ตอนที่ 560

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ผังเซี่ยงหมิงแห่งภูมิภาคตะวันตก

“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าตำหนักสมบัติวิญญาณจะจัดการแข่งขันขึ้นทุกๆสามปีหรือไม่ก็ห้าปีสินะ และหนึ่งในการแข่งขันก็คืองานประลองยุทธ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าพอจะมีใครมีฝีมือบ้าง?” ซือทู่ย่าวกล่าวเยาะเย้ย

แม้ทุกคนจะรู้สึกโมโหที่ถูกเยาะเย้ยและดูหมิ่นแต่ก็ไม่อาจผลีผลามตกลงสู่กับดัก

“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!” รุ่นเยาว์เลือดร้อนผู้หนึ่งโดดลงไป แต่พลังบ่มเพาะของรุ่นเยาว์คนนี้ยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับบุปผาผลิบาน ภายในพริบตาร่างของเขาก็กลายเป็นเศษเนื้อทันที

ซือทู่ย่าวโยนอาวุธวิญญาณของเจี่ยชางเล่นและหัวเราะออกไป “แม้เจ้าจะอ่อนแอ แต่อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่เลวเลย มันสามารถคุกคามได้แม้กระทั่งจอมยุทธระบุปผาผลิบานขั้นปลาย”

“คืนกระจกมา!” ใครบางคนกระโดดลงมาจากกำแพงและคำรามใส่ซือทู่ย่าว เขาคือชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุราวๆสี่สิบปี กลิ่นอายของเขายากที่จะหยั่งถึง

“เจ้าก็อายุปูนนั้นแล้ว แทรกแซงการต่อสู้ของรุ่นเยาว์จะไปสนุกอะไร!” ไป๋หยวนปล่อยฝ่ามือเข้าใส่ชายวัยกลางคน

ยิ่นเฉวยางลงมือต่อต้านการโจมตีของไป๋หยวน ‘ปัง’ เสียงปะทะอันรุนแรงดังขึ้นพร้อมกับการโจมตีของไป๋หยวนที่สลายไป ชายวัยกลางคนคนนั้นรีบล่าถอยทันที เขาคือจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณของตระกูลเจี่ย เขาอยากจะนำสมบัติกลับไปจนเกือบจะต้องทิ้งชีวิตตนเอง

“ฮ่าๆๆ” ไป๋หยวนหัวเราะ “ชายชราผู้นี้จะให้โอกาสเจ้า หากใครที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีสามารถชนะรุ่นเยาว์สิบคนของฝ่ายข้าได้หนึ่งครั้ง ชายชราผู้นี้จะยอมให้คนจำนวนสิบคนออกไปจากเมืองนี้ได้”

ยิ่นเฉวยางแสยะยิ้มดูถูกและพูด “คำพูดของเจ้าเชื่อถือได้รึไง??”

“เหอะ ชายชราผู้นี้จะสาบานต่อสวรรค์เลยก็ได้” ไป๋หยวนกล่าว มันยกมือขึ้นฟ้าและทำการสาบานต่อสวรรค์

คำสาบาญต่อสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่จะฝ่าฝืนได้

สีหน้าของทุกคนเริ่มปรากฏร่องรายความหวัง ขอแค่ชนะหนึ่งครั้งก็จะได้ตำแหน่งออกไปจากเมืองนี้สิบคน หากเป็นเช่นนั้นพวกเขากับตระกูลของก็จะสามารถออกไปจากรูปแบบอาคมสังหารนี้ได้

“ข้าจะสู้เอง!” ใครบางคนคำรามออกมาและโจมตีใส่ซือทู่ย่าว

“รนหาที่ตาย!” ซือทู่ย่าวแสยะยิ้ม ทหารซากศพทั้งสี่ตัวลงมือ ภายในพริบตาร่างของเจ้าของเสียงเมื่อครู่ก็ถูกแยกออกเป็นห้าส่วน

“ขอคนที่มีความสามารถหน่อย ไม่งั้นก็เสียเวลาเปล่าๆ” ศิษย์คนหนึ่งของนิกายพันศพกล่าวออกมา “พวกข้าไม่สนใจสังหารมดปลวก”

บนประตูเมือง เหล่ารุ่นเยาว์มองหน้ากันพร้อมกับแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด

“อวดดีอะไรเยี่ยงนี้!” รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมที่มีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ส่องแสงอยู่กลางหน้าผาก

แม้ตอนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเขาจะไม่โดดเด่น แต่เมื่อกลิ่นอายของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ภาพลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปดั่งดวงดาวที่เจิดจรัสบนท้องฟ้า

‘ฟุบ’ รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ากระลงไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมือง

“โอ้ คู่ต่อสู้คนนี้นับว่าใช้ได้” ซือทู่ย่าวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าจะขอรับร่างของเจ้าไปเป็นผู้ติดตามแล้วกัน!”

รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายกมือขวาขึ้นโดยที่ข้อมือของเขามีกระดิ่งสีเงินห้อยเอาไว้ เขามองไปยังซือทู่ย่าวและพูด “ถ้าข้าชนะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าออกไปจากเมืองนี้ แต่เจ้าต้องคุกเข่าก้มหัวต่อหน้าข้าสามครั้ง”

ใบหน้าของซือทู่ย่าวเปลี่ยนไปเป็นมืดมน “ช่างปากดีนัก! หลังจากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าจะทำให้เห็นเองว่าตัวเจ้ามันอ่อนด้อยขนาดไหน!”

รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายิ้มเล็กน้อย “เข้ามา ข้าจะให้เจ้าจู่โจมก่อนสามกระบวนท่า”

“โอหัง!” ซือทู่ย่าวเค้นเสียง “จัดการ!” ทหารซากศพทั้งสี่ตัวพุ่งโจมตีใส่รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าอย่างรวดเร็ว

ท่าทางของรุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายังคงสงบนิ่ง มือขวาของเขาผลักออกไปด้านหน้าทำให้ทหารซากศพทั้งสี่ตัวหยุดชะงักพร้อมกันราวกับถูกหยุดเวลา

“อะไรกัน!” ทุกคนอุทานออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลิงฮันกระตุ้นใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมเพื่อตรวจสอบ

ร่างของทหารซากศพทั้งสี่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยเส้นด้าย เส้นด้ายเหล่านั้นมัดพวกมันเอาไว้แน่นจนไม่สามารถขยับต่อได้ ตอนแรกหลิงฮันคิดว่าด้ายเหล่านั้นคือทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต แต่เมื่อลองดูดีๆจึงพบว่าด้ายเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นจากปราณก่อเกิด

ปราณก่อเกิดที่ควบแน่นเป็นรูปร่างจนสามารถผูกมัดศัตรูได้ ช่างน่าอัศจรรย์!

รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าขยับมืออีกครั้ง ทันใดนั้นทหารซากศพทั้งสี่ก็เคลื่อนไหวราวกับเป็นหุ่นเชิด มันเคลื่อนไหวเองโดยไม่รู้ตัวอย่างตะกุกตะกักทำให้ดูไปแล้วน่าขบขันมาก

ทหารซากศพทั้งสี่มีพลังต่อสู้เทียบได้กับระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า แต่กลับถูกรุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าควบคุมได้ แข็งแกร่งยิ่งนัก!

“เขาคือใครกัน ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้”

“ใช่แล้ว เขาคือตัวแทนร่วมแข่งขันประลองยุทธของตำหนักสมบัติวิญญาณสาขาภูมิภาคตะวันตก รู้สึกว่าจะชื่อผังเซี่ยงหมิง”

“ใช่แล้ว ชื่อของรุ่นเยาว์คนนั้นคือผังเซี่ยงหมิง”

“แข็งแกร่ง!”

ทุกคนอุทานออกมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมีมองออกว่าผังเซี่ยงหมิงใช้ปราณก่อเกิดที่เกิดจากธาตุทั้งสี่ควบแน่นเป็นเส้นด้าย แต่เพราะพวกเขาไม่รู้ จึงทำให้รู้สึกว่าผังเซี่ยงหมิงดูลึกลับขึ้นไปอีก

หลิงฮันพยักหน้า เส้นด้ายที่ควบคุมด้วยฝ่ามือนั่นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ผังเซี่ยงหมิงเองก็คงไม่สามารถใช้มันออกมาได้อย่างง่ายดายนัก เพราะอย่างไรทหารซากศพก็เทียบเท่าได้กับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าสี่คน แต่พลังบ่มเพาะของผังเซี่ยงหมิงคือระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าเท่านั้น

การตรึงร่างของศัตรูเอาไว้สี่คนอาจจะเกือบถึงขีดจำกัดของผังเซี่ยงหมิงแล้ว

“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งมากรึไง!” แม้ซือทู่ย่าวจะตกตะลึงในตอนแรก แต่มันกับทหารซากศพทั้งสี่นั้นมีสัมผัสที่เชื่อมโยงกัน มันจึงรู้ว่าอีกกำลังฝืนแรงตรึงร่างของทหารซากศพอยู่

‘ฟุบ’ ผ่านไปไม่นานทหารซากศพทั้งสี่ก็หลุดออกจากการผูกมัดและพุ่งเข้าใส่ผังเซี่ยงหมิง

ผังเซี่ยงหมิงไม่เกรงกลัว เขาเคลื่อนไหวมือราวกับร่ายรำเพื่อสร้างเส้นด้ายขึ้นมาอีกครั้งทำให้ทหารซากถูกผูกมัดและโดนจับเหวี่ยงออกไป

ผังเซี่ยงหมิงคำรามและเข้าร่วมต่อสู้

“ซากศพชักนำโลกา!” มันคำรามปลดปล่อยหมอกปราณซากศพที่มีความสามารถในการกัดกร่อนออกมา

“คิดว่าของแบบนั้นจะใช้กับข้าได้ผล?” ผังเซี่ยงหมิงแสยะยิ้ม เขาควบแน่นปราณก่อเกิดสร้างขึ้นเป็นโล่คุ้มกายเพื่อป้องกันหมอกปราณซากศพ เขาคือจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นห้า แน่นอนว่าปราณก่อเกิดของเขาจะต้องหนาแน่นกว่าซือทู่ย่าว และปราณซากศพจะไม่สามารถผ่านโล่ปราณก่อเกิดของเขาเข้ามาได้

ซือทู่ย่าวหัวเราะและพูด “ข้าไม่ได้ใช้เพื่อโจมตีเจ้า!”

เมื่อซือทู่ย่าวพูดเสร็จ ดวงตาของทหารซากศพทั้งสี่ก็ส่องแสงสว่างสีแดงสด กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมากลายเป็นรุนแรงกว่าเดิม ‘ปัง’ ร่างของมันทำลายการผูกมัดของผังเซี่ยงหมิงและพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

ผังเซี่ยงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากดูดซับปราณซากศพเข้าไปพลังต่อสู้ของทหารซากศพได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งดาว ซึ่งนับว่าสร้างแรงกดดันให้กับผังเซี่ยงหมิงได้ไม่น้อย