บทที่ 602 : รับรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 602 : รับรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง!

สำหรับหลิงหยุนผู้หมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาขั้นของตนเอง สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดก็คือพลังชีวิต!

ดังนั้นหากได้รู้ว่าสิ่งใดมีพลังชีวิตอยู่ หลิงหยุนจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน!

หากเมื่อวานนี้สิ่งที่หลงเทียนเจียวมอบให้กับหลิงหยุนไม่ใช่เช็คจำนวนสองพันเจ็ดร้อยล้าน แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สามารถให้พลังชีวิตได้ หลิงหยุนจะต้องรับมันไว้อย่างแน่นอน..

แม้ว่าเงินจำนวนห้าร้อยล้านดอล่าสหรัฐจะไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อยเลย แต่เวลานี้หลิงหยุนก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ส่วนตำราฝึกฝนกำลังภายในน่ะหรือ? เขาเองก็รู้วิชาบ่มเพาะอีกมากมาย และรู้ด้วยว่าควรจะต้องฝึกวิชาใหนในช่วงเวลาใด? สำหรับผ้าแพรที่ทอจากไหมดำนั้น แม้ว่าจะเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก แต่หากเขาเข้าสู่ขั้นที่สามารถสรรสร้างวัตถุต่างๆได้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจจะสร้างชุดคงกะพันขึ้นมาสักชุด

แต่พลังชีวิตนั้นแตกต่างจากสิ่งเหล่านี้มาก หากหลิงหยุนต้องการให้การฝึกฝนของเขารุดหน้าได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง ก็จำเป็นที่เขาจะต้องมีพลังชีวิตเพื่อดูดซับเข้าไปในร่างกายจำนวนมาก

และสิ่งของที่อยู่ในกล่องไม้เวลานี้ ก็กำลังปลดปล่อยพลังชีวิตที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ออกมา มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่ร้อนใจ!?

อีกทั้งที่บ้านในอ่าวจิงฉู ก็มีกล่องลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน!

“เหล่ากุ่ย.. ข้างในกล่องไม้นั่นมีอะไรกันแน่?”

หลิงหยุนจ้องมองกล่องไม้ลึกลับอยู่นาน และพลังชีวิตจำนวนมากที่กระจายออกมานั้นก็ถูกหลิงหยุนดูดซับเข้าไปในร่างกาย

เหล่ากุ่ยยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมกับวางกล่องไม้ที่กอดไว้ลงบนโต๊ะ เขาไม่พูดอะไร แต่จัดการเปิดกล่องไม้ออก พลังชีวิตจากกล่องไม้เพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว และหลิงหยุนก็รีบดูดซับเข้าไปไม่เหลือไว้แม้แต่หยดเดียว

หลิงหยุนก้มลงไปดูใกล้ๆพร้อมกับร้องอุทานออกมาว่า “นี่มัน..”

สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ใบนั้นกลับเป็นเพียงแค่ซากไม้ที่ตายแล้วชิ้นหนึ่ง อีกทั้งไม่รู้ว่าแห้งตายมานานกี่ปีแล้ว เพราะลำต้นของมันนั้นเป็นสีดำสนิท แม้กระทั่งปลายของซากไม้ทั้งสองข้างก็เป็นสีดำสนิทด้วยเช่นกัน ดูราวกับว่าถูกฟ้าผ่ามาอย่างรุนแรง

ซากไม้สีดำชิ้นนี้มีความยาวหนึ่งเมตร ลำต้นตรงของมันมีขนาดใหญ่เท่ากับแขนของผู้ใหญ่คนหนึ่ง และมีสีดำตลอดทั้งท่อนไม่ต่างจากเหล็กแท่งสีดำ

หลิงหยุนแอบคิดในใจว่า.. หากเป็นซากไม้ที่ตายแล้วก็น่าจะผุพังไปนานแล้ว แต่เขากลับเห็นชัดว่าที่ปลายของซากไม้สีดำนี้มีตุ่มนูนขึ้นคล้ายกับเมล็ดทานตะวัน ดอกตูมนี้มีสีเหลืองอมชมพู และมีพลังชีวิตที่เข้มข้น

‘ซากไม้แต่กลับผลิดอกได้! น่าจะเป็นเพราะพลังชีวิตที่เข้มข้นและบริสุทธิ์นี้ จึงทำให้ดอกตูมสามารถแตกหน่อออกมาได้!’

หลิงหยุนถึงกับตกใจจนไม่สามารถทนนั่งเฉยต่อไปได้อีก เขาผุดลุกขึ้นจากโซฟาทันที!

เหล่ากุ่ยดูเหมือนจะคาดเดาไว้แล้วว่าหลิงหยุนจะต้องตกใจ เขาจึงยังคงนั่งนิ่งไม่แปลกใจ และพูดกับหลิงหยุนยิ้มๆ

“พ่อหนุ่ม.. หยิบมันขึ้นมาดูสิ..”

ยังไม่ทันที่เหล่ากุ่ยจะพูดจบดี หลิงหยุนก็เอื้อมมือออกไปคว้าซากไม้มาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว

‘เปลือกสีดำราวกับถ่านของมันช่างหยาบนัก และน้ำหนักก็ค่อนข้างมาก’

‘เปลือกของมันดูคล้ายกับต้นหลิว..’

หลิงหยุนได้แต่นึกแปลกใจ..  ไม้ที่มีขนาดใหญ่เท่าแขนของเขา  และยาวหนึ่งเมตรนั้น อย่างมากที่สุดน้ำหนักก็ไม่น่าเกินสิบกิโลกรัม แต่ซากไม้ท่อนนี้กลับหนักราวแปดสิบกิโลกรัมได้! และหากเป็นซากของต้นหลิวจริงก็ยิ่งไม่ควรหนักถึงเพียงนี้!

หลิงหุยนได้แต่คิดในใจว่า ไม่แปลกที่กล่องไม้ของแม่เขาจะหนักมากถึงเพียงนั้นหากมีไม้ชนิดเดียวกันนี้อยู่ด้านใน

เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนที่กำลังสำรวจท่อนไม้ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ และไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้อีก เขากระแอมเบาๆก่อนจะพูดขึ้นว่า

“พ่อหนุ่ม.. เจ้าหยดเลือดที่นิ้วลงไปบนไม้ท่อนนี้สิ..”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ‘ไม้เพียงแค่ท่อนเดียวถึงกับต้องให้ข้าหยดเลือดแสดงความเป็นเจ้าของเลยรึ?’

หลิงหยุนรู้ดีว่าเหล่ากุ่ยไม่ได้ให้เขาหยดเลือดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ให้เขาหยดเลือดเพื่อพิสูจน์ฐานะของตนเองต่างหาก!

หลิงหยุนมั่นใจว่าเหล่ากุ่ยไม่ได้คิดร้ายกับตนเองอย่างแน่นอน เขาจึงไม่ลังเลที่จะยกนิ้วชี้ขึ้นกัด และหยดเลือดลงบนซากไม้ทันที

และนาทีแห่งการรอคอยก็มาถึง เหล่ากุ่ยตื่นเต้นจนต้องลุกขึ้นยืนตัวสั่นพร้อมกับร้องบอกอีกครั้ง

“พ่อหนุ่ม.. เจ้ารีบหยดเลือดของเจ้าลงไปเร็วเข้า!”

หลิงหยุนจัดการหยดเลือดลงบนซากไม้ด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติ..

และภาพที่กำลังจะปรากฏต่อไป ก็ทำให้หลิงหยุนถึงกับตกตะลึง!

ขณะที่นิ้วชี้ข้างขวาของหลิงหยุนกดลงที่พื้นผิวขรุขระของท่อนไม้นั้น เลือดในนิ้วของเขาก็ไหลซึมเข้าไปตามเปลือกไม้ทันที และกระจายไปตามพื้นผิวสีดำของมันอย่างรวดเร็ว!

แต่ไม่เพียงเท่านั้น.. หลิงหยุนรู้สึกว่าเลือดของเขายังคงไหลลงไปในซากไม้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด!

‘อะไรกัน?! นี่ข้าต้องถูกดูดเลือดอีกแล้วหรือนี่?’

หลิงหยุนยังคงถือท่อนไม้นั้นไว้ด้วยมือข้างขวา และไม่รีบร้อนที่จะดึงนิ้วชี้ออกมา ปล่อยให้มันดูดเลือดของเขาไปเช่นนั้น

ตอนนี้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8 แล้ว จุดตันเถียนของเขาก็ได้ขยายใหญ่กว่าคนธรรมดาหลายเท่า เขาจึงไม่นึกเสียดายเลือดแม้แต่ของตนเองแม้แต่น้อย

เหล่ากุ่ยมองภาพที่ปรากฏตรงหน้าอย่างตื่นเต้น..

‘ไม่มีการปฏิเสธหลิงหยุน! นี่หมายความว่า..’

แววตาของเหล่ากุ่ยเป็นประกายขึ้นมาทันที และขอบตาของเขาก็เริ่มแดงก่ำ!

ซากไม้ยังคงดูดเลือดของหลิงหยุนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนจะมากขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มันดูราวกับเด็กน้อยผู้หิวโหยที่กำลังดูดเลือดของหลิงหยุนอย่างตระกละตระกราม  และดูท่าไม่ยอมหยุดเสียด้วย!

“นายน้อย!”

เหล่ากุ่ยไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก และในที่สุดเขาก็เปิดเผยฐานะของตนเองออกมา  พร้อมกับร้องเรียกหลิงหยุนว่านายน้อย!

ดวงตาของเหล่ากุ่ยแดงก่ำ น้ำตาเริ่มเอ่อ และไหลออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีก! เขาเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุนที่โซฟาด้วยร่างกายที่สั่นเทา..

“เหล่ากุ่ยอย่าได้ทำเช่นนั้น..”

หลิงหยุนไม่ทันได้ตั้งตัว.. และเหล่ากุ่ยก็ได้คุกเข่าลงที่พื้นทำการคำนับหลิงหยุน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาแห่งความตื้นตันปิติยินดีก็ได้ไหลอาบแก้มของเหล่ากุ่ย!

“เหล่ากุ่ย.. ท่านทำอะไร ลุกขึ้นเร็วเข้า!”

หลิงหยุนรีบร้องบอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมือของเขายังคงถือท่อนไม้อยู่ จึงได้แต่โน้มตัวลงใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่พยุงเหล่ากุ่ยให้ลุกขึ้นจากพื้นแทน!

“เหล่ากุ่ย.. หากท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด! ท่านคงรู้ดีกว่าข้าว่าควรทำเช่นไร?”

หลิงหยุนประคองเหล่ากุ่ยที่ยังคงอยู่ในอาการตื่นเต้น ในขณะที่มือข้างขวายังคงกำท่อนไม้สีดำนั่นไว้  ท่าทางของเขาจึงดูน่าขันยิ่งนัก!

น้ำตาของเหล่ากุ่ยไหลพรากราวกับทำนบพัง มือของเขาจับแขนหลิงหยุนไว้แน่น และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อยู่ครู่ใหญ่..

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง.. เหล่ากุ่ยจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้า  แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนยังคงกำท่อนไม้ไว้ในมือเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องบอกอย่างตื่นตระหนก

“นายน้อย.. ท่านวางซากไม้นั่นลงได้แล้วล่ะ..”

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าเหล่ากุ่ยเองก็รู้ด้วยว่า ซากไม้นี้จะไม่ยอมหยุดดูดเลือดหากเขายังถือมันไว้เช่นนั้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้หลิงหยุนนึกถึงประสบการณ์เมื่อครั้งที่พู่กันจักรพรรดิดูดเลือดของเขาเข้าไป และในครั้งนั้นเลือดของเขาถูกดูดไปมากกว่านี้เสียอีก เขาจึงไม่ใส่ใจนัก!

“เหล่ากุ่ย.. ท่านไม่ต้องห่วง ในตัวข้ายังมีเลือดอีกมาก อีกอย่างแผลเล็กแค่นี้  รออีกเดี๋ยวก็ได้..”

หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความตระกละตระกรามของซากไม้ท่อนนี้ แต่ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่แม้ว่ามันจะดูดเลือดของเขาเข้าไปมากแล้ว แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับมันเลย นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ!

‘นี่เป็นเพียงแค่การหยดเลือดพิสูจน์ฐานะไม่ใช่รึ? เหตุใดเจ้าต้องดูดเลือดของข้าไปมากมายถึงเพียงนี้?!’

หลิงหยุนได้แต่คิดว่าเขาคงต้องค่อยๆศึกษามันไป และแม้ว่ามันจะดูดเลือดของเขาอย่างตระกละตระกลาม แต่ก็ไม่ติดหนึบเหมือนเช่นพู่กันจักรพรรดิ เขาสามารถดึงมันออกได้ในทันทีหากต้องการให้มันหยุดเขาจึงไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรนัก!

 “เหล่ากุ่ย.. ท่านนั่งลงก่อน..”

หลิงหยุนบอกเหล่ากุ่ยที่ยังคงตื่นเต้นให้นั่งลง และตัวเขาเองก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม แต่มือข้างขวายังคงถือท่อนไม้ไว้เช่นเดิม

“เหล่ากุ่ย.. เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่านายน้อย มันหมายความว่าอย่างไร..?” หลิงหยุนจ้องหน้าเหล่ากุ่ยพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เหล่ากุ่ยเองก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาตื่นเต้น จู่เขาก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอีกครั้ง และค่อยๆพูดอย่างชัดเจน

“นายน้อย..  ข้ามีชื่อว่ากุ่ยจงหวู่ เป็นคนของตระกูลหลิง!”

หลิงหยุนเองก็ถึงกับตกใจจนแทบผุดลุกขึ้นจากโซฟาอีกครั้ง ‘เป็นตระกูลหลิงจริงๆด้วย!’

แม้หลิงหยุนจะคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากชัดๆจากปากของเหล่ากุ่ย เขาจึงอดที่จะตกใจไม่ได้!

“ภายในเวลาไม่กี่เดือนนายน้อยก็ได้รู้จักกับคนของตระกูลเกา  ตระกูลซัน  ตระกูลเฉิน ตระกูลหลง และตระกูลหลี่ ข้าว่าอีกไม่นานท่านคงจะรู้จักตระกูลใหญ่ครบทั้งเจ็ดตระกูล..”

เหล่ากุ่ยผ่อนลมหายใจเล็กน้อย.. เขายกเรื่องเจ็ดตระกูลใหญ่ขึ้นมาพูดก่อน เพื่อเป็นการปูทางให้หลิงหยุนสามารถยอมรับตระกูลหลิงได้..

เหล่ากุ่ยพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย..  หลิงหยุนไม่เพียงสนิทสนมกับเกาเฉินเฉินแห่งตระกูลเกา แต่ยังได้ลงมือสังหารซันเทียนเปียวแห่งตระกูลซัน  สังหารเฉินเจี้ยนเหยินแห่งตระกูลเฉินในป่าเสินหนงเจี๋ย ตบหน้าเฉินเจี้ยนโหยว อีกทั้งยังแย่งคู่หมั้นของหลงเทียนเจียว ฉีกหน้าหลงเทียนยู่ และหลี่ยั่วหมิงในงานวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง

แต่มีหนึ่งเรื่องที่เหล่ากุ่ยยังไม่รู้ก็คือ.. หลิงหยุนมีโอกาสได้พบกับน้องสาวของเขาซึ่งเป็นลูกของหลิงเสี่ยวมาก่อนแล้ว..

เรียกได้ว่าตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดในเมืองหลวงนั้น นอกเหนือจากตระกูลเย่ที่มักทำตัวเงียบๆแล้ว หลิงหยุนก็ได้พบกับสมาชิกของทั้งหกตระกูลมาแล้ว..

หลิงหยุนถอนลมหายใจก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “อืมม..น้าหญิงเล่าให้ข้าฟังบ้างแล้ว..”

แววตาของเหล่ากุ่ยดูเศร้าสร้อยอย่างมาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อว่า..

“นายน้อย.. ท่านเป็นลูกหลานของหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ ท่านเป็นทายาทของตระกูลหลิง และเป็นลูกของคุณชายสาม – หลิงเสี่ยว!”