กู้จิ้งคิดดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นึกถึงความเข้าใจผิดมากมายในอดีตแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เธอจึงหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ชุนเถา “ไม่มีอะไร เรื่องในอดีตล้วนเป็นความเข้าใจผิด ไม่ต้องใส่ใจไป”

ตอนนั้นเธอเองก็มีเรื่องเข้าใจผิดมากมาย เพราะอายุยังน้อยไม่รู้ความก็เลยทำให้สาวน้อยดีๆ คนนี้เกือบจะตกใจจนเสียสติไป

ชุนเถาก้มลงกราบไหว้ด้วยความเคารพอีกครั้งก่อนจะจากไป

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนในหมู่บ้านเว่ยอวิ๋นก็ได้ทราบข่าวที่หมอเทวดากลับลงมายังหมู่บ้านเว่ยอวิ๋นอีกครั้ง ทุกคนต่างพากันนำอาหารชนิดต่างๆ มากราบไหว้หมอเทวดาที่เคยช่วยเหลือราษฎรทั่วแผ่นดินผู้นี้อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

แต่พวกเขาต่างก็กระทำอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงจะรบกวนหมอเทวดา

กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ย่อมพอใจมาก

 

ท้องของกู้จิ้งโตขึ้นทุกวัน ทำให้เซียวเถี่ยเฟิงไม่กล้าออกไปล่าสัตว์อีก วันๆ เขาแทบจะไม่เคยห่างจากข้างกายกู้จิ้งไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวจะเกิดอะไรขึ้น

ส่วนเรื่องที่ว่าหากเขาไม่ไปล่าสัตว์ พวกเขาจะกินอะไร เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลใจสักนิด

ชาวบ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นต่างพร้อมใจกันเก็บความลับเรื่องที่พวกเขาเร้นกายอยู่บนเขาเว่ยอวิ๋นเอาไว้ ทั้งยังพยายามคิดหาวิธีต่างๆ มาทำให้ท่านหมอเทวดากับท่านสามีมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายยิ่งขึ้น

พวกเขาจะนำอาหารมากราบไหว้หมอเทวดาทุกวัน ซ้ำยังเปลี่ยนรายการอาหารไปเรื่อยๆ มีอาหารคาวมีอาหารหวานมีผักมีผลไม้ บางครั้งยังมีแม้กระทั่งผ้าและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ขอเพียงกู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงต้องการ พวกเขาก็จะสรรหามามอบให้

พอกู้จิ้งมีอายุครรภ์มากขึ้น พวกเขายังจับกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำงานที่ศาลของหมอเทวดาอีกด้วย

พวกเขาจะเปลี่ยนเวรกันทุกสิบวัน แต่ละครั้งจะมีผู้ชายสามคนกับผู้หญิงสามคน

นี่เรียกได้ว่าเป็นคนรับใช้ที่เสนอตัวมาทำงานเอง ทั้งขยันขันแข็งทำงาน แถมยังไม่ต้องการค่าแรงอีกด้วย

อะไรนะ ทำไมชาวบ้านไม่สงสัยว่า ทำไมเซียนอย่างพวกเขาต้องมีคนคอยปรนนิบัติด้วย ไม่เห็นจะแปลกเลยสักนิด ท่านหมอเทวดากับท่านสามีกลับลงมายังโลกมนุษย์ ย่อมไม่อาจฝืนกฎเกณฑ์

ที่นี่ห้ามใช้อาคม!

ชาวบ้านทั้งหมดต่างก็เฝ้าหวังว่า สักวันหนึ่งท่านหมอเทวดากับท่านสามีจะให้กำเนิดหมอเทวดาตัวน้อยๆ แบบนี้เขาเว่ยอวิ๋นของพวกเขาก็จะกลายเป็นรังเซียน พวกชาวบ้านก็จะพลอยได้รับกลิ่นอายเซียนไปด้วย

กู้จิ้งซาบซึ้งใจในความเอาใจใส่ของชาวหมู่บ้านเว่ยอวิ๋นมาก พวกเขาดูแลเธอดียิ่งกว่าพ่อแท้ๆ เสียอีก

“ฉันจะอยู่บนเขาเว่ยอวิ๋นไปตลอดชีวิต จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ จะทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวบ้านที่นี่มีสุขภาพแข็งแรง”

กู้จิ้งบอกเซียวเถี่ยเฟิง

“จริงๆ แล้วก็เป็นการทำเพื่อลูกหลานรุ่นหลังของเราเอง”

เซียวเถี่ยเฟิงแปลความหมายของเธอ

เดิมกู้จิ้งยังไม่ได้คิดแบบนี้ แต่พอได้ยินคำพูดของเซียวเถี่ยเฟิง เธอก็อดนึกถึงข้อสงสัยของตัวเองก่อนหน้านี้ไม่ได้

“นายว่า…คุณยายของฉัน ไม่ๆๆ หลานสาวรุ่นไหนสักรุ่นของเรารู้ไหมว่าเด็กที่เธอเก็บได้ในป่าก็คือฉัน? เธอรู้ไหมว่าเธอเก็บบรรพบุรุษของตัวเองได้?”

“ก็อาจจะ” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “เจ้าเคยบอกว่านางพยายามสอนสิ่งต่างๆ ให้เจ้า ข้าคิดว่านางน่าจะรู้ล่วงหน้า แต่นางรู้ได้อย่างไรล่ะ?”

“เป็นไปได้ไหมว่าต่อไปเราจะทิ้งพินัยกรรมเอาไว้บอกลูกหลานรุ่นหลังว่า หากเก็บเด็กที่ถูกใส่ไว้ในกระเป๋าหนังสีดำได้ ต้องเลี้ยงดูเป็นอย่างดี?”

“มีเหตุผล”

เซียวเถี่ยเฟิงสนับสนุนทุกคำพูดของภรรยา เขาจ้องท้องใหญ่โตจนน่าตกใจของกู้จิ้งนิ่งแล้วก็อดยื่นมือไปลูบไม่ได้

เพียงเขาสัมผัส ทารกน้อยในท้องก็เตะเขาแรงๆ ทีหนึ่ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่ถูกเตะ ทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตในท้อง เขาจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเสมอ

นี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขากับกู้จิ้ง สายเลือดนี้จะสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี ลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของเขาจะเป็นคนช่วยกู้จิ้งที่ถูกทิ้งไว้ในป่า

“เด็กดี ต่อไปเมื่อเจ้ามีลูกหลาน เจ้าต้องบอกพวกเขาให้ช่วยแม่ของเจ้าด้วย ถ้าเห็นถุงหนังสีดำของแม่เจ้า จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะแม่ของเจ้าอยู่ในนั้น!”

แต่เขาพูดอยู่เป็นนานสองนาน ทารกน้อยในท้องก็ไม่สนใจสักนิด แกยังเอาแต่ยกขาน้อยๆ เตะๆๆ

“ช่างเถอะ รอให้คลอดออกมาก่อนค่อยพูดเถอะ ตอนนี้นายพูดไปแกก็ไม่เข้าใจ”

“เจ้าพูดถูก รอให้คลอดออกมาก่อน เราค่อยตั้งใจอบรมสั่งสอน ต้องให้เขาจดจำกฎของตระกูลเซียวให้ขึ้นใจตั้งแต่อายุยังน้อยให้ได้”

 

เที่ยงคืนวันนี้ กู้จิ้งกำลังหลับอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บท้อง หลังจากตื่นขึ้นมา เธอก็พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดพลางเริ่มนับความถี่ในการบีบตัวของมดลูกไปเรื่อยๆ

แค่สิบนาทีครั้ง ยังไม่เป็นไร เธอหลับตาพักผ่อนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จนกระทั่งฟ้าใกล้สว่าง ความถี่เพิ่มเป็นสามนาทีครั้ง เธอถึงได้ร้องเรียกเซียวเถี่ยเฟิง “ฉันจะคลอดแล้ว”

เซียวเถี่ยเฟิงคอยระวังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็สะดุ้งตื่นทันที

“เจ้าจะคลอดแล้ว?”

ระหว่างที่พูด เขาก็กวาดตามองไปยังช่วงล่างของเธอ

กู้จิ้งกล่าวเสียงเรียบ “นายยังจำข้อควรระวังที่ฉันเคยบอกได้ไหม?”

“จำได้!” พูดตามตรงแล้ว ต่อให้เซียวเถี่ยเฟิงเคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน เขาก็ยังรู้สึกเครียดอยู่ดี

นี่ไม่ใช่บัลลังก์ของอู่อ๋อง ไม่ใช่แผ่นดินของเว่ยอ๋อง นี่เป็นลูกของเขา ลูกของเขากับกู้จิ้ง จะไม่เครียดได้หรือ?

“ดี ทำตามแผนที่วางเอาไว้”

“ข้ารู้แล้ว” เซียวเถี่ยเฟิงพูดเสียงเคร่งเครียด

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หัวใจของเขาเต้นเร็วแบบนี้

หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการที่กู้จิ้งวางเอาไว้อย่างราบรื่น จนกระทั่งถึงตอนที่เซียวเถี่ยเฟิงต้องออกไปหาผู้ช่วยข้างนอก แค่ก้าวออกไปเขาก็เห็นผู้ชายสามคนกับผู้หญิงสามคนเฝ้าอยู่ด้านนอก

ทุกคนเห็นเขาก็รีบเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “เรียนถามท่านสามี ท่านหมอเทวดาจะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”

เอ่อ… เขาไม่ต้องออกไปหาใครมาช่วยเสียด้วยซ้ำ

หลังจากผู้ชายสามคนกับผู้หญิงสามคนนั้นเข้ามา ผู้ชายทั้งสามก็รับหน้าที่ต้มน้ำเคี่ยวน้ำแกงอยู่ที่ด้านนอก ส่วนผู้หญิงทั้งสามรีบเข้าไปในห้องคลอด หนึ่งในนั้นเป็นหมอตำแย ส่วนที่เหลืออีกสองคนรับหน้าที่คอยดูแลปรนนิบัติ

มีคนเหล่านี้คอยช่วยเหลือก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก กู้จิ้งอดทนต่อความเจ็บปวดอยู่เงียบๆ พลางใช้วิธีการหายใจแบบลามาซที่คุ้นเคยมาช่วยลดความเจ็บปวด

ไม่นานนักหมอตำแยก็สังเกตเห็นว่าวิธีปลอบใจที่ตัวเองรู้จักไม่ได้ถูกนำมาใช้สักนิด แต่คิดๆ ดูก็ไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ นี่คือท่านหมอเทวดา มีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง ก็แค่คลอดลูกเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?

กู้จิ้งเองก็มีแผนการอยู่ในใจจริงๆ เธอเคยคลำดู รู้ว่าเด็กตัวไม่ใหญ่ อย่างมากก็ไม่เกินหกชั่งครึ่ง น้ำหนักเท่านี้คลอดไม่ค่อยยาก แถมปกติเธอเองก็ชอบเดินเล่น อยู่ในบ้านก็เล่นโยคะสำหรับคนท้องอยู่บ่อยๆ ก่อนคลอดยังดื่มชาดอกไม้ที่ช่วยให้ปากมดลูกอ่อนตัวไปไม่น้อย เวลาคลอดน่าจะคลอดไม่ยากนัก

แน่นอน หากเจอภาวะน้ำคร่ำอุดตันหรืออะไรทำนองนั้นก็มีแต่ต้องทำใจ เพราะแม้กระทั่งหมอยุคปัจจุบันก็ยังไม่มีทางทำอะไรได้

พูดตรงๆ ก็คือ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา

ยังดีที่ดวงของเธอไม่เลว เมื่อมดลูกบีบตัวถี่ขึ้นเป็นสองนาทีครั้งหรือถี่มากกว่านั้น เธอก็ได้ยินเสียงหมอตำแยบอกให้เบ่งได้

เธอกัดฟันแน่นแล้วเริ่มออกแรงเบ่ง

มดลูกบีบตัวอย่างรุนแรง ไม่นานนักเธอก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นของหมอตำแยดังขึ้น “ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว เร็ว ออกแรงเบ่งอีก!”

กู้จิ้งออกแรงเบ่งสุดชีวิต ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่เบื้องล่าง จากนั้นเสียงร้องไห้ของเด็กทารกก็ดังขึ้น

เธอสูดหายใจลึกด้วยความอ่อนล้าก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้ตัวเอง

“ฉันคลอดง่ายขนาดนี้เชียว” ดีจริงๆ

ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มซึ่งทนรอไม่ไหวอีกต่อไปก็พุ่งเข้ามาในห้อง

“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ็บไหม? ทำไมเจ้าถึงไม่ร้องเลย?”

เดิมคิดว่าต้องเจ็บมากเสียอีก แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงร้องสักแอะ เล่นเอาเขาตกใจแทบแย่เพราะคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น

กู้จิ้งกวักมือเรียกเซียวเถี่ยเฟิง “เอาลูกมาให้ฉันดูหน่อย”

เอา? หมายความว่ายังไงกัน? หมอตำแยที่ด้านข้างตาค้าง

แต่ผู้หญิงอีกคนกลับรีบอุ้มเด็กมาส่งให้กู้จิ้ง “ท่านหมอเทวดา เป็นเด็กผู้ชายเจ้าค่ะ”

เซียวเถี่ยเฟิงรีบรับมาอุ้ม จากนั้นจึงก้มลงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กู้จิ้งอย่างอ่อนโยนพลางยื่นลูกไปให้ดู

เพียงเหลือบตามองกู้จิ้งก็ผิดหวังมาก เธอไม่อยากจะเชื่อเลย!

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นสีหน้าของกู้จิ้งก็รีบเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เป็นอะไรไปหรือ?”

แต่กู้จิ้งกลับไม่สนใจเซียวเถี่ยเฟิงสักนิด!

ยามนี้ในใจเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแกมเคียดแค้น!

ลูกที่เธอคลอดออกมาอย่างยากลำบากกลับมีหน้าตาแบบนี้?!

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในที่นั้นจึงได้ยินท่านหมอเทวดาตะโกนใส่ลูกชายแรกเกิดของตัวเองว่า “ดันไปเหมือนกับลุงหัวล้านที่ปากทางเข้าหมู่บ้านของเราได้ยังไง!”

ส่วนจะเป็นหมู่บ้านไหน ลุงหัวล้านคนไหน มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้…