ตอนที่ 523 ถูกผิด
คำพูดนี้ของอันหลิงเกอ เดิมทีนางคิดว่ามู่จวินฮานจะขมวดคิ้วมิพอใจ แต่คาดมิถึงว่าเขากลับยกยิ้มอย่างปลอบโยน
“หากชายาของข้าปกป้องตนเองเยี่ยงนั้นก็คงดี หากเจ้าไร้ซึ่งกำลังแล้ว ข้าจักปกป้องเจ้าอย่างถึงที่สุดเอง”
ก่อนวันสมรสของเขาและผู้อื่นดันมากล่าวเรื่องเหล่านี้กับนาง อันหลิงเกอคาดมิถึงและภายในใจของนางไร้คำตำหนิใด ทั้งยังรู้สึกเห็นใจมู่จวินฮานอีกด้วย
ดูเหมือนเขามักมีความสามารถในการควบคุมจิตใจของนางให้คล้อยตามราวกับหุ่นเชิดของทัวป๋าหลิวลี่ก็มิปาน
“เอาล่ะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องทำ”
เมื่อเขากล่าวเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอก็เข้าใจทันที สำหรับนางและมู่จวินฮานคือยิ่งอำนาจเบื้องหลังทรงพลังเพียงใด ในอนาคตก็จะยิ่งมีการช่วงชิงบัลลังก์มากขึ้นเพียงนั้น ถึงตอนนั้นนางคงได้เห็นเขาขึ้นครองบัลลังก์และอยู่เคียงข้างกันอย่างสงบสุข
“เจ้าค่ะ”
วันอภิเษกสมรส อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าหนานกงหลิงเยว่จักมามอบของขวัญในครั้งนี้ด้วย
“นี่คงมิใช่คนของหอพิษกู่ใช่หรือไม่ ? ”
“หรือแท้จริงแล้วอ๋องมู่ผู้นี้…”
“เฮ้อ ดูท่าข่าวลือก่อนหน้านั้นจักเป็นความจริง”
เหล่าขุนนางมิกล้าล่วงเกินโดยตรงจึงทำได้เพียงกระซิบกระซาบกันเบา ๆ เท่านั้น
“ข้าเป็นตัวแทนหอพิษกู่นำของขวัญเนื่องในวันมงคลมามอบให้อ๋องมู่และองค์หญิงหลิวลี่” หนานกงหลิงเยว่กล่าวเยี่ยงนี้ก็เห็นอันหลิงเกอยกยิ้มซึ่งรอยยิ้มนั้นมิได้แฝงไปด้วยความหมายเชิงเย้ยหยันแต่เป็นเพียงรอยยิ้มเรียบง่ายเท่านั้น
“เชิญนั่งเถิด”
ดูเหมือนเหล่าขุนนางคาดมิถึงว่าพระชายามู่จะเตรียมที่นั่งให้คนของหอพิษกู่ด้วย
เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เยี่ยงนี้ ทว่าอันหลิงเกอมิหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะรู้แก่ใจดีว่าเหตุใดหนานกงหลิงเยว่จึงทำเยี่ยงนี้
เนื่องจากบัดนี้เหล่าขุนนางที่ค่อยสนับสนุนจ้าวหลานหยู่ก็เริ่มโจมตีมู่จวินฮานจากทั่วสารทิศ ซึ่งระหว่างทางย่อมมีคนอยากใช้ประโยชน์จากนางอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แต่การมีหนานกงหลิงเยว่อยู่ กลับมิมีผู้ใดกล้าคิดแตะต้องตัวนาง
ใครบ้างมิรู้ว่าหอพิษกู่มีสายลับทั่วหล้า ส่วนพวกขุนนางเหล่านี้ใครบ้างที่บริสุทธิ์โดยแท้จริง? หากเบื้องหลังอ๋องมู่มีหอพิษกู่คอยส่งเสริมแล้วพวกเขาก็ต้องจำยอม
ความคิดเหล่านี้มิรู้ว่าเป็นของหนานกงหลิงเยว่หรือฟางหลิงซู่กันแน่ ? มิว่าเยี่ยงไรอันหลิงเกอก็ยังมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซาบซึ้ง
เวลานี้ทุกคนล้วนให้ความสนใจไปที่ตัวของสตรีจากหอพิษกู่และอันหลิงเกอ ทำให้ทัวป๋าหลิวลี่ได้แต่กระทืบเท้าเบา ๆ ด้วยความมิพอใจ
การกระทำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของมู่จวินฮาน สตรีที่ข่มอารมณ์มิได้เยี่ยงนี้จักเทียบอันหลิงเกอได้อย่างไร?
“เริ่มพิธีได้ ! ”
เมื่อพบปะแขกที่มาร่วมงานจนครบ อันหลิงเกอและหนานกงหลิวเยว่จึงออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ ครั้นเห็นท่าทางของหนานกงหลิงเยว่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้เหมือนมิเคยเดินชมสวน อันหลิงเกอจึงรู้ทันทีว่าท่าทีเหล่านี้เป็นเพราะได้รับการสั่งสอนจากฟางหลิงซู่
คนที่สามารถทำให้หนานกงหลิงเยว่ดูหยิ่งยโสเยี่ยงนี้ก็คงมีแค่ฟางหลิงซู่ผู้เดียวเท่านั้น
“อันหลิงเกอ หากเจ้าเป็นพี่สะใภ้ของข้าก็คงดี” อันหลิงเกอที่เพิ่งรินน้ำชาใส่ถ้วยก็คาดมิถึงว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะทำให้นางมิทันระวังจนน้ำชาลวกมือ
“เด็กคนนี้กล่าววาจามิรู้จักกาลเทศะเสียจริง”
อันหลิงเกอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม หลายวันมานี้นางเข้าใจตัวตนของหนานกงหลิงเยว่มากขึ้น รู้ว่าอีกฝ่ายมีอายุน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ความคิดช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสามากนัก
หนานกงหลิงเยว่ที่ผู้อื่นเห็นกับที่ในสายตาของนางเห็นย่อมมิใช่คนเดียวกัน ผู้อื่นมักเห็นว่าหนานกงหลิงเยว่มีกลิ่นคาวเลือดและกระหายในการสังหารคนไปทั่ว แต่มิใช่เยี่ยงนั้นหรอกเพราะทุกคนที่โดนนางสังหารล้วนแต่เป็นพวกที่โหดเหี้ยมจนกู่มิกลับทั้งสิ้น
“เด็กอย่างนั้นหรือ ? ”
ดูเหมือนหนานกงหลิงเยว่มิพอใจกับคำเรียกของอันหลิงเกอจึงมิแตะต้องน้ำชาที่นางรินให้
“เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องขอบใจเจ้ามากเพราะคนของแคว้นชิงเยว่คงมิกล้าทำอันใดบุ่มบ่ามแล้วกระมัง”
อันหลิงเกอรู้ว่าช่วงนี้คนของแคว้นชิงเยว่มิได้พักผ่อนกันเลย ด้านหนึ่งพวกเขากำลังคิดหาทางกำจัดนางเพื่อส่งเสริมทัวป๋าหลิวลี่ ในทางกลับกันพวกเขาก็คิดเชื้อเชิญนางให้ทำสิ่งต่าง ๆ แก่แคว้นชิงเยว่
ไม่รู้ว่าอันหลิงเกอมีดีอันใด ข้างกายของนางมิเพียงมีคนของจวนอ๋องมู่คอยปกป้องแต่ยังมีคนที่หนานกงหลิงเยว่ซ่อนตัวไว้ในที่มืดคอยปกป้องนางอีกด้วย
กระทั่งนางเองยังเคยบังเอิญได้ยินเฉินผิงกล่าวจึงได้รู้ความคิดของแคว้นชิงเยว่ แต่คาดมิถึงว่าหนานกงหลิงเยว่จักคอยอยู่ด้านหน้าและคอยปกป้องไว้ล่วงหน้าแล้ว
“เจ้าคือพระชายามู่ ยามนี้มิไปต้อนรับแขก กลับมาอยู่เป็นเพื่อนคนที่วิ่งสวนทางกับราชสำนักเยี่ยงข้าหรือ ? ”
การที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวเยี่ยงนี้ย่อมมิได้ล้อเลียนอันหลิงเกอ เพียงแต่ก่อนที่จะมาในวันนี้นางคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
แม้อันหลิงเกอรู้ความคิดของนางแล้ว รู้ดีว่านางคอยปกป้อง ถ้าเป็นคนอื่นคงเลือกถีบหัวส่ง มิได้มีความรักและรู้จักบุญคุณเฉกเช่นอันหลิงเกอหรอก
“คนในราชสำนักเหล่านั้นมิดีไปกว่าปิศาจสักเท่าไร”
หากกล่าวว่าหอพิษกู่เป็นสถานที่รวมตัวของปิศาจ เยี่ยงนั้นในวังหลวงและคนในราชสำนักควรเรียกว่าอันใด ?
อันหลิงเกอมิกล่าวอันใดเรื่อยเปื่อย เพียงแต่เข้าใจเหตุผลดี ในตอนที่หายตัวไป นางก็ได้เข้าใจเหตุผลทั้งหมดแล้ว
นางรู้ก่อนแล้วว่ามิเคยมีสิ่งที่เรียกว่าถูกหรือผิดอย่างชัดเจน หากต้องตัดสินคนที่ดีต่อนางแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นย่อมถูกต้องเสมอภายในใจนาง
ซึ่งการที่นางได้เข้าไปในหอพิษกู่หลายต่อหลายครั้ง ฟางหลิงซู่มิเพียงสอนเรื่องราวมากมายให้นาง ยังมิเคยทำร้ายนางด้วย แล้วมีสิทธิ์อันใดไปวิพากษ์วิจารณ์เขาและหอพิษกู่ของเขาด้วยเล่า ?
ตรงกันข้ามคือภายในวังหลวงที่มักหวาดระแวงนางและมู่จวินฮานอยู่ตลอด ทำให้ที่นั่นนอกจากมู่จวินฮานแล้วนางก็มิเชื่อผู้ใดอีก
มิว่าภายภาคหน้ามู่จวินฮานพบเจอสิ่งใด นางก็จะคอยปกป้องเขาจนลมหายใจสุดท้ายแน่นอน
อันหลิงเกอรู้ว่าใต้หล้านี้คนที่ดีกับนางมีน้อยมาก นางต้องทะนุถนอมทุกคนเอาไว้และคิดทบทวนความถูกผิดด้วยตัวเอง
“ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อมู่จวินฮานช่างลึกซึ้งยิ่งนัก”
หนานกงหลิงเยว่กล่าวอย่างมั่นใจ นัยน์ตามิได้สบอารมณ์ราวกับสำหรับนางแล้วความรู้สึกที่อันหลิงเกอมีต่อมู่จวินฮานมิใช่เรื่องดี
“คงเป็นเช่นนั้นกระมัง”
อันหลิงเกอมิแน่ใจ แววตาของนางไปหยุดอยู่ที่แม่น้ำด้านนอกศาลา ที่แห่งนั้นเงียบงันแต่ในใจของนางมิได้เหมือนเลย
“หากเจ้าลำบากใจ ข้าหวังเพียงให้เจ้าอย่าเจริญรอยตามมารดาก็พอ”
สิ้นสุดเสียง อันหลิงเกอก็หันไปเตรียมถามอันใดบางอย่างแต่ต้องพบความว่างเปล่าซึ่งหนานกงหลิงเยว่มักเป็นเยี่ยงนี้เสมอ
มาแบบไร้ร่องรอยและจากไปอย่างไร้ตัวตน
ช่างเถิด บางทีท่านแม่อาจเคยเจอความทุกข์ใจก็ได้และท่านก็คงอยากมีความสุข
เพราะตัวเราเองย่อมรับผิดชอบทุกการตัดสินใจของตนและจะแข็งแกร่งขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้รับ
เมื่อหนานกงหลิงเยว่จากไปแล้วงานเลี้ยงก็หมดความหมายอันใดต่ออันหลิงเกอ นางมิอยากกลับเข้าห้องโถงจึงไปยังเรือนฝูหลิง
ด้านปี้จูที่ยังยุ่งอยู่ในห้องโถงรับแขก อันหลิงเกอจึงนอนอยู่บนเตียงเพียงลำพังแต่ทันใดนั้นก็รู้สึกหิวขึ้นมา
นางยังมิได้ทานอาหารค่ำเลย ครั้นนึกได้ว่าในสระบัวของเรือนมีฝักบัวอยู่สองสามฝักก็เพียงพอต่อความอิ่มท้องได้
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นนางก็ลุกขึ้นนั่ง ใส่เสื้อคลุมและเดินออกไปนอกเรือน น้ำค้างอันเหน็บหนาวในยามราตรีทำให้นางอดตัวสั่นมิได้
เมื่อเดินมาถึงริมสระบัวแล้ว นางก็โน้มกายไปเก็บฝักบัว