69 ท้าประลอง

ปล้นสวรรค์

SPH:บทที่ 69 ท้าประลอง

เย่หยูดึงลู่ซิงซินมาที่ด้านหลัง แล้วมองผู้วิเศษหลิวด้วยสายตาเยียบเย็น “คุณหลอกคนบางคนได้ แต่คุณแตะต้องบางคนไม่ได้” หัวใจของลู่ซิงซินเป็นเหมือนสายน้ำ และรูปร่างของเธอเหมือนภาพวาด การรอดออกมาได้โดยไม่ต้องมีริ้วรอยขีดข่วน เขาจะเปิดตัวตนของคนเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร

สีหน้าผู้วิเศษหลิวเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อยเมื่อมองไปยังเย่หยู สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เจ้าเด็กชั้นมัธยมปลายธรรมดากล้ามาสอดเรื่องของฉันงั้นรึ

“นายบอกว่าฉันเป็นคนโกหก ฮ่าๆ” ผู้วิเศษหลิวยกมือขึ้นและหัวเราะเสียงดังลั่น หลังจากนั้นก็ก้มศีรษะลงนัยน์ตาเป็นประกายวาบ เขาสะบัดชายเสื้อและไอแห่งผู้เยี่ยมวรยุทธ์ก็พุ่งออกมา

“ฉัน ผู้วิเศษหลิว ท่องทั่วแดนเจียงหูมาหลายสิบปี ผู้คนให้การยกย่องเชิดชู แต่นายเป็นคนแรกที่เรียกฉันว่านักต้มตุ๋น” ผู้วิเศษหลิวจ้องนิ่งไปที่เย่หยู เลือดในกายของเขาพลุ่งพล่านเหมือนคลื่นกระทบหิน พลังของเขายิ่งทวีความน่าครั่นคร้าม

ในสายตาของกลุ่มคน ผู้วิเศษหลิวผู้นี้มีไอลึกลับปรากฎขึ้นแบบกะทันหัน ชุดคลุมนักพรตเต๋าของเขายิ่งส่งให้เขาดูสูงส่งมากขึ้น

“โอ้โห นี่คือท่านเซียนที่แท้จริง”

“นี่แหละคือแซ่ของท่านเซียนตัวจริง เจ้าหนุ่มคนนี้ควรมาขอโทษท่านเซียน อย่าได้มายุ่งกับเรา”

“ผู้วิเศษหลิวเชื่อผมได้”

“ไม่ต้องกลัวครับ ผมมีเงิน”

“เจ้าหนุ่ม รีบขอโทษซะ”

“ระวังไว้ อย่าหาเรื่องเลยนะ”

“ท่านเซียนเฒ่า ลงโทษเจ้าหนุ่มนี่ก็พอ พวกเราไม่เกี่ยวนะ อย่าโทษเราเลย”

เมื่อกลุ่มคนมุงเห็นพลังของผู้วิเศษหลิวไร้เทียบทาน พวกเขาล้วนเชื่อว่านั่นคือคนที่มีฝีมืออย่างแท้จริง ทั้งที่เย่หยูเรียกอีกฝ่ายว่านักต้มตุ๋น ทุกคนพากันจ้องมองเย่หยูอย่างโกรธแค้น และรักษาระยะห่าง เพราะกลัวจะโดนลูกหลงเพราะเย่หยู

สีหน้าของผู้วิเศษหลิวเปลี่ยนไปเป็นโอหังกว่าเดิม เมื่อเขาได้รับคำยกยอปอปั้นจากกลุ่มคน เขายิ้มหยัน “เจ้าเด็กอวดดีกล้าท้าทายฉัน ฉันจะทำให้นายทนรับผลที่ตามมาไม่ได้”

พอเห็นสีหน้ายะโสของอีกฝ่าย เย่หยูแค่นเสียงว่า “ผมมี่คิดว่าคุณเป็นยอดฝีมือระดับ 2- กลั่นโลหิตของจริง ช่างน่าสมเพชที่คุณใช้มันเพื่อตบตาผม คุณสูญเสียศักดิ์ศรียอดฝีมือไปสิ้นแล้ว”

สีหน้าของผู้วิเศษหลิวแดงก่ำในทันที เขาหรี่ตาลงและพยายามพูดแก้ต่างให้ตัวเอง “อ๊ะ นักสู้อะไรกัน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายพูดถึงอะไร เจ้าหนุ่ม ฉันขอแนะให้นายรีบไปจากที่นี่ซะ ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ฉันลงโทษที่นายอวดดี”

ผู้วิเศษหลิวแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้รู้เรื่องวรยุทธ์ เขาต้องไล่อีกฝ่ายไปซะ เมื่อคนที่มุงดูเห็นผู้วิเศษหลิวโมโห ทุกคนเริ่มวิตก เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหันมาระบายอารมณ์กับพวกเขา ทุกคนพากันชี้แนะเย่หยูเบาๆ ก่อนรีบจากไป

“เจ้าหนุ่ม รีบไปซะ”

“อย่ากั้นเส้นทางหมอดูของเรา”

“ใช่ ไม่ง่ายหรอกนะที่จะได้พบท่านเซียนที่มีชีวิตอยู่ เราเสียโอกาสนี้ไปไม่ได้”

“เจ้าเด็กน้อยจะรู้อะไร ไปให้พ้น อย่ายืนเกะกะขวางทางเรา”

“ฮึบ”

สีหน้าของเย่หยูเยียบเย็นเล็กน้อยเมื่อเห็นกลุ่มคนที่พากันโมโห เขาแค่นเสียงเย็นชา แล้วปล่อยให้คนมุงรอบๆ ตัวเงียบเสียง

หลังสู้ศึกกับหมาป่าหิมะก่อนหน้า เย่หยูเข้าถึงระดับการฟื้นฟูเลือด ในยามนี้ พลังลมปรานและโลหิตของเขาแปรปรวน พร้อมกับดาบฉี แววตาของเย่หยูคมกริบเหมือนดาบ กวาดไปทั่วฝูงชนที่เงียบกริบ

เดิมที ทุกคนมองไปที่เย่หยูอย่างโกรธแค้น แต่เมื่อเห็นสายตาของเย่หยู ซึ่งเย็นเยียบประดุจดาบ ทุกคนก็พากันหลบตา

เย่หยูเบนสายตาไปยังผู้วิเศษหลิว และหัวเราะอย่างเย็นชา “คุณอาจไม่ยอมรับว่าคุณเป็นยอดฝีมือ แต่วันนี้ ฐานะนักต้มตุ๋นของคุณจะต้องถูกเปิดโปงต่อสาธารณชน”

หลังพลังดาบของเย่หยูพลุ่งขึ้น ผู้วิเศษหลิวรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ใบหน้าหยิ่งยะโสของเขาเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ แต่ยังฝืนตัวเองให้นิ่งสงบขณะกล่าวว่า

“ฉันเชื่อว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีสายตาแหลมคม ถ้านายยังกล่าวหาว่าฉันหลอกลวง ฉันจะใช้เวทย์มนต์นี้ลงโทษนาย

เมื่อเห็นผู้วิเศษหลิวยังดื้อรั้นยืนกราน เย่หยูหัวเราะเสียงแผ่วพลางกล่าว “นี่ ในเมื่อคุณยังไม่ยอมรับ เอาเป็นว่าเรามาประลองกันดีหรือไม่”

“ประลองกับอะไร” ผู้วิเศษหลิวแปลกใจเล็กน้อยแล้วจึงถามขึ้น

เย่หยูเบะปากอย่างเย้ยหยันแล้วกล่าวเสียงเย็น “ประลองทำนายชะตา”

“ทำนายชะตาหรือ” ผู้วิเศษหลิวหัวเราะอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็มองเย่หยูด้วยแววตาหมิ่นหยามและกล่าวอย่างชิงชังว่า “นายกล้าท้าฉันทำนายชะตางั้นเหรอ”

กลุ่มคนมุงก็พากันหัวเราะออกมา เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้จะเก่งกาจกว่าปรมาจารย์ด้านตรวจดวงชะตาได้อย่างไร ทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างกับการนำไข่ไปกระทบหิน

“เจ้าหนุ่มนี้เพี้ยนไปแล้วหรือไง เขาจะแข่งทำนายชะตากับผู้วิเศษหลิวจริงๆ เหรอ”

“ต่อให้ผู้วิเศษหลิวเป็นนักต้มตุ๋น แต่อย่างน้อยเขาก็โกหกมาได้ตั้งหลายสิบปี เจ้าหนุ่มนี้หมดหวังชนะแน่นอน”

“ฮ่า นี่จะเป็นการแสดงที่ดีแน่ เจ้าหนุ่มนี่อายุน้อยนัก ถ้าเราแข่งกับคนที่เก่งกว่า ไม่เท่ากับรนหาเรื่องหรือรึ”

ขามุงทั้งหลายพากันไม่เชื่อว่าเย่หยูจะชนะผู้วิเศษหลิวเรื่องทำนายชะตาไปได้ ทุกคนพากันมองเย่หยูอย่างสงสารและเตรียมซ้ำเติมอีกฝ่าย ลู่ซิงซินที่อยู่ด้านหลังแอบดึงเย่หยูไปกระซิบว่า “เย่หยู เราจะทำยังไงกันดี”

เย่หยูส่ายหน้าเป็นเชิงบอกไม่ให้ลู่ซิงซินเป็นกังวล “ไม่เป็นไร วันนี้ผมต้องเปิดโปงเขาให้ได้ ผมปล่อยให้เขาโกหกอีกไม่ได้เด็ดขาด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่ซิงซินก็พยักหน้า และปล่อยมือของเย่หยูอย่างนุ่มนวล ใบหน้าของเธอแดงเรื่อเล็กน้อยและกระซิบว่า “เธอต้องชนะ เธอจะต้องชนะให้ได้”

เย่หยูมองไปที่ผู้วิเศษหลิวที่ดูมั่นอกมั่นใจ และกล่าวอย่างมั่นใจว่า “เราจะแข่งทำนายชะตา คุณกล้าไหม”

ผู้วิเศษหลิวเงยศีรษะเล็กน้อย และยกมือขึ้นลูบเคราะแพะเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “ในเมื่อนายอยากตาย ฉันจะช่วยส่งเสริม ดี! ให้การทำนายนี้เป็นตัวกำหนด ใครจะเริ่มก่อน”

สีหน้าของเย่หยูเรียบนิ่งเมื่อเขากล่าวอย่างชัดเจนว่า “คุณเริ่มก่อน”

สายตาของผู้วิเศษหลิวเปล่งประกายวาบ และยิ้มอย่างเหยียดหยัน “อยากให้ฉันเริ่มก่อนงั้นรึ ครั้งนี้ต่อให้ฉันไม่ใช้ฝีมือออกมาจนหมด ก็ยังเอาชนะนายได้อยู่ดี เขียนอักษรหนึ่งตัวลงบนกระดาษนี้”

เย่หยูหยิบปากกา เขียนคำว่า “เต๋า” ลงไปบนกระดาษขาว แล้วยื่นมันไปตรงหน้าผู้วิเศษหลิว “เริ่มการทำนายได้”

ผู้วิเศษหลิวหยิบกระดาษขาวด้วยสีหน้าโอหัง พร้อมที่จะแสดงฝีมือให้ทุกคนให้ตะลึง แต่เมื่อเขาเห็นคำนั้น ทั้งร่างก็แข็งมื่อราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่

“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมมันถึงว่างเปล่าและทำนายอะไรไม่ได้แบบนี้”

ผู้วิเศษหลิวเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อเมื่อเขาเพ่งดูคำว่า “เต๋า” บนกระดาษ มือเลื่อนขึ้นลงเหมือนไล่สายพิณ และรีบคำนวณอย่างเร่งร้อน แต่หลังผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ยังทำนายไม่ได้อยู่ดี

“ไม่อยากเชื่อ ฉันขอดูมือของนาย”

ผู้วิเศษหลิวดูเหมือนเสียสติไปแล้วเมื่อดึงมือขวาของเย่หยูมาใกล้ตัว สีหน้าของเขาแตกตื่นมาก เขาเบิกตากว้างขณะสำรวจร่างของเย่หยู

“ฉันยังทำนายไม่ได้ ยังทำนายไม่ได้”

ผู้วิเศษหลิวพึมพำกับตัวเองขณะดึงมือขวาของเย่หยูมาตรวจดู นิ้วของเขาเลื่อนไปมาราวกับมองเห็นไม่ถนัด

เมื่อคนมุงดูเห็นท่าทางของผู้วิศษหลิว พวกเขาล้วนแต่งุนงง

“ผู้วิเศษหลิวทำนายไม่ได้เหรอ”

“อาจเป็นได้ ดูสิว่าเขากระวนกระวายใจมาก ฉันกลัวว่ามันจะไปได้ไม่สวยซะแล้ว”

“เป็นไปได้ไหมว่าผู้วิศษหลิวจะเป็นนักต้มตุ๋น”

“เช่นนั้นเจ้าหนุ่มนี่ก็พูดถูกน่ะสิ”

เขาหันไปถลึงตามองกลุ่มคนดูด้วยดวงตาแดงก่ำ และพึมพำเบาๆ ว่า “คนผู้นี้มีแม่แก่ๆ และลูกน้อย คนผู้นี้เคยถูกไฟคลอก และเข้ากับที่บ้านไม่ได้ คนผู้นี้ใจดำ และเป็นลูกกตัญญูที่คอยเฝ้าดูแลแม่ คนผู้นี้…”

หลังกวาดตามองไปรอบๆ ผู้วิเศษหลิวก็คาดเดาสถานการณ์ออก เขารู้สึกแตกตื่นในใจถึงขีดสุด “สวรรค์ทั้งหกของฉันไม่ได้ผิดพลาด ทำไมฉันถึงทำนายชะตาเจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้”

สุดท้ายผู้วิเศษหลิวก็ปล่อยมือขวาของเย่หยู พลางทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “นักพรตเต๋าแก่ๆ คนนี้ร่ำเรียนมาน้อย ฉันไม่รู้จะทำนายชะตาของนายได้ยังไงดี”

ริมฝีปากของเย่หยูแย้มยิ้มออกมา ผลลัพธ์นี้คือสิ่งที่เขาคาดไว้อยู่แล้ว เพราะระบบ เย่หยูเชื่อว่าในโลกนี้ ไม่มีใครทำนายดวงชะตาของเขาได้แน่!