ตอนที่ 687 รอคอยเพื่อตอบโต้
หลังจากที่หานอี้หล่ายได้เห็นฉินหยุนเผยใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวด
เขาจึงยิ้มยินดีขณะเริ่มสืบเท้าก้าวเดินหาฉินหยุน
ผู้คนรอบนอกลานประลองไม่อาจรับรู้ถึงสถานการณ์ของฉินหยุน
ตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสับสน
เพราะจากศึกก่อนหน้า ฉินหยุนมักจะโจมตีในพริบตาตั้งแต่ที่การ
ประลองเริ่มขึ้น
แต่ตอนนี้ ฉินหยุนยืนนิ่งเฉยอยู่ตำแหน่งเดิม ที่ผิดแผก คือสีหน้านั้น
เผยอาการเจ็บปวด
ที่แปลกยิ่งกว่า คือหานอี้หล่ายก้าวเดินเชื่องช้าอย่างมาดมั่นพร้อม
รอยยิ้มประดับใบหน้า
ฉินหยุนสามารถเคลื่อนไหว กระนั้นหากคิดทำจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ยิ่ง เขายังไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเจ็บปวดเพียงนี้
“เสี่ยวหยุน พลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้า ดังนั้น
แม้เป็นพลังของแก่นเต๋าตะวันทมิฬก็ไม่อาจต้านรับไว้!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว “เหตุใดเจ้าไม่ยอมแพ้เสีย? ตอนนี้ข้าไม่อาจทำอะไรได้แล้ว”
“ปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงละ? หรือไม่ก็ดูดกลืน?” ฉินหยุนรู้สึก
ร้อนใจยามได้เห็นหานอี้หล่ายก้าวเดินเข้ามาเชื่องช้า
“นั่นไม่ได้! ชายคนนี้ฝึกฝนโลหิตเซียน ด้วยพลังของเขา สลายพลัง
แรงโน้มถ่วงไม่ใช่เรื่องยาก”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่อาจดูดกลืนเขา เพราะระดับการฝึกฝนของเขา
สูงกว่าเจ้า คิดลองไม่ใช่เรื่องดี เจ้าอาจทำพลาดจนทำร้ายตนเองได้…
หากอีกฝ่ายอ่อนแอกว่านี้สักหน่อยละก็…” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนไม่ยินยอม เพราะการต่อสู้ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ
“เจ้าสมควรได้ทราบแล้วว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด!” หานอี้หล่ายกล่าว
คำเฉยชาขณะเดินเข้ามา
“เจ้าแข็งแกร่งจริง! อย่างไรแล้ว เจ้าก็เป็นตาเฒ่าพันปี ขณะที่ข้าอายุ
เพียงยี่สิบ!” ฉินหยุนพลันเคลื่อนไหว
ลานประลองถึงกับอัดแน่นด้วยชั้นแสงสีทองเจือจาง
ขณะฉินหยุนเคลื่อนไหว เขารับรู้ได้ถึงแสงสีทองที่อัดแน่นด้วยพลัง
แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาเคลื่อนไหวมากเท่าใด พลังรุนแรงที่เขา
รับรู้ได้จากร่างกายเท่าใด มันยิ่งทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
หากเขาเพียงยืนเฉย นั่นจะไม่ใช่ความเจ็บปวดมากมายอันใด
ฉินหยุนก้าวได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาพลันต้องหยุด ความเจ็บปวดนี้ราว
กับมันลงลึกถึงไขกระดูก มันทำให้เขาต้องเกิดความหนักอึ้งเกาะกุม
หัวใจ
“นี่คือความสามารถเทวะของข้า นามว่าความสามารถเทวะทรมาน!”
หานอี้หล่ายหัวเราะเสียงดังกล่าวคำ
ทันใดนี้เอง ครึ่งเซียนจากหุบเขาเซียนโอสถจึงเผยยิ้มกล่าวคำ “หาน
อี้หล่ายฝึกฝนโลหิตเซียน แก่นเต๋าของเขาทรงพลังยิ่ง ความสามารถ
เทวะปลดปล่อยออกเป็นพื้นที่ ส่งผลให้ผู้ใดที่อยู่ในระยะต้องรู้สึก
เจ็บปวด”
หลังได้ทราบ ครึ่งเซียนจากสำนักอื่นต่างต้องตื่นตะลึงพลางถอน
หายใจ
โดยเฉพาะเปาเฉิงโฉ่ว สีหน้าของเขากลับกลายเป็นหนักอึ้งพร้อม
ตะโกนดัง “ฉินหยุน เร่งรีบลงมา!”
“ท่านบรรพบุรุษ อะไรคือการฝึกฝนโลหิตเซียน?” เจี้ยนรั่วหยานเกิด
ข้อสงสัย จึงเร่งรีบถามต่อเจี้ยนสือเทียน
“มันคือสภาวะที่สองของร่างเซียน ตามปกติแล้ว มีแต่จักรพรรดิยุทธ์
และครึ่งเซียนที่ครอบครองร่างเซียนจึงสามารถไปถึงสภาวะนั้นได้
พลังงานจะถูกใช้เพื่ออัดแน่นและเสริมสร้างเลือดในกาย ทำให้เลือด
สามารถสร้างพลังเซียนขึ้นมาได้เอง” เจี้ยนสือเทียนกล่าว
ครึ่งเซียนจากหุบเขาเซียนโอสถหัวเราะดัง “ครั้งหานอี้หล่ายตัดสินใจ
ฝึกฝนมัน พวกเราผู้อาวุโสต่างคัดค้าน กระนั้นตอนนี้ ดูเหมือนการ
ตัดสินใจของเขาจะนำพามาซึ่งผลลัพธ์อันดี”
เจี้ยนหนันหู่กำหมัดแน่นพร้อมขมวดคิ้ว “ถึงกับมีม้ามืดเช่นนี้คงอยู่!
แม้ได้ยินว่าเป็นร่างเซียนอายุนับพันปี กลับไม่คิดว่าจะชวนสะพรึง
เพียงนี้! กระทั่งฉินหยุนยังได้แต่ต้องยอมศิโรราบต่อหน้าชายคนนี้!”
“หานอี้หล่ายครอบครองวิญญาณยุทธ์ทรมานสีน้ำเงิน มันคือความ
สามารถเทวะของวิญญาณยุทธ์ ดังนั้นแล้ว จึงทำให้เขาสามารถใช้
ความสามารถเทวะทรมานได้ง่ายดาย นี่ถือเป็นเรื่องที่ลึกล้ำยิ่ง!” เจี้ยน
สือเทียนกล่าว “อาหู่ แม้เป็นเจ้า ก็ได้แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อเขา!”
หานอี้หล่ายยืนตรงหน้าฉินหยุนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เขาแค่นเสียง
กล่าวคำไม่ยินดี “ฉินหยุน เมื่อวานเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก วันนี้เรี่ยวแรง
หายไปที่ใดหมดแล้ว?”
กล่าวจบ เขาจึงต่อยใบหน้าฉินหยุน ส่งร่างกระเด็นกระแทกม่านพลัง
ฉินหยุนเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง กระทั่งว่าโคจรพลังได้ มันก็ยังต้อง
อ่อนแรงลงไปมากเพราะพลังประหลาดของความสามารถเทวะ
ทรมาน ทำให้เขายากที่จะตั้งจิตรวบรวมกำลังตอบโต้
หานอี้หล่ายสะบัดมือคิ้วขมวดกล่าวคำ “ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะมีร่างกาย
ยอดเยี่ยมเพียงนี้ ด้วยไม่มีพลังงานเซียนใดแต่กลับมีร่างกายที่แข็งแกร่ง
นั่นย่อมไม่ใช่ร่างเซียน หรือนั่นจะเป็นร่างสวรรค์ลึกล้ำที่หาได้ยากยิ่ง?”
ร่างสวรรค์ลึกล้ำ มันคือร่างสัตว์สวรรค์ลึกล้ำ เป็นสิ่งที่แข็งแกร่ง
อย่างยิ่งประการหนึ่ง
“เจ้าคงไม่ได้ฝึกฝนร่างราชสีห์สวรรค์ลึกล้ำหรอกกระมัง?”
หานอี้หล่ายก้าวเดินเข้ามา กระทืบเท้าที่แผ่นหลังฉินหยุน ทำให้ฉิน
หยุนต้องร้องออกอย่างเจ็บปวด
“ช่างดื้อรั้นนัก แม้รู้ว่าไม่อาจเอาชนะข้า ก็ยังไม่ยอมรับความพ่าย
แพ้!” หานอี้หล่ายพลันเผยสีหน้าดุดันและโหดเหี้ยม “ในเมื่อเป็น
เช่นนั้น ให้ข้าทรมานเจ้าสักครู่หนึ่งแล้วกัน”
“เจ้าอย่างไรแล้วก็เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของหุบเขาเซียนโอสถ ดังนั้น
จึงต้องจ่ายหนี้แค้นที่สั่งสมเอาไว้แก่หุบเขาเซียนโอสถของเรา ตอนนี้
ถือว่าได้เวลาทวงคืนพร้อมดอกเบี้ยแล้ว!”
หานอี้หล่ายกล่าวคำเชื่องช้า พร้อมกับเริ่มเตะร่างฉินหยุนราวคลุ้ม
คลั่ง
ตึง! ตึง! ตึง!
หานอี้หล่ายใช้พลังอันเหนือล้ำทุบตีฉินหยุนอยู่ฝ่ายเดียว ทุกหมัดและ
เท้าจะระเบิดพลังออกเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง จากนั้นจึงตามด้วย
เสียงกรีดร้องของฉินหยุน
เรื่องนี้ทำเอาทั้งตำหนักโทเทม ตำหนักจารึกเทวะ หุบเขาเซียนโอสถ
และอีกหลายขั้วอำนาจที่มีข้อพิพาทกับฉินหยุนต่างปรบมือแสดง
ความยินดีกันออกหน้า
ทุกครั้งที่ฉินหยุนถูกทุบตีอย่างโหดเหี้ยม ผู้คนจากฝ่ายเหล่านั้นจะส่ง
เสียงโห่ร้องยินดีตามหลัง
เพียงครู่ ฉินหยุนถูกทำร้ายจนหัวแตกเลือดไหลหลั่ง เขานอนกับพื้น
สูดอากาศเข้าไป เสื้อผ้าของเขาต้องขาดรุ่งริ่งทั้งยังเปรอะเปื้อนเลือด
ฉินหยุนเวลานี้ค่อยได้ทราบ ว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” นั้นหมายความถึง
อะไร
เขาไร้ซึ่งทางเลือก มีแต่ต้องยอมรับต่อพรสวรรค์อันเหนือล้ำของหาน
อี้หล่าย รวมถึงกำลังอันเลิศล้ำของอีกฝ่าย กระทั่งว่าเขาอยู่ขอบเขต
วรยุทธ์ลึกล้ำ ก็คงมีชะตาไม่ต่างกันจากตอนนี้
หลิงหยุนเอ๋อถอนหายใจเบา “เสี่ยวหยุน ข้าไม่อาจช่วยเจ้า ชายผู้นี้
เหนือกว่าเจ้าเกินไป เขาสามารถเอาชนะเจ้าได้ด้วยมือเปล่า ใน
สถานการณ์ตอนนี้ เจ้าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ให้แก่เขาได้!”
“ฉินหยุน เจ้าคงไม่สติเลอะเลือนแล้วกระมัง? ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่คิด
ตะโกนยอมแพ้อีก!” ครึ่งเซียนจากหุบเขาเซียนโอสถหัวเราะดัง
อหังการ “อาหล่าย ทรมานมันต่อ ข้าคิดอยากเห็นนักว่ามันจะทนได้
อีกสักเพียงใด!”
ขั้วอำนาจทั้งหลายที่มีข้อพิพาทกับฉินหยุนต่างส่งเสียงโห่ร้องดังกัน
ไม่ขาด
เจี้ยนรั่วหยานและหลงเฉียวเฟิงรู้สึกเจ็บปวดยามได้เห็นเรื่องราว
พวกนางหันมองทางเชี่ยวเย่ว์หลานที่อยู่ไม่ไกลหลายครั้ง พวกนาง
คาดหวังให้นางเรียกฉินหยุนกลับลงมา
สีหน้าของเชี่ยวเย่ว์หลานยังคงเย็นเยือก สายตามองที่ฉินหยุนผู้ซึ่งอยู่
บนลานประลองยุทธ์
นางทราบว่าฉินหยุนถูกสะกดข่มอย่างสมบูรณ์ กระนั้น นางก็เชื่อว่า
ฉินหยุนย่อมต้องหาทางตอบโต้กลับได้แน่
“เย่ว์หลาน เร่งรีบเรียกฉินหยุนให้ลงมาได้แล้ว!” ฮูจิงเซียนเร่งเดินเข้า
มาข้างกายเชี่ยวเย่ว์หลาน พร้อมส่งเสียงสื่อสารทางจิตบอกต่อนาง
ทันใดนี้เอง เจี้ยนรั่วหยานและหลงเฉียวเฟิงได้ส่งเสียงทางจิตสื่อสาร
ต่อเชี่ยวเย่ว์หลาน ขอให้นางบอกฉินหยุนให้ยอมรับความพ่ายแพ้
กระนั้นเชี่ยวเย่ว์หลานยังคงเฉยชา นางเพียงมองฉินหยุนด้วยอาการ
สงบและเงียบงัน!
เปาเฉิงโฉ่ว เย่ว์ผูเฟิง กระทั่งเจี้ยนหนันหู่ต่างตะโกน บอกให้ฉินหยุน
เร่งรีบยอมแพ้ เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็มีแต่ชะตาต้องถูก
ทำลาย
“เหตุใดฉินหยุนดื้อรั้นเพียงนี้? ที่หน้าประตูพระราชวังเซียนยุทธภัณฑ์
เป็นเขายืนกรานไม่สู้กับข้าไม่ว่าจะด้วยอะไร เขาไม่เคยกลัวการตก
เป็นที่หัวเราะเยาะ กระนั้นตอนนี้เพียงเพราะความทะนงตนที่มี ทำ
ให้เขาดึงดันเพียงนี้!” เจี้ยนรั่วหยานสบถเสียงเบา
เปาเฉิงโฉ่วถอนหายใจกล่าว “หานอี้หล่ายคือร่างเซียนโดยธรรมชาติ
และยังผ่านการฝึกฝนขื่นขมยาวนานนับพันปี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่อง
แปลกหากฉินหยุนพ่ายแพ้ เรื่องนี้ยังจะมีอื่นใดให้ต้องเสียหน้ากัน?”
ผู้คนต่างรู้สึกว่าฉินหยุนดึงดันเพียงนี้ออกจะไร้จุดหมาย อีกฝ่ายได้
แต่เพียงเป็นเป้าซ้อม
หลงเฉียวเฟิงและเจี้ยนรั่วหยานไม่ทราบความคิดเชี่ยวเย่ว์หลาน นาง
เพียงรับชมเรื่องราวที่เป็นไป
แต่ด้วยฐานะสตรี พวกนางย่อมได้เห็นว่าในดวงตาเย็นเยือกของเชี่ยว
เย่ว์หลาน มันมีความรักอันลึกล้ำเพียงใด ในขณะเดียวกัน มันยังอัด
แน่นด้วยความเชื่อมั่นและคาดหวัง
ฮูจิงเซียนไม่ค่อยทราบเรื่องราวของฉินหยุนมากนัก นางเพียงเชื่อว่า
ฉินหยุนมีแต่ต้องกล้ำกลืนต่อไปจนกระทั่งตายตก
กระนั้น เชี่ยวเย่ว์หลานหาได้คิดเช่นเดียวกันไม่ นางรู้จักฉินหยุนดี
นางทราบว่าเขาจะต้องไม่แบกรับความเสียหายใหญ่หลวงเพียงฝ่าย
เดียวถึงเพียงนี้
ฉินหยุนถูกทุบตีจนน่วม หากเขาไม่อาจตอบโต้ หมายความถึงเขามี
ความคิดเป็นอื่น
ด้วยเหตุนี้ นางจึงคาดเดา ว่าฉินหยุนกำลังรอโอกาสอยู่!
ฉินหยุนที่บนลานประลองยุทธ์ เขาถูกทำร้ายหนักหนา เสียงกระดูก
แตกหักได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาได้ฝึกฝนกระดูกวิญญาณ ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ผสานรวมเข้ากับ
จิตวิญญาณราชสีห์สวรรค์ กระนั้นก็ยังหัก นี่เป็นการแสดงถึงแล้วว่า
หานอี้หล่ายแข็งแกร่งเพียงใด!
ศิษย์ร่างเซียนหลายคนที่นี้ต่างต้องอึ้งต่อกำลังของหานอี้หล่าย มันทำ
พวกเขาเชื่อ ว่าหากผ่านการฝึกฝนอันขื่นขมนับพันปี พวกเขาจะ
ได้รับพลังนั้นมาครอง
และยังมีอีกเรื่องที่ผู้คนต้องตกใจ นั่นก็คือความดื้อรั้นของฉินหยุน!
ถูกทุบตีถึงเพียงนี้ เขายังอดทนต่อ!
หานอี้หล่ายคล้ายหมดแรงจากการทุบตีจนถึงตอนนี้ เขาค่อยตระหนัก
ได้ ว่าหากตนเองไม่ใช้กำลังเต็มที่ในทุกครั้งที่โจมตี เขาก็จะไม่อาจ
ทำให้ฉินหยุนรู้สึกเจ็บปวด
“ฉินหยุน เจ้าคิดหรือว่าจะดื้อรั้นเช่นนี้ต่อไปได้ กระทั่งว่าเจ้าแพ้ ก็
ไม่มีผู้ใดว่ากล่าวเสียหายต่อเจ้ากระมัง?” หานอี้หล่ายแค่นเสียง “เจ้า
คิดว่าจะทนเช่นนี้เรื่อยไปได้หรือ? เจ้าคิดผิดแล้ว หากเจ้ายังยืนกราน
ดื้อรั้น สิ่งที่เจ้าได้รับจะไม่มีทางเท่าที่ต้องสูญเสีย!”
หานอี้หล่ายหัวเราะโฉดชั่วดัง มือของเขาอัดแน่นด้วยพลังพร้อมจ้วง
แทงใส่หน้าท้องฉินหยุน
“อั่ก…” ฉินหยุนพลันร้องออก
ผู้คนต่างอึ้งทึ่ง พวกเขาได้เห็นว่าหานอี้หล่ายสร้างปากแผลเลือดไหล
เจิ่งนองที่หน้าท้องฉินหยุน ที่ในนั้น มันเป็นแก่นเต๋าสีดำ
“แก่นเต๋าสีดำ วิญญาณยุทธ์สีดำ ไม่เลว… ไม่เลว!” หานอี้หล่ายหัวเราะ
ดัง “ฉินหยุน หากเจ้าต้องการแก่นเต๋านี้กลับคืน ดังนั้นสมควรรู้กระมัง
ว่าต้องทำอะไร!”
“คิดแลกเปลี่ยนกับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวอย่างนั้นหรือ?” ฉินหยุน
กัดฟันกล่าวถาม ร่างกายของเขาโชกเลือด ดวงตาแดงก่ำเพราะเลือด
เข้าตา สภาพตอนนี้ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
หานอี้หล่ายมองที่แก่นเต๋าสีดำในหน้าท้องฉินหยุน เขายิ้มกล่าว “เจ้า
ก็รู้ดีนี่! อย่าได้กล่าวโทษข้า นี่เป็นเจ้าทำตนเอง หากเจ้าไม่ดื้อรั้น ก็
คงไม่มีโอกาสนี้ให้แก่ข้า!”
เปาเฉิงโฉ่วพลันกล่าวออกด้วยโทสะ “นำแก่นเต๋าผู้อื่นออกถือเป็น
การขัดต่อกฎอย่างร้ายแรง!”
ตูเทียนตี้จากตำหนักโทเทมแค่นเสียง “ครั้งเขาอยู่แดนยุทธ์อ้างว้าง
ฉินหยุนใช้แก่นเต๋าผู้อื่นระเบิดสังหารผู้คนไปมากมาย ดังนั้นนี่ไม่
ต่างอะไรกับบทลงโทษที่เขาสมควรได้รับ!”
เมื่อฉินหยุนได้เห็นหานอี้หล่ายยื่นมือออกมา เขาพลันคำรามกราด
เกรี้ยว “หานอี้หล่าย เจ้าจะต้องเสียใจ!”
“ฮ่าฮ่า ข้าย่อมไม่เสียใจแม้เพียงนิด!” มือของหานอี้หล่ายสัมผัสที่แก่น
เต๋าฉินหยุนแล้ว เวลานี้เขาเผยสีหน้าภาคภูมิต่อความสำเร็จออกมา
ครึ่งเซียนจากหุบเขาเซียนโอสถตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด นี่หมายความ
ถึงพวกเขาจะได้รับจารึกวิญญาณจ้าวดวงดาวเป็นแน่แท้แล้ว
หานอี้หล่ายสัมผัสแก่นเต๋าของฉินหยุน อย่างกะทันหันเขาพลันรับรู้
ถึงความเจ็บปวดมากล้นที่ปลายนิ้ว มือของเขาพลันต้องชักกลับก่อน
จะพบจุดสีดำสองจุดที่ปลายนิ้ว
มันราวกับ… เขาถูกอสรพิษกัด…