ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 55 เจ๋อหลีบังเอิญพบกันอีกครั้ง (4)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

วาจาไม่ตั้งใจเพียงประโยคเดียว กลับทำให้สองคนที่อยู่ในอีกห้องหนึ่งสะท้านไปทั้งใจ ซูหลีหันกลับไปมองเขาโดยสัญชาตญาณ ดวงหน้ายากแท้หยั่งถึงของบุรุษยังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ในดวงตาดำขลับลึกล้ำที่จ้องมองนาง เต็มไปด้วยความเสน่หามากมาย หัวใจของนางสั่นไหว คิดจะผลักเขาออก นึกไม่ถึงเขากลับไม่ยอมให้ขัดขืนแม้แต่น้อย ยิ่งกอดนางแน่นกว่าเดิม

“หมานเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” น้ำเสียงหนักแน่นของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยค่อยๆ ใกล้เข้ามา นางกล่าวเสียงดังฟังชัด “โลกนี้บุรุษส่วนใหญ่ล้วนมีหลายภรรยา ชีวิตนี้นอกจากท่านพ่อ ข้าก็ยังไม่เคยเห็นบุรุษใดรักเดียวใจเดียวอีก ฉางเล่อกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง เป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์ลิขิตมา อวิ๋นฮุ่ยยอมรับว่ารู้สึกดีกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงจริง แต่ไม่เคยคิดเป็นอื่นแม้แต่น้อย มีแต่ความเลื่อมใสเท่านั้น!” นางเอ่ยทุกถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและดังกังวาน คล้ายต้องการอาศัยโอกาสนี้แสดงความคิดของตนเองให้คนที่อยู่ในห้องด้านในได้ยิน

ซูหลีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอวิ๋นฮุ่ยต้องการปลอบใจนาง นาง…เป็นห่วงความรู้สึกของซูหลีมากจริงๆ และนางก็ให้ความสำคัญกับมิตรภาพที่อันล้ำค่าและหายากนี้มาก ความคิดอันสับสนวุ่นวายพลันจางลงหลายส่วน

ฮั่วเสี่ยวหมานถามอย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดฉางเล่อยังต้องรับปากหมั้นหมายกับเซียงซืออวี่อีกเล่า?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “ฉางเล่อ…มีเหตุผลของนางเอง ข้าเชื่อว่าหากฮ่องเต้แคว้นเฉิงรู้เรื่องนี้ จะต้องเข้าใจความลำบากใจของนางแน่นอน!”

ฮั่วเสี่ยวหมานกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่สาวอวิ๋นฮุ่ย หมานเอ๋อร์ยังมีเรื่องที่ต้องการคำชี้แนะจากพี่สาว…”

เสียงสนทนาของสองสาวไกลออกไปเรื่อยๆ เดาว่าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยคงจงใจดึงฮั่วเสี่ยวหมานให้ออกห่างจากที่นี่

ครั้นสัมผัสได้ว่าสตรีในอ้อมกอดไม่ขัดขืนอีก ตงฟางเจ๋อจึงกอดนาง แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เขาเชยคางนางขึ้น มองเข้ามาในดวงตาขาวดำแยกชัดของนาง กล่าวเสียงเบาว่า “ซูซูมีเรื่องลำบากใจ เหตุใดจึงไม่บอกข้าตรงๆ เล่า? ที่เจ้ารับปากหมั้นหมายกับเซียงซืออวี่ เพราะเสด็จพ่อของเจ้าหรือ?”

ตงฟางเจ๋อได้ยินบทสนทนาระหว่างอวิ๋นฮุ่ยกับฮั่วเสี่ยวหมาน จึงคาดเดาสาเหตุที่นางยอมหมั้นหมายได้รางๆ

แพขนตาของซูหลีกระเพื่อมเบาๆ นางเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็กล่าวเสียงปนสะอื้น “ช่วงก่อนที่ความร่วมมือระหว่างสองแคว้นล้มเหลว เสด็จพ่อกริ้วจนล้มป่วย โชคดีที่เกล็ดเงือกในมือเซียงซืออวี่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เจียงหยวนบอกว่าเขา…อาจเหลือเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของเสด็จพ่อก็คือต้องการให้ข้าหมั้นหมายกับเซียงซืออวี่ จึงจะสามารถวางใจได้…ข้า…”

 นางปวดแปลบในใจ จู่ๆ ก็เงียบไป ไม่อาจพูดต่อไปอีก รู้ทั้งรู้ว่าเขาหนักแน่นมั่นคง ยอมถอยครั้งแล้วครั้งเล่า และทำเพื่อนางขนาดไหน! แต่นาง กลับไปหมั้นหมายกับบุรุษอื่นโดยที่เขาไม่รู้! แม้เป็นแค่การแสดง แต่ก็ยังคงรู้สึกผิด

ความละอายใจพรั่งพรูในหัวใจ แต่น้ำเสียงกลับแข็งกร้าวเล็กน้อย “ถูกต้องแล้ว เพื่อทำให้เสด็จพ่อสบายใจ ข้าหมั้นหมายตามที่เขาต้องการจริงๆ ข้าไม่ได้ปรึกษากับท่านก่อน เพราะคิดว่าท่านไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงแคว้นติ้ง! ถึงแม้ข้ารับปากเสด็จพ่อแล้ว แต่เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่รับรู้ อนาคตยังมีโอกาสพลิกผัน แต่ท่านเล่า…”

ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงเบา “ซูซูกำลังตำหนิข้าหรือ? ฮ่องเต้แคว้นติ้งประชวรหนัก ซูซูจะต้องอยู่เฝ้าข้างกายไม่ยอมห่าง กินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน ข้ามิอาจอยู่ข้างกายเจ้า ช่วยเจ้าแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อย เป็นความผิดของข้าเอง”

ซูหลีใจอ่อน “ท่านไปจากเมืองหลวงแคว้นติ้งเพราะคำสั่งของเสด็จพี่ ยามนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จะปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นอีกได้อย่างไรเล่า? เสด็จพ่อประชวรหนัก ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านคิดว่าข้าจะตำหนิท่านที่ท่านไม่ได้อยู่ข้างกายข้าหรือ? ข้าเพียงแต่…เพียงแต่…”

ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านางอย่างไม่ละสายตา “เพียงแต่อะไรหรือ?”

ซูหลีสะบัดมือเขาออก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ปิดบังกันอีก ข้าหรือทุกข์ใจอยู่ในวังทั้งวันทั้งคืน แต่ดูท่านสิ! กลับมาซ่อนตัวอยู่ในจวนแม่ทัพ คงวางแผนไว้แต่แรกแล้วกระมัง!”

ตงฟางเจ๋อดึงมือนางมากุม ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ให้ข้าจากเจ้าไป ไม่มีทางเสียหรอก เหมือนอย่างที่เจ้าว่า ยามนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แต่ละเหตุการณ์ล้วนมีเป้าหมายทำให้เราทั้งสองแคว้นไม่อาจร่วมมือกัน ข้าจะรามือง่ายๆ ไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ข้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เพราะต้องการหาโอกาสสืบเบาะแสให้ได้มากกว่านี้”

ซูหลีถอนหายใจ จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงเบา “ความจริงข้าน่าจะเดาได้แต่แรก ด้วยนิสัยของท่าน จะยอมไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน? หากยังจับตัวผู้อยู่เบื้องหลังไม่ได้ มีหรือท่านจะยอมรามือ? เช่นนั้นท่านลองบอกข้ามา ท่านปิดบังข้ามาตั้งนาน สืบอะไรได้บ้างแล้ว?”

เขารั้งนางเข้ามากอด กล่าวด้วยสายตาเคร่งขรึม “ข้าเจอเบาะแสในเหตุการณ์ระเบิดที่โรงหล่อแล้ว แต่ยังต้องการเวลาอีกสักหน่อย…”

ซูหลีดีใจ หมายจะเอ่ยปากถามรายละเอียด จู่ๆ กลับได้ยินฮั่วเสี่ยวหมานร้องด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อ! มาได้อย่างไรเจ้าคะ?”

ฮั่วถิงชวน?!

ซูหลีตกตะลึง นางลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว ตงฟางเจ๋อรีบกุมมือนาง ส่งสายตาเตือนนางว่ามิอาจกระทำการวู่วาม ทั้งสองตั้งใจฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก ได้ยินเพียงสียงฝีเท้าวุ่นวายดังมาจากนอกห้องหนังสือ คล้ายมีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในจวนซั่งกวน แล้วล้อมห้องหนังสือเอาไว้อย่างแน่นหนา

ฮั่วถิงชวนยืนอยู่นอกห้องหนังสือ กวาดตามองไปรอบทิศ สุดท้ายก็หยุดจ้องที่ป้ายหน้าประตู ‘หอจิ้งซิน’ อักษรสามตัวที่ถูกเขียนด้วยลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท โดดเด่นสะดุดตาอยู่เหนือประตู แสดงให้เห็นว่าจวนแห่งนี้เคยรุ่งเรืองถึงขนาดไหน ในอดีตซั่งกวนเจิ้งเต๋อมีอำนาจทหารอยู่ในมือ ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท จวนซั่งกวนมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ยามนี้เขาจากไปแล้ว เหลือเพียงบุตรสาวที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงลำพัง แม้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่ก็เป็นเพียงสตรีอ่อนแอนางหนึ่ง มีเพียงตำแหน่งท่านหญิง ประตูจวนเงียบเหงาร้างไร้เงาผู้คน

ฮั่วถิงชวนแค่นเสียงอย่างดูแคลน จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบเดินไปขวางหน้าเขา หันไปมองเหล่าทหารที่ยืนอยู่เต็มสวนด้วยสายตาตกตะลึง แล้วถามเสียงขรึม “ฉางผิงโหวคิดจะทำอะไร?”

ฮั่วถิงชวนไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง สายตาจับจ้องไปที่บานประตูห้องด้านในห้องหนังสือ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าได้ข่าวว่าผู้ต้องสงสัยก่อเหตุระเบิดโรงหล่อซ่อนตัวอยู่ที่จวนแม่ทัพแห่งนี้! ทหาร ค้นให้ทั่ว!”

“ช้าก่อน!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “ท่านโหวจะค้นจวน มีพระราชโองการจากฝ่าบาทหรือไม่?”

ฮั่วถิงชวนท่าทางหงุดหงิด “จับตัวผู้ต้องสงสัยเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้ามีเวลาเข้าวังไปขอพระราชโองการเสียที่ไหน! รอให้จับตัวคนได้ก่อน ค่อยอธิบายให้ฝ่าบาทฟังก็ยังไม่สาย! หลีกไป!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยืนนิ่งไม่ไหวติง ฮั่วถิงชวนสีหน้าขรึมลง โบกมือออกคำสั่ง ทหารในลานสวนตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตวาดเสียงดัง “บังอาจ!! ข้าเป็นท่านหญิงที่ถูกแต่งตั้งโดยฝ่าบาท ท่านพ่อของข้าเคยเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งในราชสำนัก หากไม่มีรับสั่งของฝ่าบาท ผู้ใดกล้าล่วงเกิน!”

สตรีที่ท่าทางอ่อนโยนสง่างามเสมอมาจู่ๆ ยามนี้กลับกล่าววาจาเฉียบขาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เหล่าทหารด้านนอกต่างพากันชะงักฝีเท้าทันที

ในที่สุดฮั่วถิงชวนก็หันมามองนาง แค่นยิ้มแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “ไม่เสียแรงที่เป็นทายาทรุ่นหลังของท่านแม่ทัพ ครั้นแผลงฤทธิ์กลับมีส่วนคล้ายซั่งกวนเจิ้งเต๋อในอดีตอยู่ไม่น้อย เพียงน่าเสียดาย ซั่งกวนเจิ้งเต๋อตายไปสิบกว่าปีแล้ว คิดจะใช้แม่ทัพขั้นหนึ่งที่ตายไปแล้วเหลือเพียงชื่อมาขวางทางข้า ไร้สาระสิ้นดี!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยทั้งตกตะลึงระคนเดือดดาล ในชีวิตนาง นางเคารพรักบิดาของตนเองมากที่สุด ทว่าคนตรงหน้ายามเอ่ยถึงนามบิดาของนาง วาจากลับเต็มไปแววดูแคลน ไร้ซึ่งความเคารพให้เกียรติ นางสั่นไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุม กล่าวอย่างขึ้งเคียด “ท่านพ่อของข้าออกรบกับศัตรูเพื่อบ้านเมือง เมื่อใดที่ฝ่าบาทเอ่ยถึงท่านพ่อยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ซ้ำยังเคยพระราชทานนาม ‘จงอี้’ อันมีความหมายว่าจงรักภักดี ให้เหล่าขุนนางเซ่นไหว้ด้วยความเคารพ ห้ามดูหมิ่นเด็ดขาด วันนี้ท่านโหวพาทหารมาบุกจวนของข้า กล่าววาจาดูหมิ่นผู้ล่วงลับ ช่างไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง!”

ฮั่วถิงชวนขมวดคิ้ว คล้ายเริ่มหมดความอดทน เขากล่าวเสียงเข้ม “พ่อเจ้าเป็นขุนนางที่ภักดีต่อบ้านเมือง ข้าเชื่อว่าหากเขายังอยู่ จะไม่มีทางขัดขวางข้าจับตัวผู้ต้องสงสัยอย่างแน่นอน!”

ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสบตากัน ใบหน้าฉายแววกังวลอย่างไม่ได้นัดหมาย ได้ยินมานานว่าฮั่วถิงชวนเย่อหยิ่งถือดี นอกจากฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอีก วันนี้ถือว่าได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว!

“ท่านพ่อ!” ครั้นเห็นฮั่วถิงชวนเอ่ยวาจาไร้ความยำเกรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฮั่วเสี่ยวหมานอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามา แล้วกล่าวว่า “หมานเอ๋อร์คุยกับพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยอยู่นาน ก็ยังไม่เห็นผู้ต้องสงสัยใดเลย ท่านพ่ออย่าเข้าใจพี่สาวอวิ๋นฮุ่ยผิดนะเจ้าคะ!”

ฮั่วถิงชวนเอ่ยอย่างถือดี “หมานเอ๋อร์ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ถอยไปยืนด้านข้าง! ทหาร ค้นให้ทั่ว!”

เขาออกคำสั่ง เหล่าทหารไร้ความเกรงกลัวอีก วิ่งตรงเข้าไปในห้องด้านในทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตวาดเสียงดัง นางรีบหยิบกระบี่เล่มนั้นลงมาจากผนัง แล้วยืนขวางอยู่ด้านหน้าห้องด้านใน จ้องหน้าฮั่วถิงชวน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กระบี่เล่มนี้ เป็นกระบี่ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านพ่อข้า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแม้เป็นเพียงสตรีบอบบาง แต่ก็ยึดถือหลักฆ่าได้ หยามไม่ได้เช่นกัน! วันนี้หากท่านโหวคิดจะบุกรุกค้นจวน เช่นนั้นก็ข้ามศพอวิ๋นฮุ่ยไปก่อน!” นางกล่าวแต่ละคำด้วยน้ำเสียงแช่มช้า น้ำเสียงเยือกเย็นสุขุม สะท้อนแววเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น

“พี่สาวอวิ๋นฮุ่ย!” ฮั่วเสี่ยวหมานตะโกนเสียงดัง “นี่ นี่มันมิใช่กระบี่ของแม่ทัพซั่งกวนหรอกหรือ?!”

ซูหลีกับตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ ต่างมองเห็นสายตาตกตะลึงจากดวงตาของอีกฝ่าย

ฮั่วถิงชวนมองกระบี่เล่มนั้น แววสงสัยพาดผ่านดวงตา แค่นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางข้าไม่ให้ค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยในจวนนี้ เพราะเหตุใดกันแน่?! หรือเจ้าร้อนตัว? ทหาร เชิญท่านหญิงออกไป! แล้วค้นให้ทั่ว! วันนี้ข้าจะค้นจวนแห่งนี้ให้ทั่วทุกซอกทุกมุม!”

ครั้นเห็นเหล่าทหารกรูกันเข้ามา ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชักกระบี่ออกจากฝักด้วยความเดือดดาล “ผู้ใดกล้ากำเริบเสิบสาน?!”

ฮั่วเสี่ยวหมานร้อนรน ขานเรียกเสียงหลง “ท่านพ่อ!”

ใบหน้าซูหลีตึงเครียด นางสาวเท้าเดินไปที่ประตูห้องทันที ตงฟางเจ๋อกลับรั้งมือนาง แล้วส่ายหน้าช้าๆ

ซูหลีร้อนใจ เขากลับยิ้มแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าใจร้อน…”

ยามนี้ ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย คล้ายมีทหารเข้าไปคุมตัวอวิ๋นฮุ่ย แต่ถูกฮั่วเสี่ยวหมานขวางทาง ฮั่วถิงชวนสาวเท้าเดินมาด้านนอกประตูห้องที่พวกเขาสองคนอยู่ ยกมือหมายจะผลักประตูเข้ามา!

พลันนั้น เสียงคนผู้หนึ่งพลันดังขึ้น “ฉางผิวโหวช่างมากอำนาจบารมี! แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจทัดเทียม!”

ฮั่วเสี่ยวหมานทั้งตกใจ ทั้งดีใจ “พี่ชายรัชทายาท!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตะโกนเรียกเสียงสั่น “องค์รัชทายาท!”

                                           ————————-