ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 54 เจ๋อหลีบังเอิญพบกันอีกครั้ง (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

เงาร่างอันคุ้ยเคยที่อยู่ข้างใน ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ใบหน้าหล่อเหลาสับสนลังเล สายตาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาพยามยามควบคุมความรู้สึกตนเองอย่างสุดความสามารถ น้ำเสียงกลับสะท้อนความร้อนรนเล็กน้อย “ซูซู…”

ซูหลีจ้องหน้าตงฟางเจ๋อเนิ่นนาน แล้วก็หันกลับมามองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่ดูกระวนกระวายเล็กน้อย จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังกระดานหมากที่ยังไม่ตัดสินแพ้ชนะด้านล่างหน้าต่างบานนั้น ความรู้สึกเจ็บแปลบพลันบังเกิดตรงหน้าอก นางผงะถอยหลังสองก้าว สูดหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า “พวก พวกท่าน…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเข้าไปกุมมือนาง แล้วขานเรียกด้วยความร้อนรน “ฉางเล่อเจ้าอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด สองวันก่อนข้ากลับมาเซ่นไหว้วิญญาณเสด็จพ่อ ถึงได้รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่ได้ไปจากแคว้นติ้ง เพื่อสืบหาความจริง เขาจึงไม่วางใจให้เจ้าสู้เพียงลำพัง เขาทำเพื่อเจ้า ข้าเองก็จนใจ จึงทำได้เพียงให้เขาซ่อนตัวอยู่ในจวน…”

“เหตุใดจึงไม่บอกข้า?” ซูหลีสะบัดมือนางออกแรงๆ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงปวดใจ “เจ้ากลับมาที่จวนสามวันแล้ว เหตุใดจึงไม่บอกข้า ว่าเขาอยู่ในจวนเจ้า?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอ้าปาก เอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้า…”

ซูหลีกล่าวอย่างปวดใจ “ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนสนิท มีเรื่องใดก็บอกเจ้าเสมอ ไม่เคยปิดบัง นึกไม่ถึง เจ้ากลับไม่เชื่อใจข้า?”

ตงฟางเจ๋อก้าวเท้าเข้ามา กล่าวเสียงขรึมว่า “เป็นข้าที่ไม่ให้นางบอกเจ้า เจ้าอย่าโทษท่านหญิงเลย”

“ดี ดีเหลือเกิน!” ร่างกายของซูหลีสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม นางเอ่ยเสียงสั่น “คนหนึ่งคือคนรักของข้า อีกคนเป็นเพื่อนสนิทของข้า ยามนี้กลับร่วมมือกัน…ปิดบังข้าเสียสนิท สำหรับพวกท่าน ข้าคงไม่สำคัญเลยกระมัง?”

“ฉางเล่อ ข้าขอโทษ ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรปิดบังเจ้า ทำให้เจ้าเสียใจถึงเพียงนี้” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าว น้ำตาคลอเบ้า นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง พยายามเดินเข้ามากุมมือซูหลี แต่ซูหลีกลับเบี่ยงหลบ

“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อขานเรียกด้วยความร้อนใจ เขาดึงมือนาง จ้องตรงเข้าไปในดวงตานาง แล้วกล่าวทีละคำอย่างหนักแน่น “เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ข้าเองก็กลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วง จึงได้ตัดสินใจไม่บอกเจ้า ไม่ใช่เพราะมีเจตนาปิดบังเจ้าแน่นอน!”

ครั้นเห็นทั้งสองมีปากเสียงกัน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลอบถอนหายใจ นางถอยออกไป และปิดประตูห้องเงียบๆ

คำว่า ‘ปิดบัง’ กลับบาดหูซูหลียิ่งนัก

นางสะบัดมือเขาออก สูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง แต่กลับไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดในใจได้ “หลายวันมานี้ ข้าเคยคิดนับครั้งไม่ถ้วน ท่านกับข้าจะได้พบกันอีกเมื่อใด แต่กลับนึกไม่ถึงแม้แต่น้อย ว่าจะได้พบกันที่นี่…”

ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แล้วคิดว่าข้าไม่อยากพบเจ้าเร็วๆ หรืออย่างไร?! แต่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าตั้งใจยุแยงให้สองแคว้นแตกคอกัน ยามนี้ความจริงยังไม่กระจ่าง หลางฉ่างก็เอ่ยปากขับไล่ข้า ข้าเองก็หมดหนทาง จึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้! หากเจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ไปจากที่นี่ เจ้าจะเผชิญหน้ากับหลางฉ่างเช่นไร? ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจ ยิ่งไม่อยากปล่อยให้เจ้าต้องเผชิญหน้าเรื่องทั้งหมดนี้เพียงลำพัง”

ซูหลีจ้องหน้าเขา ตะลึงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้อย่างนั้น ท่านก็ไม่ควรปิดบังข้า หากมิใช่เสียงกระบี่ขับขานดังขึ้น ท่านก็ยังจะไม่บอกข้าว่าท่านอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”

ตงฟางเจ๋อเงียบงัน ไม่ตอบคำถาม ปฏิกิริยาของเขา ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง

เขาเคยบอกนางว่า ใต้ฟ้านี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่เขาเชื่อใจได้ทั้งหมด แต่เหตุใดทั้งที่วาจายังคงชัดเจนอยู่ในหู แต่ความเชื่อใจที่มีเพียงหนึ่งเดียวนี้ กลับหมดสิ้นความหมายไปเสียแล้วเล่า?

นางรู้ว่าเขาไม่มีทางทรยศนาง มิเช่นนั้นกระบี่ประกายแสงดุจสายน้ำคงไม่มีทางขับขานร่วมกัน แล้วนางก็รู้ด้วยว่าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเป็นคนเช่นไร นางไม่มีทำเรื่องเลวทรามเช่นการแย่งชิงคนรักอย่างนี้แน่นอน

แต่ทำไม นางถึงได้รู้สึกทรมานหัวใจถึงเพียงนี้?

ซูหลีจ้องมองดวงตาของตงฟางเจ๋อ นึกถึงคำสาบานที่เคยให้ไว้ในงานเลี้ยงว่าจะไม่มีวันปิดบังกันอีก จู่ๆ ก็พลันบังเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา นางผงะถอยหลังหนึ่งก้าว

แววเศร้าสร้อยในดวงตานางทำให้เขาปวดใจ เขาก้าวไปหานาง รั้งตัวนางเข้ามากอดแน่นๆ แววตาเจ็บปวดชัดเจนไม่ต่างกัน เขากัดฟันกล่าวว่า “เจ้าโกรธที่ข้าไม่ได้บอกความจริงกับเจ้า เป็นความผิดข้าเอง! แต่เหตุใดเจ้าต้องรับปากหมั้นหมายกับเซียงซืออวี่ด้วย? เคยคิดถึงความรู้สึกของข้าหรือไม่?!”

ซูหลีเม้มปากแน่น นางเบือนหน้าหนีอย่างอัดอั้นตันใจ ประกายน้ำตารื้นขึ้นที่หางตา

“พี่สาวอวิ๋นฮุ่ย!” เสียงสดใสร่าเริงของฮั่วเสี่ยวหมานพลันดังมาจากลานด้านนอก

ซูหลีพลันกลั้นหายใจ รีบหันไปจ้องหน้าตงฟางเจ๋อ

วินาทีถัดมา ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยผลักประตูเข้ามา แล้วตะโกนด้วยความร้อนใจ “เร็วเข้า รีบเข้าไปหลบข้างใน! เสี่ยวหมานมาแล้ว!” เอ่ยจบ นางก็เปิดประตูห้องด้านใน แล้วดันทั้งสองเข้าไป ก่อนจะรีบปิดประตูทันที

ประตูห้องถูกปิดสนิท แสงไฟมืดสลัว

ซูหลีขุ่นเคืองยากจะสงบ หันหลังให้บุรุษที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างดื้อรั้น ตงฟางเจ๋อกลับตามติดเหมือนเงา ก้าวเท้าเข้ามา แล้วรั้งตัวนางเข้าไปกอดแน่นๆ จากข้างหลัง

ซูหลีกัดฟันขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่อาจหลุดพ้น นางไม่กล้าวู่วามทำอะไร กลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยินเสียง อีกอย่างไม่รู้ว่าแผลที่ไหล่เขาหายดีแล้วหรือยัง

แผงอกกว้างที่แนบชิดแผ่นหลังนางกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็กำลังพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองเช่นกัน ลมหายใจของเขาเฉียดผ่านใบหูนางเบาๆ แก้มอุ่นๆ แนบชิดกับพวงแก้มของนาง ผิวกายสัมผัสผิวกาย พลันทำให้หัวใจนางสั่นไหวไปชั่วชณะ

“จากกันหลายวัน อุตส่าห์ได้พบกันทั้งที ซูซูอยากทะเลาะกับข้าจริงหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ มิอาจปกปิดความโศกเศร้าในใจ

ซูหลีพลันใจอ่อนทันที ทว่ากลับยังคงรู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก นางเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบคำถาม ปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้น เงียบงันไม่พูดอะไร

มีประตูบานหนึ่งกั้นอยู่ ได้ยินเพียงเสียงของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดังเข้ามารางๆ นางยิ้มแล้วถามว่า “อีกสองวันก็จะถึงวันอภิเษกสมรสแล้ว เหตุใดวันนี้หมานเอ๋อร์จึงมีเวลาแวะเวียนมาได้เล่า?”

ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวอย่างออดอ้อน “ไม่ได้เจอพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยหลายวันแล้ว หมานเอ๋อร์คิดถึงท่านอย่างไรเล่า!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้ม “เจ้าช่างพูดจาเอาใจคนเก่งจริงๆ ในวังใครบ้างไม่รู้ว่า หมานเอ๋อร์มีแต่องค์รัชทายาททั้งหัวใจ ยามนี้สมปรารถนาแล้ว หมานเอ๋อร์ดีใจหรือไม่?”

ฮั่วเสี่ยวหมานบิดตัวไปมา ยิ้มเคอะเขิน “บอกพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยตรงๆ หมานเอ๋อร์ดีใจ…ดีใจมากๆ จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่เลย” ผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับถอนหายใจ เสียงแผ่วลงหลายส่วน “หมานเอ๋อร์รู้ดี ถึงแม้หมานเอ๋อร์กับพี่ชายรัชทายาทหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ในสายตาพี่ชายรัชทายาท หมานเอ๋อร์กลับไม่เคยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับตำแหน่งฮองเฮาเลย ลึกๆ ในใจเขา…น่าจะหมายปองพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยมากกว่า…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวเสียงเบา “หมานเอ๋อร์อย่าพูดจาส่งเดช เจ้าสดใสร่าเริง ทั้งยังเฉลียวฉลาด องค์รัชทายาทจะไม่ชอบเจ้าได้เช่นไรเล่า?”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้องบอก “เป็นอย่างนั้นจริงๆ! หลายครั้ง หมานเอ๋อร์เห็นสายตาที่พี่ชายรัชทายาทมองท่าน…ไม่ทราบว่าพี่สาวจะยอม…”

“หมานเอ๋อร์!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตัดบทนางเสียงเบา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเจ้ามาด้วยเรื่องหาพระชายารองให้องค์รัชทายาท เช่นนั้นพี่สาวคงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”

ฮั่วเสี่ยวหมานถามอย่างผิดหวัง “ทำไมเล่า…พี่ชายรัชทายาทดีถึงเพียงนั้น เหตุใดพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยจึงไม่ยอม…”

สองคนในห้องด้านในได้ยินอย่างชัดเจน ซูหลีอดลอบถอนใจไม่ได้ ฮั่วเสี่ยวหมานมีนิสัยเอาแต่ใจมาโดยตลอด แต่เพื่อเอาอกเอาใจเสด็จพี่ นางเป็นฝ่ายปรับปรุงตนเอง ยอมเปลี่ยนนิสัย ตอนนี้ถึงขั้นพิจารณาเรื่องรับสนมเพื่อเติมเต็มวังหลังให้เขาล่วงหน้าแล้ว นางคาดเดาความต้องการของเขา ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพึงพอใจ ดูท่าความรักที่นางมีต่อเสด็จพี่ คงถลำลึกจนถึงจุดที่ไม่อาจถอนตัวได้แล้ว มิเช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายตีสนิทอวิ๋นฮุ่ยก่อนหรือ? เพียงน่าเสียดาย…แม้กษัตริย์หมายปอง แต่สาวงามกลับไม่มีใจ

เป็นไปตามคาด ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สำหรับอวิ๋นฮุ่ย องค์รัชทายาทเปรียบเสมือนพี่ชาย หมานเอ๋อร์ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว งานอภิเษกสมรสใกล้เข้ามาแล้ว หมานเอ๋อร์คงมีเรื่องให้ต้องทำมากมาย อย่างไรเชิญกลับไปก่อนเถิด” ท่าทางนางดูลนลาน คล้ายต้องการให้ฮั่วเสี่ยวหมานรีบกลับไปเร็วๆ

ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “พี่สาวโกรธหมานเอ๋อร์หรือ? หมานเอ๋อร์ขอโทษ หมานเอ๋อร์เพียงอยากให้พี่ชายรัชทายาทดีใจ ถึงได้มาถามความเห็นของพี่สาว…”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “พี่สาวไม่ได้โกรธเจ้า ยามนี้เจ้ารู้จักใส่ใจเขา เรียนรู้ที่จะรักคนคนหนึ่งอย่างแท้จริง พี่สาวมีแต่จะดีใจแทนเจ้า แต่การต้องใช้ชีวิตอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลัง มิใช่ความปรารถนาของข้า ชีวิตนี้ อวิ๋นฮุ่ยเพียงต้องการอยู่เคียงคู่กับบุรุษที่มีอวิ๋นฮุ่ยเพียงผู้เดียว…”

“อยู่เคียงคู่กับบุรุษที่มีท่านเพียงคนเดียว…” ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ที่แท้พี่สาวก็ชอบบุรุษเช่นฮ่องเต้แคว้นเฉิง…”

——————————————–