อวี่ซือเฟิ่งเองก็ตกใจมากที่ได้พบนางที่นี่ พอนางโผเข้าสู่อ้อมกอดตน ก็ประคองนางไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว พลางเรียกอย่างงุนงงขึ้น “เสวียนจี?”
ไม่รอนางตอบ อยู่ๆ เขาก็ลูบใบหน้าตนเอง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ที่นี่ไม่ใช่แดนปรภพ? พวกเจ้า…ยังไม่ตาย?”
เสวียนจีทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ ไหนเลยจะฟังชัดว่าเขาพูดอะไร อู๋จือฉีที่ด้านข้างยิ้มกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากับเจ้าหนุ่มผมขาวนี่ชุลมุนกันอยู่ที่นี่เพื่อเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ ท้องฟ้าก็มีเปลวเพลิงตกลงมา แต่โดนตัวแล้วกลับไม่เป็นไร แต่รอบๆ เผาไหม้ไปหมด จะไม่บาดเจ็บเลยคงยาก ข้าว่าพวกเราคงต้องเอาตัวรอดกันเองแล้ว ไปกันเถอะ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ยอม เอาแต่จะกลับไปหาที่กำบังปลอดภัยให้บรรดาสหายเทพเซียนของเขาให้ได้ หันกลับไปมองอีกทีก็ไหม้ไปหมดแล้ว มีแต่ที่นี่ที่ไม่เป็นไร ไม่เชื่อเจ้าดูเอง พาทุกคนมานี่หมดแล้ว”
เขาชี้ไปด้านหลัง มีบรรดาเทพเซียนนอนกองกันอยู่ไม่เป็นท่าดังคาด ล้วนถูกแหขนาดยักษ์ล้อมลากมา มกรแรงเยอะ ลากพวกเขาเดินมาถึงที่นี่ถึงกับสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้แต่สงสารบรรดาเทพเซียนเหล่านี้ สลบไสลไม่ได้สติถูกเขาลากถูลู่ถูกังมาเช่นนี้ ตามตัวตามใบหน้าก็ไม่รู้ถูกกระแทกลากถูบวมเขียวช้ำกันไปเท่าไร
ในที่สุดเสวียนจีก็สงบสติลงได้เล็กน้อย แววตาอ่อนโยนถามว่า “พวกท่าน…ไม่ได้สังหารพวกเขา?”
อู๋จือฉีหัวเราะค้อนขวับใส่ไป๋ตี้กล่าวว่า “ราชันสวรรค์เอย ไป๋ตี้เอย เฮยตี้เอย ล้วนอยากให้ข้าสังหารให้มากอีกหน่อย พวกเขาจะได้ลงโทษข้าได้ ข้าไม่ให้พวกเขาสมหวังเสียอย่างจะทำไม คิดว่าข้าเป็นเด็กน้อยโง่ๆ ที่ทำอะไรใช้แต่กำลังหรือ”
มกรลูบหน้า ปรากฏดำแล้วก็ยิ่งดำอีก ที่ขาวก็พลอยดำไปด้วย เขาถอนใจกล่าวว่า “ดีที่เจ้าไฟจากฟ้านี่ไม่ทำร้ายคน หากเป็นพิรุณอัคคีตก มังกรอิงหลงมาก็ไร้ประโยชน์ ไฟนี้ไม่ใช่ไฟที่เขาจะดับได้ ไม่รู้ว่าไอ้คนไหนที่มันไม่มีอะไรทำมาปล่อยไฟเล่น! เผาไปถึงแดนสวรรค์แล้วเนี่ย!”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไฟเป็นข้าปล่อยเอง”
ทุกคนได้ยินก็ตกใจอึ้งมองนาง หวังให้นางอธิบายสักหน่อย เสวียนจีคิดไปคิดมากล่าวอีกว่า “พูดไปแล้วก็ยาว…พวกเจ้ากับซือเฟิ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
อู๋จือฉีกล่าวว่า “ข้ากับเจ้าหนุ่มผมขาวเพิ่งบุกเข้าตำหนักเสินกง เจ้าครุฑหนุ่มนี่ก็โผล่ออกมา เห็นพวกเราก็ไม่ตกใจ วาจาแรกก็ราวสายฟ้าฟาดลงหัวพวกเราว่า พวกเจ้าก็ตายแล้วหรือ ประหลาดแท้”
อวี่ซือเฟิ่งได้แต่กล่าวว่า “ตอนนั้นข้าถูกแสงนั้นจับส่งไปแดนปรภพ…นี่พูดไปแล้วก็ยาวเหมือนกัน หลังจากอำลากับจิ้งจอกม่วง ข้าคิดว่าคงกลับถึงแดนสวรรค์ ผู้ใดจะรู้ว่าพอแตะถึงพื้นก็ยังคงเป็นคุกใต้ดินแดนปรภพ หยวนหลางยังเอาแต่ด่าทอไม่หยุด ข้าได้แต่ผลักประตูเดินออกมา พอออกมาก็เจอพวกเจ้า…ที่แท้ที่นี่ก็คือแดนสวรรค์?”
เขามีสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ ราวกับไม่อยากเชื่อว่าตนเองอยู่ๆ ได้ไปแดนปรภพและยังกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ได้
อู๋จือฉีได้ยินเขากล่าวถึงจิ้งจอกม่วงกับหยวนหลาง คิ้วก็กระตุกสองที คิดเอ่ยถาม ปรากฏไม่ทันได้ถามออกมา ก็ถอนหายใจยาวหันไปมองตำหนักแทน มองม่านรอบๆ ที่ร่วงหล่นกองกับพื้น ท่าทางน่าอนาถของไป๋ตี้ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเช่นนั้น ไม่หลงเหลือความองอาจมากบารมีเช่นวันวานแม้แต่น้อย เขาแปลกใจมาก ลากเสวียนจีมากระซิบถามว่า “นี่ ก่อนพวกเรามา เจ้าทำอะไรกันแน่ แม้แต่ไป๋ตี้ยังถูกเจ้าลงมือจนร้องไห้?”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด เห็นทุกคนไม่เป็นไรแล้ว กลิ่นอายสังหารของนางก็ราวกับดับมอดลงไม่น้อย ราชันสวรรค์กล่าวได้ไม่ผิด ชีวิตนี้ของนางมีคนสำคัญแล้ว รู้จักทะนุถนอมและอดกลั้นยอมถอยให้แล้ว ซือเฟิ่งเคยกล่าวว่าชาติก่อนกับชาตินี้ไม่เหมือนกัน การจะเอาแต่ยึดมั่นกับเรื่องในอดีตรังแต่จะทำให้คนเราสูญเสียปัจจุบันที่ล้ำค่าที่สุดไป
บางทีหากมองจากอีกมุมของสิ่งที่แสนเศร้าใจนี้ นางเองก็รู้สึกขอบคุณความโหดเหี้ยมของไป๋ตี้ ไม่เช่นนั้นหลัวโหวจี้ตูก็ไม่มีวันได้รู้รสชาติของการเป็นมนุษย์ว่าเป็นเช่นไร ยิ่งไม่อาจมีฉู่เสวียนจี
คนที่อยู่ท่ามกลางโชคดีย่อมไม่ไปร่ำร้องคับแค้นใจคิดเล็กคิดน้อย เมื่อก่อนนางไม่เข้าใจ ตอนนี้กลับเข้าใจแล้ว การมีอยู่อันแสนพิเศษของนางเช่นนี้ ได้เปลี่ยนจากอสูรไปเป็นเทพสงคราม จากเทพสงครามไปเป็นมนุษย์ธรรมดา ทุกย่างก้าวล้วนโดดเดี่ยวเดียวดาย เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและการทรยศ ดังนั้นนางจึงรู้สึกทะนุถนอมทุกสิ่งของตนเองในยามนี้อย่างที่สุด พอคิดถึงชีวิตวันหน้าก็รู้สึกได้ถึงความพึงพอใจในชีวิต
ความพึงพอใจและความอบอุ่นนี้มักจะดับความคิดต่อสู้ของคนเราให้มอดลงได้โดยง่าย ชั่วพริบตานางก็คิดอยากเอ่ยออกมาว่าให้ทุกสิ่งผ่านแล้วผ่านเลยไปแล้วกัน นางจะคิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น เรื่องบุญคุณความแค้นต่างๆ ในอดีตพวกนั้นเก็บไว้ในใจก็มีแต่แบกรับทุกข์ ถูกหรือผิดไยต้องแยกแยะ คิดว่าหลัวโหวจี้ตูก็ไม่อยากให้คนที่ตนเองเคยรักต้องมีจุดจบน่าอนาถ
เสวียนจีกำลังอ้าปากจะกล่าว พลันได้ยินเสียงดังเบาๆ มาจากโถผลึกแก้วหลิวหลีบนโต๊ะ ลูกไฟหลากสีในนั้นส่องประกายแสงทะลุโถผลึกแก้วหลิวหลีออกมาราวจั้งกว่า ทุกคนต่างตกใจยิ่ง เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีเห็นโถผลึกแก้วหลิวหลีมีปฏิกิริยา ในสมองแวบแรกก็คิดถึงจิตญาณดวงจิตส่วนใหญ่ของหลัวโหวที่ผนึกไว้ในโถผลึกแก้วหลิวหลี หรือว่าตื่นรู้ได้ด้วยตนเอง?
ไม่ทันมีเวลาให้นางได้คิดไตร่ตรองมากนัก โถผลึกแก้วหลิวหลีพลันลอยขึ้นราวกับกระบี่วิเศษชักออกจากฝักกระบี่ เปล่งประกายทอแสงสายรุ้งยาวทะลุทะลวงไปราวกับลูกธนู เร็วจนมองแทบไม่ทัน ไป๋ตี้ได้ยินเสียงลมพัดมาวูบหนึ่งเหนือศีรษะ เงยหน้ามองไปก็เห็นโถผลึกแก้วหลิวหลีกระแทกลงมาที่หน้าผากดัง ปัก ตอนถูกกระแทกนั้นพลันหน้าวูบตาลายในทันที
ไป๋ตี้ยกมือขึ้นจับโถผลึกแก้วหลิวหลีอย่างไม่ทันได้คิดอะไร ไม่อาจสนใจเลือดที่หลั่งริน ประคองไว้ในมือก้มหน้าลงมอง เลือดสดที่หน้าผากหยดลงบนโถผลึกแก้วหลิวหลี ลูกไฟหลากสีที่ใกล้จะปะทุออกมาเต็มที่นั้นก็ค่อยๆ สงบลงในที่สุด หมุนวนอยู่ในโถแก้วหลิวหลีราวกับไอแห่งความแค้นค่อยๆ สงบลง
ไป๋ตี้น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “จี้ตู ที่แท้เจ้าอยู่ที่นี่หรือ”
โถผลึกแก้วหลิวหลีย่อมไม่อาจตอบเขาได้ ได้แต่ส่องประกายแสงวาบไหวอยู่ในนั้นราวกับมีความตื่นรู้ขึ้นมาตอบรับวาจาเขา
ไป๋ตี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ สะอื้นไห้กล่าวว่า “ข้า…ทำผิดมหันต์!”
มกรเห็นไป๋ตี้ที่แต่ไรมาดูสง่างามเป็นที่เคารพ ยามนี้ถึงกับมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้ ใบหน้ามีทั้งคราบน้ำตาและคราบโลหิตไหลอาบ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ในใจก็รู้สึกเศร้าเสียใจมาก ไป๋ตี้โปรดปรานเอ็นดูเขามาตลอด ไม่ว่าทำความผิดอะไรก็ล้วนไม่ถือสาเขา ดูแลเขาราวกับผู้น้อยแสนซุกซน ไป๋ตี้ในใจเขาเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่นายบ่าว ตอนนี้มาเห็นสภาพของงเขาเช่นนี้ก็อดคิดจะเข้าไปประคองไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไป๋ตี้ ท่านลุกขึ้นก่อนเถอะ”
อู๋จือฉีประสาทสัมผัสไวสุด อยู่ๆ ก็พบความผิดปกติบางอย่าง กระชากแขนเสื้อเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าเข้าไป!”
สีสันของโถผลึกแก้วหลิวหลีค่อยเริ่มแปลกออกไป แม้แต่อู๋จือฉีที่เห็นโลกมามากก็ยังไม่เคยเห็นสีสันผสมผสานสับสนดังภาพมายาเช่นนี้มาก่อน ช่างราวกับฝันประหลาดที่อยู่ในเขาวงกตเสียจริง ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจเข้าใกล้ โลหิตและน้ำตาไป๋ตี้หยดลงไปรวมกับรอยสลักลวดลายบนโถ แสงสีนั้นก็ยิ่งดุดันมากขึ้น รุนแรงจนทุกคนต่างคิดว่าจะเกิดปาฏิหาริย์อะไรออกมา บางทีหลัวโหวจี้ตูอาจฟื้นคืน หรือเปิดปากพูดได้
ในใจเสวียนจีเองก็สับสน วันนั้นที่ไป๋ตี้ผ่าร่างหลัวโหวจี้ตู โถผลึกแก้วหลิวหลีเป็นหลัวโหว นางเป็นจี้ตู เรื่องราวผ่านมาพันปี ในที่สุดหลัวโหวกับจี้ตูก็ได้มาเจอกัน แต่กลับไม่ได้เกิดปรากฏการณ์รวมร่างเป็นหนึ่งดังที่คิดไว้ บางทีอาจเพราะจี้ตูเองไม่ได้ยอมรับหลัวโหว หรืออาจว่าหลัวโหวรู้ว่าชาตินี้จี้ตูไม่ใช่อสูรในตอนนั้นแล้ว ไม่อยากออกมาร้องรับหากันและกัน ในใจเสวียนจีต้องการสังหารไป๋ตี้เพื่อจบสิ้นเหตุต้นผลกรรม แต่โถผลึกแก้วหลิวหลีกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเช่นนี้ หรือว่าไม่อยากให้นางสังหารเขาจริงๆ
ในใจนางเริ่มหวั่นไหว ความรู้สึกร้อนแรงของอสูรลุกโชนพันปีไม่เคยมอดดับ หรือเป็นเพราะว่านางเข้าใจทุกสิ่งที่ไป๋ตี้ทำลงไป และไม่อาจทำใจลงโทษเขา? นางก็แค่แทงหัวเขาให้เป็นรู แต่เพราะจริงๆ แล้วในใจของนางน่าจะมีพลังแห่งความรักมากกว่าพลังแห่งความแค้น
สองมือสั่นเทาของไป๋ตี้ประคองโถผลึกแก้วหลิวหลีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อก่อนเคยร่วมร่ำสุราเมามายในศาลาพักร้อนกับพี่จี้ตู หัวเราะสนทนาท่ามกลางสายลม เกรงว่าคงไม่มีวันกลับคืนมาได้อีกแล้ว”
แน่นอนโถผลึกแก้วหลิวหลียังคงไม่ตอบ ได้แต่ส่องแสงประกายสีแปรเปลี่ยนรวดเร็วราวกับภาพฝันมายา ค่อยๆ เริ่มสับสนวุ่นวาย มองนานเข้าก็รู้สึกเพียงแค่แสงสีนั้นล่อลวงดึงดูดจิตเอาไว้
อยู่ๆ ภาพมายาราวปีศาจก็พลันนิ่งลง โถผลึกแก้วหลิวหลีเปล่งประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ตามมาด้วยเสียง เปรี๊ยะ ดังขึ้น โถผลึกแก้วหลิวหลีค่อยๆ แยกออก เปลือกตาไป๋ตี้ไหวเล็กน้อยราวกับคิดจะปิดรอยแยกนั้นไว้ รอยแยกนั้นเริ่มมีลูกไฟห้าสีเล็ดรอดออกมา ค่อยๆ เข้าใกล้นิ้วมือเขา วินาทีถัดมาทั้งร่างเขาก็ถูกกลืนไปกับเปลวไฟห้าสีที่ลุกโชน
มกรตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน พยายามสะบัดการเกาะกุมของอู๋จือฉีออก คิดจะพุ่งเข้าไปช่วย อู๋จือฉีรั้งเขาไว้ไม่ปล่อย สุดท้ายเลยถีบเขาทีหนึ่งจนล้มและเหยียบเอาไว้เสียเลย ไม่ยอมให้เขาขยับอีก
“เจ้าโง่! เข้าไปรนหาที่ตายหรือ นั่นมันคือการแก้แค้นเอาคืนของอสูร!” อู๋จือฉีน้ำเสียงดุดัน
เปลวไฟห้าสีกลืนกินไป๋ตี้ไปทั้งร่างอย่างน่าประหลาด แรกเริ่มเขาสะดุ้งไปทั้งตัว จากนั้นก็มีสีหน้าเจ็บปวด ตามมาด้วยค่อยๆ รู้สึกสบาย สองมือกุมอยู่ที่หัวใจ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เยี่ยมมาก ข้ารอวันนี้ รอมานานแสนนาน” เขากุมหัวใจเอาไว้ เปล่งประกายแสงเยียบเย็น ในมือมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง ก็คืออาวุธที่วันนั้นเขาใช้ตัวศีรษะหลัวโหวจี้ตูขาดสะบั้น
ดูเหมือนเขาต้องการใช้มีดสั้นนั้นปลิดชีวิตตนเอง เขายังไม่ทันได้ลงมือ มีดสั้นนั้นก็ถูกเปลวไฟหลอมเป็นเถ้า ไป๋ตี้ถอนหายใจยาว ค่อยๆ หลับตาลง เสื้อผ้าถูกเผากลายเป็นเถ้าธุลีหมดสิ้น เหลือแต่รอยผนึกทองคำบนหน้าผากที่ยังส่องประกายกะพริบ
ทันในนั้นเอง ใต้วงแขนอู๋จือฉีก็กระตุกไหวขึ้นมา ราวกับมีอะไรบางอย่างจะแล่นออกไปในบัดดล ยังไม่ทันตั้งสติได้ ก็เห็นขอสมุทรเช่อไห่สว่างวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง ก็ไม่รู้ทะลุออกไปตอนไหน ขึ้นไปเวียนวนอยู่กลางท้องฟ้า ก่อนจะพุ่งแทงลงมาราวกับดาวตกทะลุกลางกระหม่อมไป๋ตี้ปักเขาไว้กับพื้นอย่างนั้น
ทุกคนได้แต่อุทานขึ้นเบาๆ ก็ไม่รู้ควรจะเข้าไปช่วยหรือว่าเบือนหน้าหนีไม่มองสภาพแสนโหดเหี้ยมเช่นนี้ดี เลือดสดไหลนองพื้นราวกับแม่น้ำสายเล็กหลายสายที่มีสีแดงดังสีเลือดนับไม่ถ้วน ไป๋ตี้พลันเลิกคิ้วยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไปแล้ว ไปเวียนว่ายหกแดน ไปเริ่มต้นใหม่ ไปตระหนักรู้สัจธรรมสำเร็จผลใหม่”
กล่าวจบ รอยผนึกทองคำบนหน้าผากเขาอยู่ๆ ก็พลันสิ้นแสง ร่างกลายเป็นเถ้าดำในพริบตา ตามมาด้วยเปลวไฟยังคงเวียนวนไม่ยอมจากไปง่ายๆ เหมือนเขากับหลัวโหวจี้ตูที่รู้จักกัน พบกัน จากกัน บุญคุณความแค้นต่างๆ นานา ไหนเลยจะกล่าวได้กระจ่างด้วยวาจาเพียงไม่กี่วาจา
ทุกคนมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก ผู้ใดก็ไม่มีวาจาใดจะกล่าว ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เปลวไฟห้าสีค่อยๆ ดับลง โถผลึกแก้วหลิวหลีกลายเป็นเถ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว หลัวโหวที่ถูกไป๋ตี้แบ่งร่างออกมาถึงกับเลือกวิธีการแก้แค้นเช่นนี้ เหนือความคาดหมายของเสวียนจีมาก พวกเขาล้วนคิดว่าหลัวโหวจี้ตูจะเลือกการให้อภัย ผู้ใดจะรู้ว่าพันปีมานี้ ในใจเขายังคงเก็บเพลิงแค้นไว้อย่างลึกสุดใจ ในที่สุดก็ยังคงต้องการสังหารศัตรูคู่แค้นด้วยมือตนเอง
ไฟจากฟ้านอกตำหนักค่อยๆ หยุดลง ไม่มีลูกไฟร่วงลงมาอีกแล้ว แต่เขาคุนหลุนกับแดนสวรรค์เบื้องบนยังคงคุกรุ่นอย่างไม่ได้มีทีท่าว่าจะดับมอด เสวียนจีนิ่งอึ้งไปนาน ในที่สุดก็ค่อยๆ เดินเข้ามายองลงนั่งลูบคลำพื้นดินที่เต็มไปด้วยเถ้าธุลี ไม่รู้คิดหาอะไร
ราชันสวรรค์หลังม่านก็ได้แต่ทอดถอนใจ ตรัสเบาๆ ว่า “พวกเขา…ไปกันหมด ไม่เหลือสักคน”