บทที่ 55 Ink Stone_Romance

‘ดูเหมือนว่าวันนี้จะโชคไม่ร้ายแรงเท่าไร’

ทำไมเวลาที่ต้องการดันนึกไม่ออกนะ แม้จะไม่พอใจแต่ก็ได้รับความเชื่อมั่นจากท่าเคานต์ ทั้งสามารถแสดงให้เห็นว่าตัวเองยังดีกว่ามิเอลได้อีกด้วย เป็นวิธีการที่จะทำให้ไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเรนได้อีก

‘ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะแย่งอนาคตของเคนที่เคยเสนอให้บั่นคอเธอด้วย’

ในที่สุดอาเรียก็ยกยิ้มขึ้น เคาน์ติสสังเกตสีหน้าของเธอที่ก่อนหน้าทานอาหารอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าบึ้งตึงได้ก่อนคนอื่น

เพราะสำหรับมิเอลนั้นมีคู่อยู่แล้ว จึงคิดว่าหากจับเรนหรือเจ้านายของเรนให้แต่งงานกับลูกสาวตัวเองจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นหล่อนจึงคาดหวังว่าอาเรียจะพูดอะไรออกมาสักหน่อยพลางยิ้มออกมา

“ต่อไปไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาคล้ายๆ ครั้งนี้อีกหรือไม่ รีบหาทางแก้ก่อนจะดีกว่า”

ความกังวลของท่านเคานต์ในตอนแรกกว่าจะเกิดขึ้นก็อีกนาน แต่เรื่องธุรกิจใหม่ผ้าขนสัตว์ทำให้ลดระยะเวลานั้นลง

ตอนนี้ต่างตรงที่ไม่มีปัญหา หากคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ อาจสามารถหาทางออกก็เป็นได้

จะปล่อยไว้แบบนั้นไม่ได้สิ

ตอนที่อาเรียกำลังจะให้คำแนะนะท่านเคานต์ก็ถูกเรนพูดตัดหน้าเสียก่อน

“เลดี้มิเอลคิดว่ามีทางแก้ปัญหาครั้งนี้ไหมครับ”

“อ๋อ…”

ทำไมต้องถามมิเอลด้วยนะ หรือเรนจะคิดว่าหล่อนฉลาดนะ จะว่าไปอาจจะฉลาดก็ได้ เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าบรรดาเลดี้ก็ไม่มีข้อด้อยอะไร

แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจ ดูเหมือนว่าเกียรติยศที่เคยมีจะโดนอาเรียแย่งไปเสียแล้ว ถึงถามไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เพราะเขาหัวไวจึงคิดว่าตอนนี้อาจจะรู้เรื่องแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีใจให้หล่อนอยู่เช่นเดิมช่างโง่เขลาเสียจริง เธอคิดพลางยิ้มเยาะ

“ไม่รู้สิคะ… เพราะไม่เคยคิดมาก่อนจึงนึกอะไรไม่ออกเลยค่ะ”

“อย่างไรก็ตามท่าจะเป็นเช่นนั้นครับ เจออะไรแบบนี้เรื่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมาก็จะรู้ทางแก้ที่ดีที่สุดอย่างไรล่ะครับ ที่ผ่านมาเลดี้มิเอลได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจท่านเคานต์หลายอย่าง จึงสงสัยว่าอาจจะมีแนวทางที่นึกออกคร่าวๆ บ้างก็เท่านั้นครับ”

เรนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังลากมิเอลตกนรกอยู่แท้ๆ สีหน้าของหล่อนแดงก่ำ

หล่อนไม่ลืมที่จะยิ้มรับพลางคิดอยู่สักพัก ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรออกจึงเปิดปากพูด

“ดูเหมือนว่าการตีสนิทกับเจ้าหน้าที่ในกรมศุลกากรจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ ที่ผ่านมาแม้ท่านพ่อจะพยายามแล้วแต่ก็ยังเข้าหาลำบากอยู่ คุณเรนช่วยแนะนำให้ได้ไหมคะ”

“แนะนำ…เหรอครับ”

 “ใช่ค่ะ! คุณเรนช่วยแก้ไขงานครั้งนี้ได้นี่คะ เพราะฉะนั้นหากคุณแนะนำคนที่รู้จักให้ท่านพ่อด้วยเลยคิดว่าจะเป็นอย่างไรน่ะค่ะ”

จริงใช่ไหมเนี่ย… มิเอล ทำไมเธอถึงได้เลือกพูดแต่คำที่ตรงใจอย่างนี้นะ

อาเรียแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่กับความคิดแสนตื้นของหล่อน พลางตักสลัดเข้าปากตัวเอง น้ำสลัดที่มากเกินไป รสหวานอมเปรี้ยวแผ่ซ่านในปากทำให้เธอได้สติ

หากเป็นเลดี้ตระกูลชั้นสูงล่ะก็ คำตอบของเลดี้เช่นนั้นก็ไม่มีใครคุยโต้คำนั้นได้เลย

เพียงแค่ทำตัวไปตามบรรยากาศมีเพียงท่านเคาน์ติสฝืนเห็นพ้องด้วย พลางว่า ‘เพราะมิเอลมนุษยสัมพันธ์ดีนี่นา’

“…จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะครับ”

สีหน้าเรนดูไม่ค่อยดีอย่างเห็นได้ชัด

ท้ายที่สุดจะตัดใจจากมิเอลได้ไหมนะ มิเอลที่ไม่รู้หนังสือเบิกตาโตพลางมองท่าทางผู้อื่น ท่านเคานต์ส่ายหัวไม่พูดอะไร

จากอารมณ์ที่ไม่ดีหลังจากได้รับจดหมายของออสการ์กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ครั้นจะออกนอกหน้าก็ต้องตอนนี้แล้วสินะ อาเรียที่เช็ดปากด้วยผ้ากันเปื้อน เริ่มพูดออกมา

“มิเอล พี่เห็นด้วยกับความเห็นน้องนะ การจะคบค้าสมาคมกับหลายฝ่ายนั่นเป็นเรื่องดี แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นทุกครั้งก็ต้องยื่นมือขอการช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่าทำอะไรเองไม่ได้เลยน่ะสิ นั่นเป็นเรื่องที่น่าอายอยู่ไม่ใช่หรอกเหรอ”

 “อา… น้องไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ ท่านพ่อก็เหนื่อยกับปัญหาศุลกากรอยู่แล้ว น้องหมายถึงควรรับความช่วยเหลือบ้างแค่เรื่องนั้นเองน่ะค่ะ”

ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าตัวเองโดนโจมตี มิเอลจึงรีบพูดแก้ตัว อาเรียจึงพูดขอโทษราวกับตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน

“อ๋อ อย่างนั้นหรอกเหรอ งั้นพี่ก็เข้าใจผิดไปนิดหน่อยแล้วสิ ขอโทษนะมิเอล”

“…ไม่เป็นไรเลยค่ะพี่ พี่เพิ่งเข้ามาในตระกูลท่านเคานต์ได้แค่สองปีเอง อาจจะไม่รู้ก็ได้นี่นะ”

อย่างนั้นหรือ ท้ายสุดแล้วจะบอกว่าฉันไม่มีความคิดความอ่านเลยพูดไปเรื่องอย่างนั้นสินะ

ไม่รู้เหรอว่ายิ่งพูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาแสดงให้เห็นว่าตัวเองโง่เขลาจริงๆ อย่างไรล่ะ

เป็นคำตอบที่ไม่น่าจะตอบโต้ด้วยซ้ำ ถึงกับต้องอ้างถึงไอเดียของเคนเลยเหรอ

“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ สร้างคลังสินค้าบริเวณใกล้กับเมืองเหลวงเพื่อจะไม่ต้องจ่ายภาษี… เพราะดิฉันเพิ่งเข้ามาในตระกูลท่านเคานต์ได้ไม่นานจึงไม่แน่ใจว่าความเห็นนี้สมควรไหมนะคะ”

เพราะพูดอย่างตรงไปตรงมาท่านเคานต์และเรนจึงหันมามอง แม้จะไม่ได้ฟังอย่างละเอียดแต่ก็แสดงสีหน้าราวกับสงสัยว่าพูดเรื่องอะไร

เพราะอาเรียช่วยเรื่องธุรกิจผ้าขนสัตว์ของท่านเคานต์เมื่อคราวที่แล้วทำให้สนใจมากยิ่งขึ้น เรนจึงส่งสายตาไปให้มิเอลที่อวดฉลาดอยู่

มิเอลที่แสนโง่เขลากลายเป็นหญิงร้ายที่น่าสมเพชพูดจาเรื่อยเปื่อยออกมาอีก เธอเตรียมที่จะหัวเราะเยาะ

“คลังสินค้าใกล้ๆ แถบเมืองหลวงเหรอ… โดยละเอียดแล้วหมายถึงอะไรเหรอ”

“อ๊ะ เพียงแค่เป็นความคิดเล็กๆ ที่ไม่น่าจะช่วยอะไรได้น่ะค่ะ ไม่ต้องสนใจก็ได้ค่ะท่านพ่อ”

อาเรียทำหน้าเคร่งขรึมพลางปัดมือปฏิเสธ ทันใดนั้นครั้งนี้เรนก็กระตุ้นให้ตอบ

“ไม่หรอกครับ ทุกความคิดเริ่มมาจากจุดเล็กๆ ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ เลดี้อาเรีย”

“ถ้าอย่างนั้นล่ะก็… ได้โปรดอย่าหัวเราะเยาะ คิดเสียว่าเป็นความคิดเด็กเล็กแล้วลองฟังดูนะคะ”

“ใครจะหัวเราะเธอล่ะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

ลูกสาวแท้ๆ ของแกไม่ได้หัวเราะเยาะเมื่อกี้หรอกเหรอ ไม่ได้นั่งอยู่ไกลแท้ๆ แต่ท่านเคานต์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

 “อืม… ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ เพราะในเมืองหลวงจะเก็บภาษีเยอะที่สุดเลยให้สร้างโกดังเก็บของไว้ เมื่อต้องการสินค้าก็ส่งของเข้าไปจะดีกว่าหรือไม่น่ะค่ะ เป็นความคิดที่ธรรมดามากใช่ไหมล่ะคะ”

แม้จะเป็นวิธีที่ธรรมดามาก แต่ท่านเคานต์ก็ยังนึกวิธีนั้นไม่ออก

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ เพราะของจำพวกผ้าขนสัตว์ไม่เคยถูกนับว่าเป็นสินค้าตามฤดูกาล จึงไม่จำเป็นต้องเอาสินค้าที่เข้ามาส่งไปอีกครั้ง

เพราะเป็นเรื่องปกติที่เอาสินค้าเข้ามาครั้งหนึ่งแล้วต้องขายให้หมดคลัง

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่านเคานต์ทำให้สามารถกำหนดจำนวนสินค้าอย่างพอดีอีกด้วย แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

‘หากเวลาผ่านไปอีกสักหน่อยท่านเคานต์อาจจะคิดอะไรออก…’

แต่ไม่ว่าสินค้าหรือความคิดก็ตาม ผู้ที่ครอบครองมันได้คือผู้ชนะ แสดงว่าพวกนั้นที่ยังคิดไม่ได้ก็กลายเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย

“จะว่าเป็นแนวคิดง่ายๆ ได้อย่างครับ เป็นความคิดที่ดีมากเลยต่างหาก โดยเฉพาะสำหรับท่านเคานต์ที่จะขยายกิจการในอนาคตก็ต้องทำเช่นนั้นครับ”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะนอกจากเมืองหลวงแล้วต่างจังหวัดเขตอื่นๆ แทบจะไม่เก็บภาษีเลยน่ะ”

“หากจัดการจุดนั้นตั้งแต่แรกตกลงให้เสร็จสรรพก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีเลยครับ เพราะสามารถนำเข้ามาใช้ส่วนตัวหรือเป็นสัมภาระก็ได้ครับ”

“อา อย่างนั้นจริงด้วย! แม้จะอยู่ด้านบนสุด อย่างไรก็ตามของที่ส่งเข้าเมืองหลวง ฉันก็ต้องจัดการอยู่แล้ว หากซื้อมาจากนอกเมืองแล้วส่งไปยังชานเมืองก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่!”

“ท่านพูดถูกครับ แค่คิดต่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถประหยัดค่าภาษีได้จำนวนมากก็เท่ากับว่าหาทางออกแล้วนะครับ!”

ทั้งสองคนต่างพูดคุยเกี่ยวกับข้อดีจากการมีคลังสินค้าเอาไว้ราวกับพบบ่อทองคำ ท่านเคานต์หัวเราะใหญ่ เนื่องจากสินค้าและการพัฒนาต่างๆ จะรวมอยู่ที่เมืองหลวงทำให้สามารถได้ที่ดินในราคาถูก

ระหว่างนั้นอาเรียหันปราดไปมองด้านหลังตัวเอง เจอเจสซี่ที่ถือกล่องนั่นอยู่

น่ารักเหมือนกันนะนี่ หรือเป็นเพราะไม่นานมานี้กำชับไว้อย่างดีหรือเปล่านะ แม้จะไม่รู้ว่ากล่องย้อนเวลานั่นใช้อย่างไรก็ถือไปมาตามคำสั่งของอาเรียอยู่เสมอ

‘ต้องย้อนเวลาไปตอนที่ท่านเคานต์และเรนคุยกัน จะได้พูดเสริมดีกว่า’

เธอได้ยินเพียงต้องทำเช่นนั้นจึงเกิดคลังสินค้าแล้วสามารถลดภาษีได้ จึงตัดสินใจว่าจะแย่งแม้แต่ความคิดของเขาเหมือนกับที่ท่านเคานต์แย่งความคิดของตัวเองไปให้มิเอล เธอวานขอนาฬิกาทรายจากเจสซี่และพลิกนาฬิกาทราย

“อาเรีย ไม่ต้องกังวลไปเลย เพราะที่นี่ไม่มีใครตำหนิเธอหรอก”

ตรงกับไทม์มิ่งตอนนี้พอดีเลยสินะ

อาเรียหัวเราะคิกคัก เป็นโอกาสของเธอที่ได้รับเกียรติเพลิดเพลินจากไอเดียของเคน แล้วก็ความคิดของท่านเคานต์และเรนอีกด้วย

“ถ้าอย่างนั้น… แม้จะดูใจแคบไปบ้างแต่ฉันขอพูดรายละเอียดอื่นๆ นะคะ ฉันคิดว่าเพราะการที่สามารถประหยัดภาษีจำนวนมากอาจจะดูใจแคบไปบ้างน่ะค่ะ”

แล้วก็พวกแกก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

เธอที่ค่อยๆ อธิบายรายละเอียดทำให้ท่านเคานต์และเรนเบิกตาโตขึ้น ตั้งแต่ตอนที่พูดถึงคลังสินค้า พวกเขาที่คิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังตกใจกับคำอธิบายนั่นอีกด้วย

“…คิดแบบนั้นได้อย่างไรกันครับ”

“เพียงแค่นั่งคิดอยู่เฉยๆ คนเดียวน่ะค่ะ ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอกค่ะ”

“ไม่เลยครับ ไม่สำคัญอะไรกันครับ ในสถานการณ์ที่ต้องการพอดี ทั้งยังสามารถต่อยอดกำไรได้ในระยะยาวอีกด้วย เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ”

“ขอบคุณที่คิดแบบนั้นนะคะ”

อาเรียแสร้งยิ้มเขินอาย มิเอลที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ก็พูดแทรกขึ้นมา

“แต่จะว่าไปหากสร้างคลังสินค้าใหม่จะไม่เพิ่มค่าสร้างคลังสินค้า ค่าแรง ค่าเช่าที่หรอกเหรอคะ”

“จะมองง่ายๆ แบบนั้นก็อาจจะเป็นไปได้นะ แต่หากเพิ่มสินค้าและขยายกิจการจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นน่ะครับ อาจจะราคาถูกกว่าภาษีผ้าขนสัตว์ที่ท่านเคานต์นำเข้ามาครั้งนี้ด้วยซ้ำครับ”

 “อา… ภาษีผ้าขนสัตว์ราคาแพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“แน่นอนสิครับ เพราะเป็นของฟุ่มเฟือยนี่ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าเลดี้มิเอลจะทราบแค่ว่าผ้าขนสัตว์กำลังเป็นที่นิยมน่ะครับ เท่านั้นก็เก่งมาแล้วครับ!”

เรนพูดราวกับหยอกล้อ แต่บรรยากาศโต๊ะอาหารกลับเงียบสงัด หล่อนฆ่าตัวเองด้วยวิธีแบบนั้นก็ได้สินะ เธอคาดหวังการโต้ตอบของมิเอลและท่านเคานต์

‘ได้บอกอะไรที่ไม่ได้ทำไปแล้วทั้งยังได้รับการยอมรับอีก ตอนนี้ก็ต้องทวงผลตอบแทนแล้วสิ’

แม้แต่สิ่งนั้นก็โดนคนตรงหน้าขโมยไปได้ เป็นสิ่งที่แม้จะประหารชีวิตพวกมันแล้วจับแขวนกำแพงก็ไม่สะใจได้เท่านี้

อาเรียส่งสายตา รอให้มิเอลเปิดปากพูด

……………………….