ภาคอวสาน ตอนที่ 29 ผลึกแก้วหลิวหลี (9)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ราชันสวรรค์กล่าวเบาๆ ว่า “เราเองก็แอบคิดไปเองเช่นกัน บางทีคำพูดเรา ท่านแม่ทัพอาจคิดว่าแก้ตัวก็ไม่เป็นไร แต่ขอท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดี ยามนั้นท่านแม่ทัพโมโหโกรธแค้นอย่างมาก จะสังหารแดนสวรรค์ให้สิ้นเพื่อแก้แค้น จากนั้นแล้วอย่างไร ระดับท่านแม่ทัพหากกระแสมารพุ่งทะยานรุนแรงไปที่ใดย่อมนำหายนะไปสู่ที่นั่น จิตใจจมอยู่กับความแค้นยิ่งลึก สุดท้ายท่านก็คงได้แต่ทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต ความแค้นไม่มีทางสลายลงได้ เรื่องนี้พูดกันตามตรงแล้วก็เป็นแดนสวรรค์ผิดต่อท่านแม่ทัพ ไม่ควรทำให้สรรพชีวิตหกแดนต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ยังแก้ตัว! ท่านถือสิทธิ์อะไรมาคาดว่าข้าจะสังหารไปทุกที่ นำหายนะไปทุกที่?! ล้วนเป็นการคาดเดาไปเองของท่าน!”

ราชันสวรรค์กล่าวอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ทัพจำไม่ได้หรือ หลายชาติก่อนของท่านล้วนเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นที่ไม่อาจระงับ สร้างภัยหายนะไปทุกที่ สุดท้ายจบชีวิตด้วยความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานทุกชาติภพ”

เรื่องนั้นเป็นผู้ใดก่อเล่า? เสวียนจีไม่กล่าวอันใด หรือว่าอนุญาตแค่พวกเขาใช้ประโยชน์ผู้อื่นได้ แต่ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมีความแค้นหรือ หรือว่านางควรรู้สึกขอบคุณที่พวกเขาใช้ประโยชน์นาง เพียงเพราะพวกเขาคือแดนสวรรค์ คือเทพเซียน แดนที่สูงส่งที่สุด ถูกพวกเขาใช้ประโยชน์เอาเลือดเนื้อมาหลอมเป็นเทพศาสตราร้ายกาจ จิตวิญญาณกลายเป็นอาวุธสังหาร นี่ก็คือเกียรติยศที่นางควรภาคภูมิ?

ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “ต่อมาเราฝากเจ้ากับมหาเทพโฮ่วถู่ กำชับให้ตั้งใจอบรมสั่งสอนเจ้า ท่านแม่ทัพชาตินี้จึงได้เฉลียดฉลาดตระหนักรู้เองได้ ในที่สุดก็ไม่ได้ดำรงความโหดเหี้ยมดังเดิมอีก มีคนสำคัญในชีวิตที่คิดรักษาไว้ เราก็ดีใจแทนท่าน หรือว่าท่านแม่ทัพไม่รู้สึกว่าเช่นนี้ดีกว่าการเป็นเครื่องมือที่รู้จักแต่การสังหารมากกว่า เมื่อครู่ท่านแม่ทัพถามเราว่า ท่านจะไปที่ใดได้ ท่านไม่ใช่เทพและไม่ใช่อสูร ใต้หล้าไร้ที่ยืน โลกมนุษย์ไม่ใช่ที่ที่ท่านแม่ทัพอาลัยอาวรณ์หรือ ตระหนักรู้แล้ว ได้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ควรรักษาวาสนาที่เป็นของตนเอง หรือว่าท่านแม่ทัพตัดใจทำลายสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ ยอมให้ตนเองจมอยู่กับเคราะห์กรรมแห่งเพลิงโทสะ”

เขาถามและแสดงออกได้อย่างจริงใจ เสวียนจีก็เริ่มหวั่นไหว ลุกขึ้นประสานมือกล่าวว่า “มิกล้า อายุมาจนถึงสิบแปดนี้ ทำให้ข้าได้เข้าใจปัญหาที่เมื่อก่อนไม่เคยตระหนักถึงได้มากมาย เสวียนจีรู้สึกขอบคุณการจัดการเช่นนี้ของราชันสวรรค์”

กล่าวจบ นางพลันหันไปมองไป๋ตี้ด้วยแววตาเยียบเย็น กล่าวอีกว่า “แต่ความแค้นย่อมมีผู้ชดใช้ แม้เข้าใจหลักการเหตุผลมากมาย แต่ข้าก็ไม่อาจให้อภัยผู้ที่ทำกับข้าแล้วรู้จักแต่เงียบงันอยู่ในแดนสวรรค์ในเวลาต่อมาได้ หากราชันสวรรค์บอกว่าข้ายังคงความแค้นไม่สูญสลาย ข้าก็ไร้วาจาจะกล่าว แต่ในใจเสวียนจีคิดเพียงว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์จัดการชีวิตของผู้อื่นโดยพลการ! หลัวโหวจี้ตูก็ดี ฉู่เสวียนจีก็ดี บางทีในสายตาแดนสวรรค์ก็แค่ชีวิตเล็กกระจิดริดที่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง มีบุญคุณความแค้นใดก็ใช้หลักการคุณธรรมยิ่งใหญ่ทำให้อีกฝ่ายยอมสยบลงได้ หาเหตุแค้นใจไม่ได้ แต่สำหรับข้าแล้ว แม้ชีวิตข้าเล็กกระจิดริด แต่ก็เป็นสิ่งมีค่าที่สุด! ควรให้ข้าจัดการตนเอง ไม่ควรมอบให้ผู้ใดมาล้อเล่น! การดูแคลนผู้อื่น คนก็ดี เทพก็ดี ล้วนผิด! ข้าไม่อาจให้อภัยได้!”

นางชักติ้งคุนออกมา บางทีอาจเพราะกลับถึงแดนสวรรค์ ติ้งคุนจึงสำแดงอานุภาพเพิ่มอีกหลายเท่า แสงสีเขียวส่องประกายเยียบเย็นคุกคาม สองตานางส่องประกายแสงสีเขียวน่ากลัว เห็นได้ชัดถึงความเย็นเยียบอย่างที่สุด นางเอาแต่จ้องมองไป๋ตี้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ให้เจ้ายอมข้า และไม่ให้เจ้ายอมรอรับความผิดแต่โดยดี! ท่าทีเช่นนี้ไม่มีผลต่อข้า ท่านมีสถานะเป็นไป๋ตี้ ย่อมต้องมีพลังเทพ พวกเราสู้กันอย่างยุติธรรมสักครั้ง! เป็นตายแล้วแต่ลิขิต!”

ราชันสวรรค์ถอนใจกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ…”

“อย่าเรียกข้าท่านแม่ทัพ” นางกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อมว่า “ข้าชื่อฉู่เสวียนจี!”

สีหน้าไป๋ตี้ซีดขาว ค่อยๆ ก้าวมาด้านหน้า หันไปถวายคำนับหลังม่าน กล่าวว่า “ความผิดที่กระหม่อมได้ก่อไว้ ตายสักหมื่นครั้งก็ไม่อาจลบล้าง กระหม่อมขอเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร อย่าได้เอาผิดเสวียนจี เหตุต้นผลกรรมล้วนเป็นการกระทำของกระหม่อมเพียงผู้เดียว ผลแห่งความทุกข์ก็ล้วนเป็นความรับผิดชอบของกระหม่อมเพียงผู้เดียว”

ราชันสวรรค์ถอนหายใจยาว ตรัสสุรเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุวันวาน ผลวันนี้ เอาเถอะ เราก็ผิด…เสวียนจี เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง หนี้กรรมย่อมมีผู้ก่อกรรม แดนสวรรค์ผิดต่อเจ้า เราขอใช้สถานะสูงส่งแห่งแดนสวรรค์ร่วมกับไป๋ตี้รองรับโทสะของเจ้า จบสิ้นเวรกรรมนี้”

เสวียนจีพยักหน้า “ดีมาก!”

นางหันไปประคองโถผลึกแก้วหลิวหลีบนโต๊ะขึ้นมาแนบอกอย่างระมัดระวัง นานมาแล้วที่ความเหงาโดดเดี่ยวราวกับไม่รู้ควรยืนอยู่ที่ใดใต้ฟ้าดิน ราวกับเป็นส่วนเกิน ใช่แล้ว ในโถผลึกแก้วหลิวหลีก็คือนางอีกส่วนที่ถูกดึงกระชากแยกออกจากกันอย่างโหดเหี้ยม

ในอดีตนั้นหลัวโหวจี้ตูเพิ่งเริ่มริรัก ก็ต้องประสบกับความเลวร้ายอย่างที่สุด หากเขายังมีชีวิต หลังจากสี่สิบเก้าวันก็จะกลายเป็นหญิงงามแดนอสูร สภาพการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ ไม่ว่านางได้อยู่ร่วมกับไป๋ตี้หรือไม่ก็คงดีกว่าการมีชีวิตไม่สู้ตายเช่นนี้มากนัก หากเป็นเช่นนั้น ก็คงไม่มีฉู่เสวียนจี นางคงไม่ได้พานพบกับเรื่องราวน่าโมโหและหวานล้ำในชีวิตเหล่านั้น

รสชาติการได้เป็นมนุษย์ นางทุ่มเททั้งชีวิตก็ใช่จะรู้ได้

เสวียนจีกอดโถผลึกแก้วหลิวหลีไว้แน่น อดสะเทือนใจจนน้ำตาไหลพรากออกมาไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้ามาแก้แค้นให้เจ้าแล้ว หลัวโหว”

หลัวโหวไม่เคยลิ้มรสวาสนาความสุข ก็ให้นางมาสืบต่อแทน ไม่ว่าชีวิตต่ำต้อยเพียงใดก็ย่อมมีวาสนาความสุขของตนเอง การเป็นมนุษย์ก็ใช่ว่ามีอะไรไม่ดี

เพลิงจากฟ้าร่วงลงมาดังดาวตก ราวกับฝนบุปผาดอกเฟิ่งหวงในหมู่บ้านที่ซีกู่ สายลมพัดมาวูบหนึ่งก็กระจายปลิวงดงามทั่วท้องฟ้า ตำหนักเสินกงและเขาคุนหลุนแสนงาม พริบตาก็ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ เปลวไฟทะยานพุ่งสู่ท้องฟ้าอาบเมฆร้อนระอุ ฉับพลันเหมือนว่าทั่วท้องฟ้าราวกับปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง แผดเผาจนแดงเจิดจ้าร้อนแรง

ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะสะเทือนลั่นฟ้าดินแว่วมา บรรดาเทพที่อารักษ์เขาคุนหลุนต่างตกใจกับภาพเปลวเพลิงลุกท่วมฟ้านี้อย่างมาก คิดแอบเข้ามาหลบในนี้ พลางร้องตะโกนเรียกราชันสวรรค์กับไป๋ตี้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะชนประตูตำหนักเสินกงอย่างไรก็ไม่อาจเปิดออกได้ ที่นี่ถูกราชันสวรรค์วาดอาณาเขตเวทไว้แล้ว ออกได้ แต่เข้าไม่ได้

เปลวเพลิงบนท้องฟ้าร่วงหล่นลงมาตกลงท่ามกลางหมู่มวลบุปผาและอาคารต่างๆ พริบตาก็ลุกไหม้ขึ้น บรรดาเทพเซียนไม่มีที่หลบ พากันกุมหัวหนีหัวซุกหัวซุน อยู่ๆ ก็พบว่าไฟนั่นไม่ได้มีผลอะไรกับตน เพียงแต่ผ่านร่างตนลงสู่พื้นเฉยๆ ไม่ได้ทำร้ายตนแม้แต่น้อย ก็พลันอึ้งไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ราชันสวรรค์กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจีจิตใจดีงาม เรารู้สึกตื้นตันยิ่งนัก”

เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นี่คือความผิดของท่านกับไป๋ตี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น พวกเขาก็คนระดับล่างน่าขันที่แค่รับบัญชาปฏิบัติจนไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดก็เท่านั้น ตอนนี้ท่านตื้นตันข้า กลับไปคงต้องโกรธแค้นข้า”

ราชันสวรรค์ไม่เข้าใจในคราแรก แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนมีปัญญากระจ่าง เข้าใจความหมายนางในฉับพลัน ที่แท้นางจะเผาเขาคุนหลุนให้ราบคาบ ให้บรรดาเทพเซียนไม่อาจลงไปแดนมนุษย์ได้อีก เพลิงยิ่งเผายิ่งสูง ลามเลียขึ้นเหนือท้องฟ้า เผาจนไปถึงแดนสวรรค์ ดูท่าแล้ว นางยังคิดเผาแดนสวรรค์ไปด้วย

ราชันสวรรค์กล่าวอีกว่า “เจ้าไม่ทำร้ายสรรพชีวิตก็นับว่าเป็นการใช้ความดีชำระความแค้นแล้ว เรายังคงตื้นตันยิ่งเช่นเดิม”

เสวียนจีหัวเราะกล่าวว่า “ข้าจะทำร้ายชีวิตได้อย่างไร ท่านหลบอยู่หลังม่าน เพลิงเผาไม่ถึงตำหนักเสินกง ข้าก็มองไม่เห็นรูปร่างท่านอยู่ดี แม้ว่าอยากทำร้ายท่านก็ไม่อาจทำได้ ท่านคือราชันสวรรค์ ข้าไม่อาจแตะต้องท่านก็แล้วไปเถอะ แต่ไป๋ตี้ ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร!”

นางวางโถผลึกแก้วหลิวหลี ชักกระบี่ก่อนจะกระโดดลงมา ก้าวเข้าหาไป๋ตี้ทีละก้าว ไม่มีน้ำใจเหลือให้แม้สักนิด เห็นชัดว่าจะฟันเขาให้ตายด้วยคมกระบี่ ราชันสวรรค์ทนดูไม่ไหว แต่ก็ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ อยู่หลังม่าน จิตอสูรมีความดึงดัน เรื่องที่ตัดสินแล้วก็ย่อมไม่เปลี่ยนใจ แม้ชาตินี้นางเป็นมนุษย์ แต่จิตเดิมก็ยังคงไม่เปลี่ยน ราชันสวรรค์คิดจะปรับความคิดนาง แต่จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร

เสวียนจีเดินตรงไปหน้าไป๋ตี้ เอาแต่จ้องมองเขา กล่าวว่า “หยิบอาวุธ!”

ไป๋ตี้ส่ายหน้ายกชายเสื้อขึ้น ลงคุกเข่ากับพื้นกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เรารอท่านมาสังหาร ไม่ขัดขืนต่อต้านเด็ดขาด” เขาแก้เชือกรัดชุดตัวนอกออก เผยให้เห็นหน้าอก กล่าวอีกว่า “ท่านต้องการตัดศีรษะหรือจะควักดวงจิต เราไม่ขัดขืนต่อต้านแม้แต่น้อย”

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หยิบอาวุธ! เจ้าดูแคลนข้า หรือว่าดูแคลนผู้ที่เคยเป็นพี่น้องเจ้า”

ไป๋ตี้ยิ้มสีหน้าสลด กล่าวว่า “อดีตเราใช้วิธีการต่ำช้าสยบจี้ตู วันนี้จี้ตูไยต้องกล่าวเรื่องยุติธรรม”

ในภาพมายาได้ยินเขาเรียกชื่อจี้ตูก็ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เขามาเรียกชื่อนี้ต่อหน้า เสวียนจีเริ่มมีอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามา แต่ไรมาทุกคนล้วนว่าผู้ที่จิตมารแทรกก็คือนาง สุดท้ายผู้ที่จิตมารแทรกกลับเป็นไป๋ตี้ หากยามนี้คนที่ยืนอยู่ที่นี่เป็นหลัวโหวจี้ตู เขาต้องถามอีกฝ่ายก่อน เช่นว่า ท่านเคยเห็นข้าเป็นพี่น้องหรือไม่ หรือว่า ในใจท่าน แท้จริงข้ามีสถานะอะไร หรือว่า ท่านเคยนึกเสียใจภายหลังในทุกสิ่งที่ท่านทำลงไปบ้างไหม

แต่นางไม่ถามอันใดทั้งสิ้น นางไม่ใช่หลัวโหวจี้ตูแล้ว นางคือฉู่เสวียนจี

“ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออดีตจบสิ้นลงแล้ว” น้ำเสียงนางแผ่วเบา ยกกระบี่ติ้งคุนขึ้น “หลัวโหวจี้ตูก็ไม่ใช่เขาในวันวานแล้ว ท่านกลับยังเป็นท่านในวันวาน ท่านเป็นคนน่าสงสารจริง”

นางกำลังลดกระบี่ลงคิดจะให้ติ้งคุนได้ดื่มเลือดชำระแค้น พลันได้ยินหลังตำหนักมีเสียงตะโกนดังมา “โอ! ที่นี่ไม่มีเปลวเพลิง! โชคดีแท้!”

เสวียนจีอดตะลึงงันไม่ได้ รีบหันกลับไป เห็นเพียงหลังตำหนักมีคนเหินมาอย่างรวดเร็วสองคน แต่ละคนหน้าดำเป็นถ่าน สภาพน่าอนาถยิ่ง คนนำมาผู้นั้นพอเห็นว่าเป็นไป๋ตี้ สีหน้าอยู่ๆ พลันแปรเปลี่ยน มองไปยังเสวียนจีถือกระบี่อยู่หน้าไป๋ตี้ อยู่ๆ ก็ถลึงตาจ้องมอง ลูกตาแทบถลนออกมา

“เสวียนจี!”

“นังหญิงหน้าเหม็นจะทำอะไร!”

สองเสียงคำรามดังพร้อมกัน ถึงกับเป็นอู๋จือฉีกับมกรสองคน เพลิงไฟลุกโชนอยู่ด้านนอก พวกเขาดำราวตอตะโกไปทั้งตัว ดูแล้วน่าอเนจอนาถยิ่ง แต่เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในใจเสวียนจีดีใจแทบคลั่ง ร้อนใจกล่าวว่า “พวกเจ้า! พวกเจ้าไม่เป็นไรหรือ”

วาจาไม่ทันจบ อยู่ๆ เห็นด้านหลังมกรมีคนเดินอ้อมออกมาคนหนึ่ง เทียบกับสภาพอนาถของอู๋จือฉีกับมกรแล้ว คนผู้นั้นเห็นชัดว่าดูสะอาดแจ่มจำรัสกว่ามาก ผมสักเส้นก็ไม่ยุ่งเหยิง

ครั้งนี้เป็นนางที่ลูกตาแทบถลนออกมา กรีดร้องเสียงดัง “ซือเฟิ่ง”

น้ำเสียงยังไม่ทันจบ คนทั้งคนก็ถลาเข้าไปสู่อ้อมกอดเขาแล้ว ติ้งคุนร่วงลงพื้นดัง ตึง นางไหนเลยจะสนใจอีก