉิงกั๋วกงไม่ได้ใคร่ครวญอะไร อ้าปากเอ่ยทันที “ข้ารับใช้ในตระกูลเข้าเป็นทหารดูไปแล้วเป็นเรื่องดียิ่ง ทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กองทหาร ทั้งยังควบคุมกองทหารได้ง่ายขึ้น แต่ข้อดีนี่แค่สำหรับตัวแม่ทัพเองเท่านั้น และข้อดีนี่ก็คงอยู่แค่ชั่วเวลาหนึ่ง ในความเป็นจริงทำเช่นนี้จะลดทอนกำลังรบของกองทหารทั้งหมด รากฐานของทหาร รากฐานของกองทัพ มองการณ์ไกลแล้ว ไม่มีข้อดีต่อแคว้น ถ้าอย่างนั้นกับแม่ทัพที่จริงก็ไม่มีข้อดีเช่นกัน” 

 

 

คุณหนูจวินแย้มยิ้ม 

 

 

“ท่านกั๋วกง ข้าไม่ได้ต้องการเอาข้ารับใช้ในตระกูลแสร้งเข้ากองทัพ” นางเอ่ย “ที่ข้าพูดคือจะให้พวกเขากลายเป็นทหารทางการที่แท้จริง เชื่อฟังเฉิงกั๋วกงท่านแม่ทัพคนนี้สั่งการ เช่นเดียวกับกองทหารทางการกองหนึ่งอย่างซุ่นอัน หย่งหนิงเป็นต้น” 

 

 

พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็จริงจังขึ้นอีกหลายส่วน 

 

 

“พูดไปแล้วท่านกั๋วกงอาจไม่เชื่อ พวกเขาเดิมทีก็เป็นทหาร ควรเป็นทหารทางการตั้งนานแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ก็ควรกลายเป็นทหารแล้ว เรื่องราวล่วงเลยจนถึงวันนี้ยังปล่อยให้พวกเขาได้ชื่อว่าเป็นข้ารับใช้ในตระกูลหรือกระทั่งโจร ที่จริงไม่ยุติธรรม” 

 

 

เฉิงกั๋วกงสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย 

 

 

คำพูดนี้กะทันหันเกินไปแล้วจริงๆ ไม่อธิบายแล้วก็ไม่เล่าอดีต คุณหนูจวินครุ่นคิดใคร่ครวญว่าจะพูดอย่างไร ยังไม่ทันเอ่ยปาก เฉิงกั๋วกงก็ยิ้มอีกครั้ง 

 

 

“นี่มีสิ่งใดให้ไม่เชื่อ ข้าก็เคยบอกคุณหนูจวินตั้งแต่แรกแล้วว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ดี” เขาเอ่ย “ทหารดีทั้งยังสร้างความชอบในการศึกโดดเด่นอีกเหล่านี้ หากข้ายังปฏิเสธไม่ต้อนรับ ถ้าอย่างนั้นก็เลอะเลือนจริงๆ แล้ว” 

 

 

นี่คือตกลงแล้วหรือ? 

 

 

ยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะ? 

 

 

จูจั้นตะลึง คุณหนูจวินก็ตะลึงนิดๆ เช่นกัน 

 

 

เขาเชื่อนางแล้วหรือ? 

 

 

“ขอบคุณท่านกั๋วกงยิ่งนัก” คุณหนูจวินลุกขึ้นยืนคำนับเอ่ย 

 

 

นายหญิงอวี้อมยิ้มพยักหน้า 

 

 

“คุณหนูจวินไม่ต้องเกรงใจ กลับกันท่านตรงไปตรงมาเสียจริง” นางเอ่ย “ทหารดีปานนี้ คนเท่าไรต้องการแต่หาไม่ได้ คุณหนูจวินกลับสละได้มอบออกไป” 

 

 

อาวุธดีมีแต่กุมอยู่ในมือของตนเองถึงเป็นอาวุธดี มอบอาวุธดีให้ผู้อื่น สำหรับตนเองแล้วดีอีกเท่าใดมีประโยชน์อันใดอีก 

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม 

 

 

“ท่านหญิง แบบนั้นไม่ยุติธรรมกับพวกเขา” นางกล่าว “พวกเขาเป็นทหารที่ดี ควรได้รับฐานะที่คู่ควรกับพวกเขา” 

 

 

ตอนนี้นางไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น ติดตามนาง พวกเขาจะได้แต่ถูกคิดว่าเป็นโจร เป็นข้ารับใช้ในตระกูล กระทั่งกองทหารอาสากองหนึ่งก็นับไม่ได้ 

 

 

“ข้าจะหารือเรื่องรับพวกเขาเข้าสังกัดทันที” เฉิงกั๋วกงเอ่ยพลางมองดูคุณหนูจวิน “คุณหนูจวินเชิญเอ่ยข้อเรียกร้องอื่นเถิด” 

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ 

 

 

“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ มีแค่เรื่องนี้” นางอมยิ้มเอ่ย 

 

 

“ข้อเรียกร้องนี้ไม่นับว่าเป็นข้อเรียกร้องของเจ้า” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “นี่คือฐานะที่คู่ควรกับพวกเขา เป็นสิ่งที่ตัวพวกเขาเองสมควรได้ ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจวิน” 

 

 

คุณหนูจวินอึ้งนิดหนึ่ง นายหญิงอวี้ด้านนี้ก็หัวเราะอีกครั้ง 

 

 

“ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่ผิด นี่ไม่นับ” นางเอ่ย “คุณหนูจวินท่านคิดอีกสักอัน” 

 

 

คุณหนูจวินมองพวกเขาแล้วคำนับอีกครั้ง 

 

 

“อย่าได้เกรงใจ” นายหญิงอวี้เอ่ยขึ้น “รีบคิดเร็ว ท่านยังอยากได้อะไรอีก?” 

 

 

ยังอยากได้อะไรอีก? 

 

 

อยากได้อะไรก็ให้สิ่งนั้นหรือ? 

 

 

จูจั้นขนลุกตั้ง 

 

 

“คิดดีๆ ล่ะ” เขารีบร้อนเอ่ยขึ้น มองคุณหนูจวินคล้ายจะเตือน “อย่าคิดเหลวไหลเชียว ที่ไม่ควรคิดก็อย่าคิด อย่าสิ้นเปลืองโอกาส” 

 

 

นายหญิงอวี้หันหลังกลับมาถลึงตา 

 

 

“ผู้ใหญ่คุยกันเจ้าสอดปากอะไร” นางเอ่ย 

 

 

“แม่” จูจั้นตะโกน “นางเพิ่งอายุสิบหกปี ข้ายี่สิบสามแล้วนะ” 

 

 

ใครเป็นผู้ใหญ่กัน! 

 

 

“ผู้อื่นอายุน้อย สิ่งที่ทำล้วนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่” นายหญิงอวี้เอ่ย “เทียบอายุทำอะไร” 

 

 

จูจั้นสีหน้าจนปัญญา 

 

 

“แม่ ข้าก็สังหารศัตรูปกป้องประชาชนอพยพด้วยนะ” เขาเอ่ย 

 

 

“เจ้าลูกผู้ชายคนหนึ่งนี่ไม่ใช่สมควรรึ แข่งอะไรกับแม่นางน้อย” นายหญิงอวี้เอ็ด 

 

 

ถ้าอย่างนั้นที่แท้ใครโตใครเด็กกัน 

 

 

“แม่ ข้าเป็นบุรุษคนหนึ่ง ท่านก็ไม่อาจรังแกข้าเช่นนี้ได้นะ” จูจั้นร้องน้อยใจ 

 

 

นายหญิงอวี้คิ้วตั้ง ตบพยักแขนกำลังจะลุกขึ้นยืน 

 

 

“เอาล่ะ อย่าทะเลาะกัน” เฉิงกั๋วกงอมยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยน 

 

 

คุณหนูจวินก็เม้มปากยิ้มด้วย 

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านหญิง ท่านชายพูดถูกต้อง ข้าชั่วขณะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าต้องการอะไร” นางยิ้มเอ่ย “นี่เป็นโอกาสดีครั้งหนึ่ง มีท่านกั๋วกงกับท่านหญิงวาจาดั่งทองพันชั่ง ข้าย่อมไม่อาจให้เสียเปล่า ต้องครุ่นคิดให้ดีๆ” 

 

 

นายหญิงอวี้มองนางแล้วยิ้มทันที 

 

 

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็รอเจ้าคิดดีแล้วค่อยบอก” นางว่า “ไม่รีบร้อน ค่อยๆ คิด อยากได้อะไรล้วนได้ทั้งนั้น” 

 

 

………………………………………. 

 

 

การกระทำของเฉิงกั๋วกงรวดเร็วยิ่งนักจริงๆ เพียงหนึ่งวันให้หลังก็จัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว 

 

 

กองทหารชิงซานเข้าสังกัดกองทหารอันซู่ที่เฉิงกั๋วกงปกติประจำอยู่ ในเวลาเดียวกันกองทหารซุ่นอันก็ดึงทหารส่วนหนึ่งเติมเข้าไปในกองทหารชิงซานด้วย รวบรวมได้แปดกองพัน ตั้งเป็นกองทหารของตนเอง 

 

 

เพราะครั้งนี้ลอบโจมตีอี้โจว กองทหารอันซู่เสียหายไปเกินครึ่ง เสริมกำลังทหารให้กองทัพนี้ก็สมควร นอกจากนี้ทุกคนล้วนรู้ว่ากองทหารชิงซานนี่เป็นข้ารับใช้ในตระกูลที่ภรรยาท่านชายพามา เฉิงกั๋วกงรับเข้าใต้บังคับบัญชาตนเองก็สมเหตุสมผล 

 

 

ส่วนกองทหารซุ่นอันครั้งนี้เข้าอี้โจวช่วยเหลือมีความดีความชอบมาก เฉิงกั๋วกงอนุญาตให้เหมาซุ่นไฉแห่งกองทหารซุ่นอันเข้าเมืองหลวงได้รับสรรเสริญความชอบเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย 

 

 

เหมาซุ่นไฉไม่มีความไม่พอใจที่ถูกแบ่งทหารไปสักนิดทันที 

 

 

ประการแรกเฉิงกั๋วกงมีอำนาจโยกย้ายทหารทั้งหมดในมณฑลเหอเป่ย ประการที่สองทหารซุ่นอันแปดพันนายนั่นเหมาซุ่นไฉรู้สึกว่าไม่อาจควบคุมได้แล้ว ไม่ว่าเครื่องแบบอาวุธยุทโธปกรณ์หรืออาหารการกิน ถูกเงินทองของภรรยาท่านชายคนนั้นเลี้ยงจนช่างเลือกแล้ว ใจคนออกห่าง กองทัพก็ยากนำ 

 

 

เฉิงกั๋วกงจะเอาไปก็เอาไปเถอะ ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้พระราชทานรางวัลความชอบครั้งใหญ่ การเติมกำลังทหารใหม่ย่อมไม่ต้องกังวล 

 

 

ส่วนนายทหารของกองทหารซุ่นอันที่ถูกดึงออกไปเข้าร่วมกองทหารชิงซานก็ไม่ได้ไม่พอใจ พวกเขาไม่เพียงคุ้นเคยสนิทสนมกับผู้คนของกองทหารชิงซานอยู่แล้ว เฉิงกั๋วกงยังจะพาพวกเขาเข้าเมืองหลวงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย 

 

 

เพราะมีความดีความชอบใหญ่หลวง ตอนแรกช่วยปกป้องประชาชนป้าโจว ต่อมาห้อม้าไปช่วยที่อี้โจว จัดการเช่นนี้ไม่มีใครตั้งข้อสงสัย ทุกคนล้วนยินดีปรีดา หนังสือขออนุมัติต่างๆ ก็จัดการตลอดทั้งคืนจนเรียบร้อย ม้าเร็วส่งไปกรมกลาโหมแล้ว 

 

 

“นี่จริงหรือ?” เซี่ยหย่งเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “พวกเรากองทหารชิงซานเข้าสังกัดได้แล้ว? กลายเป็นทหารประจำการที่ติ้งโจว?” 

 

 

“แน่นอน หนังสือส่งไปกรมกลาโหมแล้ว” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างปิติยินดี “ท่านเฉิงกั๋วเอ่ยปากแล้ว ไม่มีพลาดแน่นอน ไม่นานก็จะอนุมัติกลับา” 

 

 

“ง่ายปานนี้เชียว” หยางจิ่งเอ่ยขึ้น สีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง 

 

 

“ง่ายแน่นอน ความดีความชอบนี่ของพวกเราเป็นของจริง ใต้หล้าทุกคนล้วนมองเห็น” หลี่กั๋วรุ่ยเอ่ยขึ้น 

 

 

เพราะเหตุว่าความดีความชอบเป็นของจริงทุกคนล้วนมองเห็น ไม่เหมือนเรื่องที่พวกเขาทำก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ที่เขตชาวจิน ล้วนอยู่ในที่ลับหรือ? 

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งรู้สึกฮึกเหิมแต่ก็อารมณ์สับสนปนเป ชั่วขณะล้วนไม่เอ่ยวาจา 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยก็ไม่ทันสนใจ เขาเองก็รู้สึกฮึกเหิมเช่นกัน ครั้งนี้แม้ถูกเติมเข้ามาในกองทหารชิงซาน แต่ก็ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพกองซุ่มโจมตี นอกจากนี้ยังใช้ฐานะกองทหารชิงซานเข้าเมืองหลวงด้วย 

 

 

หากยังอยู่ในกองทหารซุ่นอัน เลื่อนตำแหน่งปูนบำเหน็จไม่มีปัญหา แต่เข้าเมืองหลวงคงผลัดไม่ถึงเขาแล้ว 

 

 

เฝ้าฝันถึงเกียรติยศยามพระราชทานรางวัลและเข้าเฝ้าที่กำลังจะมาถึง ผู้คนในเรือนล้วนดีใจอย่างยิ่ง 

 

 

รางวัลพระราชทานมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้เช่นนั้นที่ตรวจสอบเถียงกันไปมา ประการแรกความดีความชอบเป็นของจริง ประการที่สองเพราะฮ่องเต้รีบร้อนจะให้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวง 

 

 

ขอแค่เขาเข้าเมืองหลวงได้ หลอกให้เขาดีอกดีใจเข้าเมืองหลวงได้ ทุกสิ่งล้วนจัดการง่ายแล้ว 

 

 

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมเฉิงกั๋วกงทำเรื่องนี้เร็วปานนี้ ในเมื่อคลื่นลมกำลังถาโถม ไม่หยิบยืมกำลังไยไม่ใช่เสียเปล่า 

 

 

เฉิงกั๋วกงครองแดนเหนือมั่นคงมานานปีปานนี้ ย่อมไม่ใช่แค่อาศัยรบเก่งชำนาญศึกเพียงอย่างเดียว 

 

 

“เจ้าเล่ห์” 

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ที่ประตูเรือน ได้ยินเสียงดังขึ้นหลังร่างก็หยุดครุ่นคิดหันหน้ามา 

 

 

จูจั้นกอดอกเชิดคางมองนาง 

 

 

“ปลิ้นปล้อน” เขาเอ่ยอีกครั้ง 

 

 

คุณหนูจวินมุมปากยกโค้งใส่เขา 

 

 

“สามี พูดจากับข้าเกรงใจหน่อย” นางเอ่ยอย่างอ่อนโยนพลางเดินไปหาเขา 

 

 

จูจั้นถอยหลังหลายก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว ท่าทางระแวง 

 

 

“เฮ้ กลางวันแสกๆ ต่อหน้าธารกำนัล เจ้าระวังหน่อยสิ” เขาเอ็ดเสียงเบา 

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่เบื้องหน้าเขา 

 

 

“ข้าไม่ระวังแล้วอย่างไร? ท่านไปฟ้องพ่อแม่ท่านที่นั่นสิ” นางกะพริบตาเอ่ยจริงจัง 

 

 

จูจั้นก้มมองจากข้างบน มองดูสตรีที่สูงไม่ถึงหัวไหล่ของตนเองแล้วกัดฟันดังกรอดๆ 

 

 

“คนแซ่จวิน” เขาเอ่ย “เจ้ากล้าก็อย่าพึ่งพ่อแม่ข้า” 

 

 

คุณหนูจวินเชิดสายตามองเขา 

 

 

“ข้าไม่กล้านี่” นางเอ่ยจริงจัง