ตอนที่ 522 อยากสังหารนางหรือ?

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 522 อยากสังหารนางหรือ?

“เจ้าอยากพูดอันใดกับนางหรือ ? ” ฟางหลิงซู่ได้ยินอันหลิงเกอเอ่ยถามจึงหันไปถามหนานกงหลิงเยว่แล้วหรี่ตามองราวกับตักเตือน

“ท่านพี่ พวกเราบอกนางเถิด หากนางยอมจักได้มิเป็นผลเสียต่อพวกเราเจ้าค่ะ”

เวลานี้หนานกงหลิงเยว่กระวนกระวายใจไร้หนทางเหมือนเด็กน้อยมิผิดเมื่อถูกฟางหลิงซู่มองด้วยสายตาเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอมิรู้ว่าเพราะเหตุใดก็นึกถึงถ้วยลายครามที่ฟางหลิงซู่ขอเลือดของนางในครั้งนั้นได้ ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าถ้วยใบนั้นมีคุณสมบัติเหมือนหินของท่านแม่

ความคิดที่ฉายขึ้นมาทำให้นางรู้สึกเหมือนเรื่องราวมากมายแตกต่างกันจนนางนึกถึงสาเหตุของเรื่องนี้มิได้

“มิได้เด็ดขาด ! ” ฟางหลิงซู่กล่าวพร้อมมองไปทางอันหลิงเกอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เจ้ากลับไปเถิด”

แต่เวลานี้หนานกงหลิงเยว่ดูเหมือนมิคิดตรงกัน นางจับแขนของฟางหลิงซู่และกล่าวอ้อนวอน

“ท่านพี่ ท่านก็รู้แก่ใจดีว่าตอนนี้พวกเขากำลังจับจ้องท่านอยู่ หากท่านมิบอกนางแล้วสักวันอาจเกิดเรื่อง…”

“เจ้ามิต้องมาสั่งสอนข้า ! ”

ตอนนี้ฟางหลิงซู่ดูโกรธมาก มิทันรอให้หนานกงหลิงเยว่กล่าวจบ เขาก็รีบสาวเท้าไปทางอันหลิงเกอแล้วโอบเอวของนางเพื่อพาไปนอกหอพิษกู่ทันที

“ท่านพี่…”

เสียงของหนานกงหลิงเยว่ยังดังตามมาด้านหลัง อันหลิงเกอจึงหันมองใบหน้าด้านข้างของฟางหลิงซู่อย่างเงียบ ๆ โดยมิกล่าวอันใด ท่าทางเม้มปากของเขาได้บ่งบอกถึงความรู้สึกในตอนนี้อย่างชัดเจน

แต่ยังมิทันที่เขาจักพานางออกไปได้ไกลก็มีเงาดำร่างหนึ่งไล่ตามมา ซึ่งรูปร่างของเงาดำนั้นมิแตกต่างจากฟางหลิงซู่สักนิด

อันหลิงเกอคาดมิถึงว่ายังมีผู้ที่รูปร่างเทียบเทียมกับฟางหลิงซู่ได้อีก

“หึ นางปรากฏตัวแล้ว เจ้ายังคิดพานางไปที่ใดอีก ! ”

เมื่อสิ้นสุดเสียงนั้น อีกฝ่ายก็โจมตีทั้งสองคนทันที อันหลิงเกอสัมผัสได้ว่านี่คือคนที่อาโผรับคำสั่งก่อนหน้านั้นและก็น่าจะเป็นนายที่อยู่เบื้องหลังอาโผโดยแท้จริงอีกด้วย

“ฟางซั่ว ยังมิถึงเวลาที่เจ้าจักเข้ามาแทรก ! ”

ฟางซั่ว ชื่อนี้อันหลิงเกอเคยได้ยินจากปากของซูโจวและรู้ว่าเป็นคนที่เคยคิดแย่งหอพิษกู่กับฟางหลิงซู่ซึ่งเขาคงเป็นพี่ชายนั่นเอง

“ฟางหลิงซู่ ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าและเป็นประมุขหอพิษกู่ เจ้าบังอาจเรียกนามของข้าโดยตรง มิเกรงกลัวโทษเลยหรือ ? ”

หลังเขากล่าวจบก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ดูชั่วร้ายเหมือนหนานกงหลิงเยว่มิมีผิดแต่เย็นยะเยือกกว่า

“หืม ? ”

ฟางหลิงซู่มิได้สนใจคำกล่าวของอีกฝ่าย ตรงกันข้ามคือโอบอันหลิงเกอให้แน่นขึ้น

ในเวลานี้อันหลิงเกอก็มองออกว่าฟางซั่วต้องการเอาชีวิตนาง ส่วนจะด้วยเหตุผลอันใดก็คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงที่หนานกงหลิงเยว่ต้องการบอกนั่นเอง

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ มองแล้ววันนี้นางต้องมาเสียเที่ยวเป็นแน่

“หลิงเยว่ นำตัวนางไป ! ”

ในเวลานี้หนานกงหลิงเยว่ปรากฏขึ้นในสายตาของฟางหลิงซู่ เขาจึงผลักอันหลิงเกอไปให้หนานกงหลิงเยว่ จากนั้นเขาก็เผชิญหน้ากับฟางซั่ว

มิว่าเป็นเยี่ยงไรฟางหลิงซู่ก็มิอาจใช้ชีวิตของอันหลิงเกอมาเดิมพันได้

ที่ผ่านมาฟางซั่วซ่อนตัวมิเปิดเผย แต่หลายวันมานี้กำเริบหนักขึ้นเรื่อย ๆ และเขารู้ว่าสงครามในครานี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง

“ไปกันเถิด” หนานกงหลิงเยว่มิได้ลังเลแต่อย่างใด นางจับที่ข้อมือของอันหลิงเกอแล้วเตรียมจากไป

“แต่เขา…”

อันหลิงเกอเกิดความลังเลเล็กน้อยราวกับรู้สึกมิดีที่จะทิ้งฟางหลิงซู่ไว้เพียงลำพัง

“ไปเถิด เจ้ามิต้องห่วงเพราะฟางซั่วมิมีทางทำร้ายท่านพี่อย่างแน่นอน” เมื่อหนานกงหลิงเยว่กล่าวจบ อันหลิงเกอก็กระโดดตามนางออกไปนอกกำแพงโดยมิลังเลอีก

“เจ้าปล่อยนางไปอีกแล้วหรือ ? ”

“มิเกี่ยวกับเจ้า”

ดูเหมือนว่าเบื้องหลังของฟางหลิงซู่กำลังดูหมิ่นฟางซั่วอย่างมากและก็เป็นดั่งที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวไว้จริงเพราะหลังอันหลิงเกอจากไป ฟางซั่วก็มิได้คิดลงมือทำร้ายฟางหลิงซู่แต่อย่างใด

“หนานกงหลิงเยว่ เมื่อครู่เจ้าต้องการกล่าวอันใดกับข้า ? ”

ตอนนี้ฟางหลิงซู่มิอยู่ด้วย อันหลิงเกอรู้ว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ถามให้เข้าใจ

แต่คาดมิถึงว่าหนานกงหลิงเยว่จักเปลี่ยนไปเร็วเยี่ยงนี้

“บางทีท่านพี่อาจพูดถูกว่าเจ้าควรกลับไปเสีย”

นางกล่าวจบก็ทอดถอนใจออกมาราวกับมีเรื่องที่ต้องคิดมากมาย และเรื่องของฟางซั่วเมื่อครู่ทำให้นางตระหนักได้ว่าอันหลิงเกอมิรู้เรื่องอันใดก็คงไร้ซึ่งความผูกพัน ไร้ความกังวลและไร้ความกดดัน แต่หากรู้เรื่องแล้วบางทีอาจต้องแบกรับเรื่องราวหนักอึ้งยิ่งกว่านี้

เพราะการที่พวกเขาปกป้องนาง มิได้ปกป้องนางด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่มีจุดประสงค์ของตนซึ่งมิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด

“ช่างเถิด เจ้ากลับไปดีกว่า ฟางซั่วน่าจะยังตามมามิทัน”

เวลานี้หนานกงหลิงเยว่มีสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจมาก นางคาดมิถึงว่าการพาอันหลิงเกอมาโดยพลการจักนำมาซึ่งความวุ่นวายมากมาย และคาดมิถึงว่าฟางหลิงซู่จักโกรธนางด้วยเหตุผลนี้

ฟางหลิงซู่เป็นผู้ที่รอบคอบมาก แต่นางกลับสร้างปัญหาตลอดเวลา

“เจ้ารีบไปจากที่นี่เถิด ข้ายังต้องกลับไป”

หนานกงหลิงเยว่แสร้งทำเมินเฉย อันหลิงเกอเองก็ดูออกและรู้ว่าขืนอยู่ต่อไปก็มิมีความหมายอันใด คงมิได้รับข่าวคราวใดด้วย

แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางได้รู้ว่าเหตุใดอาโผถึงลงมือทำร้ายนางและรู้ว่าศัตรูของตนอยู่ที่ใด

ฟางซั่วผู้นั้นดูแล้วคงอยากสังหารนางให้ตายจนแทบรอมิไหว เพียงแต่เขายังมิมีคุณสมบัติมากพอ !

ถูกหรือผิด อันหลิงเกอก็คิดว่าตนมองออกมากพอ แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหอพิษกู่เป็นความมืดมิดจริงหรือ และสิ่งที่เรียกว่าความถูกต้องในวังหลวงเหล่านั้นจะบริสุทธิ์จริงหรือไม่ ?

เมื่อนางกลับถึงจวนอ๋อง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว โคมไฟที่ประดับประดาสวยงามมีความซ้ำซากจำเจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อันหลิงเกอนึกถึงวันสมรสของตนขึ้นมา

บางทีสิ่งที่ตนต้องการอาจมิใช่อำนาจ เพียงต้องการจับมือไปด้วยกันเท่านั้น

“พระชายากลับมาแล้ว บ่าวเตรียมชุดเข้าร่วมพิธีในวันพรุ่งนี้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ พระชายารีบไปดูว่ามีตรงไหนมิเหมาะสม ปี้จูจะได้แก้ไขทันทีเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นชุดเข้าร่วมพิธีแล้วอันหลิงเกอก็รู้สึกว่าชุดนี้งดงามวิจิตรกว่าชุดแต่งงานของทัวป๋าหลิวลี่เสียอีก นางจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญากับความคิดของปี้จู

“ถึงอย่างไรก็เป็นวันอภิเษกของนาง ข้าไร้ความจำเป็นต้องแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรอก”

มิใช่ว่าอันหลิงเกอมิสนใจ เพียงแต่นางรู้ว่าเรื่องนี้มิได้สร้างผลกระทบอันใดต่อตนและมู่จวินฮาน

“แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหรือเจ้าคะ ? พระชายา ในจวนอ๋องมู่นี้ท่านเป็นนายหญิงก็ต้องแต่งกายด้วยชุดสีแดงจึงสมกับเป็นนายหญิงเจ้าค่ะ ! ”

ปี้จูกล่าวอย่างสมเหตุสมผลและช่วยลองชุดคลุมยาวให้อันหลิงเกอ

ภาพของนางที่สะท้อนอยู่ในกระจกให้ความรู้สึกเหมือนย้อนไปในวันสมรสอีกครั้ง เพียงชั่วครู่อารมณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าก็เปลี่ยนไป

เพราะในตอนนั้นนางมิสนใจสิ่งใด สิ่งของที่อยู่นอกกาย เรื่องราวนอกกายเหล่านี้ล้วนมิควรค่าให้เก็บไปคิด แต่ตอนนี้ได้เห็นตนเองในกระจกก็ราวกับมีดอกไม้สีแดงเบ่งบานอยู่ในใจ

“อืม…”

เสียงลมหายใจดังจากหน้าประตู อันหลิงเกอหันไปมองก็เห็นมู่จวินฮานยืนอยู่นอกห้อง ทำให้นางหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย จากนั้นนางจึงรีบดึงเครื่องประดับบนศีรษะออกอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเองก็รู้สึกสับสนเช่นกันกระมัง ข้าแค่มาดู…”

ความเขินอายของอันหลิงเกอในสายตาของมู่จวินฮานกลับทำให้เขาตื่นเต้นมิน้อย เขาเดินไปใกล้แล้วจับมือที่กำลังดึงปิ่นปักผมออกของนางแต่มิทันระวังจึงทำให้ผมเกล้ามวยทั้งหมดหลุด ส่งผลให้เส้นผมสยายลงมาปรกบ่าของนาง

ปี้จูเห็นดังนั้นมุมปากจึงยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็วิ่งออกไปและปิดประตูอย่างเงียบ ๆ

“เจ้าตำหนิข้าหรือไม่ ? ”

อันหลิงเกอรู้ว่าเขากำลังจะกล่าวอันใด เรื่องที่เขาต้องเข้าพิธีสมรสกับทัวป๋าหลิวลี่ นางเกิดความมิพอใจอยู่บ้างแต่มิใช่ต่อเขา

เรื่องนี้เป็นพระราชโองการของฮ่องเต้มิเกี่ยวกับเขา

“มิเคยเจ้าค่ะ” นางยื่นมือไปผลักเขาเบา ๆ “เพียงแต่ถ้าทัวป๋าหลิวลี่คิดเหยียบหัวข้า มิแค่นางหรอกเจ้าค่ะ เพราะมิว่าผู้ใด ข้าก็ไม่ยอม”