บทที่ 54 Ink Stone_Romance

หลังจากวันที่มิเอลไปเยือนคฤหาสน์ดยุกแห่งเฟรดเดอริก อาเรียก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายจากออสการ์ที่เคยได้รับอยู่เสมอ

‘แปลกจัง เพิ่งได้รับจดหมายจากคุณออสการ์ไม่นานนี้นี่นา…’

อีกทั้งยังไม่ได้ตอบกลับฉบับนั้นด้วย แล้วเหตุใดถึงมีอีกฉบับมานะ เอียงคอสงสัยอยู่สักพักจึงเปิดอ่าน กลับเจอเนื้อความข้างที่ไม่คาดคิด

[เหลือเวลาอีกไม่นานผมก็จะจบการศึกษาแล้ว ต่อไปอาจจะตอบจดหมายเลดี้ไม่ได้

ได้โปรดรักษาตัวด้วยครับ]

…ทำไมกัน

ถึงตอนนี้ก็ยุ่งจนแทบจะไม่ได้หายใจหายคอด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้บอกว่าจะไม่มีเวลาตอบจดหมายกันนะ แค่เขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวเท่านั้น ยุ่งจนไม่มีเวลาตอบเลยหรือ

ไม่อยากจะเชื่อสายตา จึงอ่านจดหมายอีกครั้ง แม้จะอ่านอีกครั้งเนื้อหาข้างในก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้

มีเพียงแค่เนื้อความบอกว่าเขาจะไม่ส่งจดหมายตอบกลับอีก

“เลดี้ยังไม่ได้ตอบกลับจดหมายเลยนี่คะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”

“หรือว่าคิดถึงเลดี้ขนาดนั้นเชียว…! เห็นท่านออสการ์เป็นอย่างนั้นไม่คาดคิดเลยนะคะเนี่ย!”

“ให้เอากระดาษมาให้ไหมคะ”

“…….”

ใบหน้าบึ้งตึงนั้นไม่แสดงอะไรตอบกลับไป  ท้ายที่สุดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบกลับไป หากไม่เขียนตอบก็เท่ากับว่าต้องจบความสัมพันธ์นี้ลง

‘คิดว่าจับไว้ได้อยู่แล้วนี่…. ทำไมถึงได้จบเร็วแบบนี้ล่ะ…’

เป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดจริงๆ เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรต่อ ไม่มีแผนการอะไรที่พอนึกออก จึงวางจดหมายลงบนโต๊ะ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง

ความเหน็ดเหนื่อยรุมล้อมร่างกาย หากได้นอนสักหน่อยพอตื่นมาอีกครั้งอาจจะนึกอะไรออกก็ได้

“เลดี้คะ”

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ…”

ทั้งเจสซี่และแอนนี่ ปราดมองอาเรียที่ล้มตัวนอนอยู่บนเตียงเห็นเจ้านายตัวเองดูท่าจะไม่ค่อยดี จึงออกจากห้องอย่างเงียบๆ

อาเรียหลับตาพลางคิด หากนาฬิกาทรายสามารถย้อนเวลากลับไปได้ไกลกว่านี้เธออาจจะใช้มันสืบหาเหตุผลไปแล้ว เพียงแค่ย้อนกลับไปได้แค่ 5 นาทีจึงไม่สามารถสืบอะไรได้เลย

ภายในห้องเงียบสงัดที่ไม่มีใครอยู่ อาเรียนอนกลางวันอยู่สักพัก อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้า อีกทั้งเพราะอยากจะไม่สนใจช่องโหว่ความสัมพันธ์ของเธอและออสการ์

โชคดีที่ใช้เวลาไม่นานก็นอนหลับได้ ช่วงที่แสงสีแสดส่องเข้ามาในห้องตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เธอจึงลืมตาตื่น

เพราะได้นอนหลับเต็มอิ่มไม่ได้ฝันอะไร จึงสามารถหลุดจากอารมณ์ที่แย่นั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะอยู่เฉยเช่นนี้ไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจส่งจดหมายถามสาเหตุออสการ์

[ทำไมจู่ๆ คุณถึงได้ตัดสินใจเช่นนั้นล่ะคะ หรือว่าจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ดิฉันเป็นห่วงน่ะค่ะ หากยุ่ง จะตอบจดหมายช้าก็ไม่เป็นไร แต่อย่ากล่าวว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันเลยค่ะ ได้โปรด]

ชั่วชีวิตเพราะเธอไม่เคยได้พึ่งพาใคร คำสุดท้ายที่เขียนว่า ‘ได้โปรด’ ทำให้เธอรู้สึกเสียหน้า แต่จะให้ทำเช่นไรล่ะ เขาเป็นอุบายที่จะทำให้มิเอลเจ็บปวดได้อย่างดีเยี่ยมนี่นา จะปล่อยให้มิเอลแย่งไปแบบนี้ไม่ได้

‘เพราะฉะนั้น ได้โปรด…’

หวังว่าความสัมพันธ์จะไม่สิ้นสุดลงสมกับที่รอคอยพลางปิดผนึกจดหมาย จากนั้นในขณะที่เธอกำลังจะเรียกข้ารับใช้คนหนึ่ง ก็มีคนเคาะประตูห้อง เมื่อขานตอบรับ คนที่เข้ามาให้ห้องก็มีแค่เจสซี่และแอนนี่สองคนเท่านั้น

“เลดี้!” “เลดี้คะ!”

“มีเรื่องอะไรเหรอ”

พวกหล่อนเสียงดังโวยวายทันทีที่เข้ามา อาเรียจึงดุแอนนี่ แม้จะทำเช่นนั้นหล่อนก็ยังไม่สงบเสงี่ยมลง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้

“ทำอย่างไรดีล่ะคะ เลดี้”

“ฉันถามว่ามีเรื่องอะไร”

ไม่มีทางที่แอนนี่จะมารบกวนเธอหากไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เธอรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป จึงคาดเดาดู

“ไม่ทราบ… ไม่ทราบเลยค่ะ… แต่ว่า… ท่านออสการ์ค่ะ…”

“คุณออสการ์?”

ออสการ์ ทำไมเหรอ เขาที่เขียนในจดหมายบอกว่าจะเลิกรากับอาเรียทันที เกิดเรื่องอะไรอีกแอนนี่ถึงได้ส่งเสียงร้องกันนะ สีหน้าของอาเรียค่อยๆ ซีดเผือด

“ท่านส่งของขวัญมาให้เลดี้มิเอลน่ะค่ะ…”

“…แล้วทำไมเหรอ”

“ไม่ทราบสิคะ เห็นว่าในจดหมายพูดถึงเรื่องงานหมั้นด้วยเค่ะ”

…งานหมั้นอย่างนั้นเหรอ

อาเรียที่ได้รับข่าวสีหน้าราวกับขี้ผึ้งไปทันที เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้แต่จดหมายที่ได้รับในวันนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับจะบอกลาไปตลอดกาล

“ตอนนี้อวดอยู่ข้างล่างใหญ่ค่ะ! อ่านเนื้อความในจดหมาย แทบจะร้องเป็นเพลงแล้วนะคะ ดิฉันทนมองไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ!”

เธอเห็นเจสซี่เผยสีหน้าราวกับจนตรอกข้างหลังแอนนี่ที่กระหืดกระหอบอยู่  ในขณะที่ตกใจเสียงโวยวายของแอนนี่ ดูเหมือนว่าหล่อนคงจะเสียความรู้สึก

“…เนื้อความในจดหมายบอกว่าอะไรเหรอ”

“คือว่า… ‘เพียงได้นึกถึงเลดี้มิเอลที่กำลังจะได้ถือกุหลาบทองในงานหมั้น เราก็ใจเต้นจนแทบนอนไม่ได้’ เขียนไว้แบบนี้ค่ะ!”

ออสการ์เป็นคนโรแมนติกขนาดนั้นเลยเหรอ

ไม่เคยพูดคำแบบนั้นกับเธอเลยสักครั้ง อย่างมากก็พูดแค่เข้ากับชุดเดรสมากแบบนี้ เป็นคำพูดติดปาก

แต่ส่งจดหมายน่าอายแบบนั้นให้มิเอลน่ะเหรอ

สีหน้าของอาเรียแปลกไป ดวงตาที่เป็นใบหน้าที่เหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ดูเหมือนว่าแอนนี่จะเห็นด้วยอยู่เหมือนกัน จึงเริ่มส่งเสียงดังมากยิ่งขึ้น

“ไม่น่าเชื่อเลยน่ะสิคะ! จู่ๆ ท่านออสการ์ไม่มีทางจะอ่อนโยนกับเลดี้มิเอลอย่างนั้นแน่ค่ะ ที่ผ่านมาท่านออสการ์ทำท่าทางไม่สนใจไยดีเลดี้มิเอลมาตลอด สาวใช้คนอื่นๆ ก็เห็นนะคะ”

ในขณะที่หล่อนกำลังพูด แอนนี่ทาบฝ่ามือไว้กับแก้มทั้งสองเพื่อทำให้ใจเย็นลงพลางพูดต่อ

“ต้องเป็นเพราะที่พบกับดัชเชสครั้งนั้นไปพูดอะไรไว้แน่นอนค่ะ! เพราะว่าหลังจากได้พบกับดัชเชสทุกครั้ง จะได้รับของขวัญในนามของท่านออสการ์ตลอดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าท่านออสการ์ฝืนส่งมาให้ หรือเป็นเพราะท่านหญิงส่งมาให้ในนามของท่านออสการ์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งล่ะค่ะ”

แอนนี่ ในที่สุดวันที่ฉันคิดว่าโล่งอกที่มีแกอยู่ข้างๆ ก็มาถึงแล้วสินะ เพราะหล่อนที่คอยพูดนู่นนี่ให้ ทำให้เธอรู้สึกเบาใจลงบ้างนิดหน่อย

ถ้าเรื่องที่หล่อนคาดเดาเป็นเรื่องจริงล่ะก็ จะดีขนาดไหนกันนะ แต่ถึงอย่างนั้นจดหมายที่ออสการ์บอกลาก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ก็สามารถรู้ได้ถึงสาเหตุว่ามาจากคำสั่งการของท่านหญิงนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการจากลาครั้งนี้อาจไม่ได้มาจากใจจริงของเขา

“แอนนี่ เธอช่วยชั้นได้ตลอดเลย ฉันไม่เคยเจอสาวใช้คนไหนฉลาดเท่าเธอเลย”

“ขอบคุณค่ะ เลดี้”

“ขอบคุณสำหรับเรื่องน่าสนใจนะ ครั้งหน้าถ้ามีข่าวอะไรสนุกอีกล่ะก็อย่าลืมบอกฉันล่ะ”

  “ได้ค่ะ!  ไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ เลดี้!”

มุมด้านหลังของแอนนี่ที่เดินจากไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที

จะมีสาวใช้คนไหนที่ชอบคุยเรื่อยเปื่อยแบบนั้นในคฤหาสน์นี้อีกไหมนะ เธอคิดว่าการที่ได้หล่อนมาอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้วทำให้รู้สึกโล่งใจมาก พลางยื่นจดหมายให้เจสซี่

“ฝากจดหมายส่งให้คุณออสการ์หน่อย”

“ได้ค่ะ เลดี้ ให้ส่งเลยไหมคะ”

“อืม  แล้วก็…”

ในระหว่างที่อาเรียนึกคำจะพูดต่อ เจสซี่จึงกะพริบตารอคำพูดถัดไป

“แล้วก็ ถ้าหาก… บอกว่าไม่รับจดหมายล่ะก็ วางทิ้งไว้ปลายเท้าคุณออสการ์เลยก็ได้”

  “…อะไรนะคะ”

“ฉันหมายถึงทำอย่างไรก็ได้ให้เขารับจดหมายนี้”

“อ๋อ…ค่ะ”

เจสซี่เอียงคอไปมาพลางออกไปจากห้อง

หลังจากนั้นเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ได้เวลาทานอาหารเย็น อาเรียที่ลงมาข้างล่างก็พบกับมิเอลที่ยิ้มร่าอยู่

‘อยากจะบิดคอเรียวเล็กนั่นเสียเดี๋ยวนี้’

ใช้นาฬิกาทรายดีไหมนะ หลังจากบิดคอฆ่าให้ตายแล้วค่อยใช้นาฬิกาทรายย้อนเวลาก็ได้นี่นา

เธอคิดฆ่ามิเอลอยู่เป็นพันครั้งในความคิดซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น จึงหันไปมองทางอื่น เพราะรู้ว่าวันนี้ไม่สามารถเอาชนะอะไรหล่อนได้เลยไม่ว่าจะด้วยทางไหน

มิเอลแสดงสีหน้าอารมณ์ดีขณะรอท่านเคานต์ที่มีธุระจึงออกไปข้างนอกกลับมาทานมื้อเย็น

ปิ่นปักผมที่ปักอยู่ ทั้งสร้อยคอที่หล่อนสวมใส่มีพลอยรูปทรงดอกกุหลาบอยู่ จึงคาดว่าน่าจะเป็นของขวัญที่ได้จากออสการ์

ยิ่งไปกว่านั้นเอมม่าที่ยืนอยู่หลังหล่อนแสดงสีหน้าเกร็งๆจึงเสียความรู้สึกอย่างมาก ทั้งที่เมื่อก่อนหล่อนมองเธอด้วยสายตาโอหังมาตลอด เป็นแววตาดูถูกที่เหมือนกับคำสาป

‘เดี๋ยวแกก็จะถูกกำจัดไปแน่นอน’

ก็มองด้วยสายตาที่ต้องการซะอย่างนั้น จะต้องได้พบกับจุดจบไปเหมือนกับเจ้านายของแก

สุดท้ายเมื่อได้แค่คิดจะคว้านลูกตานั่นออกมา ท่านเคานต์ก็กลับมาพอดี ท่านออกไปแค่คนเดียวแต่ทำไมถึงกลับมาสองคนล่ะ

“ขออภัยที่รบกวนท่านในเวลาดึกนะครับ”

“ฉันออกไปหาเรนพอดีเลยกลับมาพร้อมกันน่ะ คิดว่ามาทานมื้อเย็นด้วยกันก็น่าจะดี”

ท่านเคานต์พูดพลางตบบ่าเรน

“ทางศุลกากรมัวเซ้าซี้น่ะ พอเรียกเรนไปก็จัดการอะไรได้ง่ายขึ้นเลย”

“พอดีมีคนรู้จักของเจ้านายอยู่ที่กรมศุลกากรเลยโล่งอกครับ”

“ถึงฉันจะรู้จักคนเยอะ แต่ทางด่านภาษีนี่ฉันก็ไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน เพราะมีแต่พวกฉลาด ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ใช้กับพวกเขาไม่ได้ เจ้านายของเรนนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

“ฮ่าๆ กระผมจะนำไปบอกเจ้านายให้นะครับ”

มิเอลที่เผยยิ้มร่าและท่านเคาน์ติสที่งดงามราวกับดอกไม้อยู่เสมอ และท่านเคานต์ที่อารมณ์ดีเนื่องจากจัดการได้อย่างเรียบร้อย และเรนที่ยิ้มแต่ไม่รู้จิตใจข้างใน

เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงต้องฝืนยิ้มตามพวกเขาไปด้วย แต่ในใจกลับสาปแช่งนับครั้งไม่ถ้วน

“ดิฉันถามได้ไหมคะ ว่าไปที่กรมศุลกากรด้วยเรื่องอะไร”

“อ๋อ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยครับ แค่พวกเขาจัดการช้าไปหน่อย เป็นช่วงที่ของพวกขนสัตว์ที่กำลังจะเข้ามาพอดี ไม่รู้สิ ทางศุลกากรดูจะเก็บภาษีแบบไม่สมเหตุสมผลน่ะครับ หากนำเข้ามาในเมืองหลวงได้แล้ว ก็จะได้ขึ้นทะเบียนผ้าขนสัตว์ แต่พอจะส่งไปอีกก็ดันมาเรียกภาษีอีกครับ”

 “ตายจริง… ทำเกินไปนะคะ”

“ผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน โชคดีที่เป็นของเพิ่มเข้ามาได้ไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ เลยยื่นเรื่องขอลดหย่อนภาษีไป… แต่เจ้าพวกนี้ก็บอกว่าต้องจัดการงานเป็นลำดับขั้นตอน ไม่ติดต่อผมมาเดือนกว่าแล้ว ทั้งยังเป็นพวกของฟุ่มเฟือยอีก ไม่รู้จะคิดภาษีไปสักเท่าไหร่กัน!”

“ได้คุณเรนมาช่วยก็พอดีเลยสินะคะ!”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ โล่งอกไปมากโขเลยล่ะ”

ท่านเคานต์ที่ไม่สามารถเข้าแทรกแซงกรมศุลกากรแต่กลับทำตามใจตัวเองได้เช่นนี้… แม้จะคิดว่าเจ้านายของเรนเป็นผู้มีอิทธิพลแล้ว แต่ก็สุดยอดยิ่งกว่า

“ดูท่าต้องตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่… แต่ตอนนี้อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่เลี้ยงสำรับอาหารเย็นธรรมดาเท่านั้น น่าอับอายเสียจริง”

“ไม่หรอกครับ เท่านี้กระผมก็พอใจแล้วครับ”

“เช่นนั้นนัดวันไว้เลี้ยงครั้งใหญ่อย่างเป็นทางการเลยดีไหมคะ”

“ก็ไม่เลว เรนล่ะ คุณคิดอย่างไร”

“หากเวลาตรงกันแน่นอนว่าผมต้องเข้าร่วมอยู่แล้วครับ”

ท่านเคานต์มองมิเอลสลับกับเรนพลางหัวเราะ เป็นสีหน้าบ่งบอกว่า ถ้าหากไม่มีออสการ์ก็อยากจะให้มิเอลได้แต่งงานกับเรน

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่มิเอลบอกว่านัดวันไว้จัดเลี้ยงครั้งใหญ่ ก็ยิ้มจนแทบปากจะฉีกถึงหู

‘ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงๆ ด้วยซ้ำ’

เหตุใดถึงทำให้ท่านเคานต์ที่เข้มงวดและคิดแต่ผลประโยชน์ตัวเองได้เชื่อใจกันนะ แม้จะเป็นคนที่ให้การช่วยเหลือตาม เมื่อจบงานแล้วก็กลับมาเย็นชาเช่นเดิมไม่ใช่หรือ

แต่กลับอนุญาตให้เข้าออกคฤหาสน์ได้ตามสบาย ทั้งยังจัดเลี้ยงใหญ่โตอีก แน่นอนว่าเรนและเจ้านายของเขาต้องช่วยเหลืออะไรท่านเคานต์ไว้เยอะมากแน่

อาเรียไม่ชื่นชอบสถานการณ์นี้สักเท่าไหร่ หมากที่เธอถืออยู่ก็กลับส่งจดหมายว่าจะตัดความสัมพันธ์ จึงมองพวกเขาได้อย่างไม่สงบสุขสักเท่าไหร่

สัญชาตญาณก้นลึกในจิตใจปั่นป่วนไปหมด อยากจะพังสถานการณ์ที่นอกจากเธอแล้วทุกคนกลับดูมีความสุขแบบนี้

‘อย่างน้อยก็มิเอล’

อย่างน้อยก็อยากจะทำให้มันหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วปิดปากไปซะ เพราะสร้อยคอเฮงซวยนั่นทำให้แสลงตา

‘จะว่าไป…’

หากตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว ต่อไปท่านเคานต์จะต้องปวดหัวกับเสื้อผ้าขนสัตว์หรือสิ่งของฟุ่มเฟือยพวกนั้นแน่

ปีนี้ตั้งแต่ผ่านช่วงฤดูร้อน พ่อค้าส่วนใหญ่เริ่มล้มละลายเนื่องจากปัญหาภาษีย้อนหลังจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้

‘ตอนนั้นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหาก็คือเคน’

จากเรื่องนั้นทำให้เคนได้รับการยอมรับจากท่านเคานต์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านเคานต์คนใหม่แห่งตระกูลโรสเซนต์

แต่ทว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากนี้อีกนาน… ตอนนี้คนที่รู้วิธีแก้ไขก็มีแค่อาเรียเท่านั้น

……………………….