เล่มที่ 13 เล่มที่ 13 ตอนที่ 369 สรรพสิ่งในโลกต่างเกื้อหนุนและหักล้างกัน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หมอเทวดาหวามีท่าทีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “ไม่สามารถถอนพิษหมุดกร่อนรักได้พ่ะย่ะค่ะ”

ถอนพิษไม่ได้?

ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดขาวในทันที

ทว่านางยังพูดอย่างมั่นใจว่า “เป็นไปไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกต่างเกื้อหนุนและหักล้างกัน ในเมื่อมีหมุดกร่อนรัก ย่อมมีวิธีถอนพิษของมันเช่นกัน”

แม้หมุดกร่อนรักจะไม่ใช่ยาพิษ แต่ซูจิ่นซีเป็นผู้ที่ชื่นชอบความท้าทาย ตามหลักการของวิชาพิษ ในใต้หล้านี้ไม่มีพิษใดที่ไม่สามารถถอนได้ ดังนั้นนางไม่เชื่อว่าจะไม่มีวิธีถอนพิษหมุดกร่อนรัก

จะต้องมีวิธี!

จะต้องมี!!!

หมอเทวดาหวามองซูจิ่นซี ท่าทีของเขาดูลังเลเหมือนต้องการพูดอันใดบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

ซูจิ่นซีสังเกตเห็นท่าทางเล็กน้อยนั้นได้อย่างรวดเร็ว

“หมอเทวดาหวา ท่านยังมีเรื่องอันใดที่ต้องการจะพูดใช่หรือไม่? ”

“พระชายา แท้จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องก็ไม่ทรงเชื่อว่าไม่สามารถถอนพิษหมุดกร่อนรักได้ ดังนั้นจึงปิดบังเรื่องหมุดกร่อนรักกับพระชายา ประการแรก เนื่องจากเกรงว่าหากพระชายาทราบเรื่องแล้วจะรู้สึกกังวลโดยเปล่าประโยชน์ ประการที่สองคือ ท่านอ๋องได้ทดลองค้นหาวิธีถอนพิษหมุดกร่อนรักหลายวิธีแล้ว โดยหวังว่าจะสามารถหาวิธีที่ลดอาการกำเริบของหมุดกร่อนรักก่อนหน้านี้ได้”

“ผลออกมาเป็นเช่นไร? ”

หากไม่มีผลอันใด หมอเทวดาหวาคงไม่พูดเรื่องนี้

หมอเทวดาหวาพยักหน้าเล็กน้อย

ซูจิ่นซีดีใจอย่างมาก “ใช้วิธีใด? ”

“เป็นกรรมวิธีเก่าแก่อย่างหนึ่งซึ่งมีบันทึกไว้ในตำราโบราณ เขียนไว้ว่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง ให้รับประทานยาวิเศษที่มีส่วนประกอบได้แก่ ตันซา จิ่งเทียน บัวหิมะโลหิต ไห่หลง และเพิ่มเลือดของสัตว์เทพลงไป จากนั้นจึงหลอมเป็นยาวิเศษ พร้อมกับเดินพลังภายในจิ่วเซียว ก็จะสามารถทำลายข้อห้ามหรือพันธะทุกอย่างในโลกได้”

ฟังแล้วดูเหมือนเรื่องลึกลับเหลือเชื่อ ทว่าซูจิ่นซีที่ศึกษาด้านการถอนพิษมาโดยเฉพาะ แม้จะเป็นคนละแขนงกัน แต่ก็มีบางส่วนที่เชื่อมโยงกัน นางยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ดูไม่น่าเชื่อถือนัก

“วิธีนี้ผ่านการทดสอบมาอย่างดีแล้วหรือ? จิ่งเทียนกับไห่หลง ยาสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถเขียนในเทียบยาเดียวกันได้ นับประสาอะไรกับการนำมาหลอมเป็นยาวิเศษ”

แม้ความสามารถของซูจิ่นซีจะยังไม่ถึงขั้นหลอมยา แต่นางก็รู้ว่าการหลอมยาวิเศษนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

“อีกอย่าง ยาวิเศษต้องหลอมถึงระดับใดจึงจะมีประสิทธิภาพ? ใช้เตาหลอมยาแบบใด? ในหนังสือโบราณเล่มนี้มีจดบันทึกไว้อย่างละเอียดหรือไม่? ”

ซูจิ่นซีถามทุกเรื่องอย่างละเอียด หมอเทวดาหวาตกตะลึงในทันที เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างละอายใจว่า“พระชายากล่าวได้ถูกต้อง กระหม่อมยังไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้จริงๆ ”

“ตำราโบราณเล่มนั้นอยู่ที่ใด? นำมาให้ข้าดูได้หรือไม่? ”

“ขณะกำลังค้นหาวิธีถอนพิษหมุดกร่อนรัก กระหม่อมได้พบตำราโบราณนี้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นท่านอ๋องก็เป็นผู้เก็บรักษา ตำราอาจอยู่ในจวนขอรับ”

หากอยู่ในจวนท่านอ๋องก็หาได้ไม่ยากนัก คงอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋น

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และถามหมอเทวดาหวาอีกครั้งว่า “บัวหิมะโลหิตและจิ่งเทียนเป็นยาสมุนไพรชนิดใด? ให้คนออกไปตามหาแล้วหรือยัง? ”

“ยาสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้หายากยิ่งนัก ท่านอ๋องส่งคนจำนวนมากออกตามหาแล้วก็ยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่ไปหาจอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่หุบเขาเทพโอสถ ท่านอ๋องได้ทำข้อตกลงกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเพื่อให้เขาปลูกยาสมุนไพรทั้งสองนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ กำหนดระยะเวลาส่งสมุนไพรคือปลายเดือนนี้พอดี อีกไม่กี่วันคงส่งตัวยามาพ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างละเอียดจนเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้พอสมควร

มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าถึงกล้ายั่วโมโหเยี่ยโยวเหยาตลอด แม้เยี่ยโยวเหยาจะเตือนจอมวายร้ายไป๋เฉ่าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ได้ลงมือสังหารเขา ทั้งเยี่ยโยวเหยายังพูดข่มขู่หลายครั้งว่าเห็นแก่จอมวายร้ายไป๋เฉ่า ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง

หมอเทวดาหวาไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดสิ่งใด ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นนางไม่พูด หมอเทวดาหวาจึงส่งเสียงเรียก “พระชายา! ”

ซูจิ่นซีได้สติกลับมา นางเรียกหัวหน้าองครักษ์เงาและออกคำสั่งให้เตรียมการกลับเมืองหลวงแคว้นจงหนิงในเช้าวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสั่งให้คนไปที่หุบเขาเทพโอสถ เร่งให้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าส่งสมุนไพรมา

ตอนที่ซูจิ่นซีพาเยี่ยโยวเหยากลับมาถึงจวนโยวอ๋อง ลวี่หลี แม่นมฮวา และคนอื่นๆ ต่างยืนรอที่หน้าประตูจวนอยู่ก่อนแล้ว ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้ลงจากรถม้า ทั้งยังสั่งให้คนขับรถม้าเข้าไปในจวนโยวอ๋องทันที หลังจากเข้ามาถึงเรือนชิงโยวแล้วจึงลงจากรถม้า และสั่งให้คนแบกเยี่ยโยวเหยาเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น ทั้งยังกำชับไม่ให้เหล่าองครักษ์แพร่งพรายเรื่องนี้

ก่อนหน้าที่เยี่ยโยวเหยาออกจากจวนโยวอ๋องยังดีๆ อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าตอนกลับมาจะถูกคนแบกกลับเข้ามาเช่นนี้

แม่นมฮวาเป็นกังวลใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา นางขมวดคิ้วเคร่งเครียด จับมือพ่อบ้านด้วยตัวสั่นเทา “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ”

แม่นมฮวาคอยปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยามาทั้งชีวิต เห็นเยี่ยโยวเหยาบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเห็นเขาบาดเจ็บหนักเช่นนี้มาก่อน

ในอดีต ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังรู้สึกตัว

ทว่าครั้งนี้เยี่ยโยวเหยากลับหมดสติ แม่นมฮวารู้สึกราวกับท้องฟ้ากำลังพังทลาย

“ไม่เป็นไร ท่านอ๋องมีสถานะสูงศักดิ์ ไร้ผู้ใดเปรียบ คนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครองอย่างแน่นอน” แม้พ่อบ้านจะพูดปลอบใจแม่นมฮวา ทว่าใบหน้าของเขากลับวิตกกังวล

ขณะนั้น ทั้งเรือนชิงโยวพลันปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึม

นอกจากซูจิ่นซีและหมอเทวดาหวาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นได้ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าสถานการณ์ในตำหนักฝูอวิ๋นเวลานี้เป็นอย่างไร

หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็เดินออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋น สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ซูจิ่นซี พวกเขาพยายามสังเกตท่าทางของซูจิ่นซีอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของเยี่ยโยวเหยา

ทว่าซูจิ่นซีเป็นคนเช่นไร? นางจะเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกในใจออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ได้อย่างไร?

“ลวี่หลี! ”

ซูจิ่นซีส่งเสียงเรียก ลวี่หลีจึงรีบตามซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ลวี่หลีก็เดินออกมา ทุกคนต่างพากันหันไปมองลวี่หลีอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีออกคำสั่งใดแก่ลวี่หลี นางจึงออกจากจวนโยวอ๋องไปอย่างลับๆ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ลวี่หลีก็กลับมา โดยมีฮูหยินปี้กับซูอวี้เดินตามมาด้านหลังด้วย พวกเขาต่างเดินตรงเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋น

“คุณหนู! ” ลวี่หลีส่งเสียงเรียก

ซูจิ่นซีเพิ่งเช็ดแขนให้เยี่ยโยวเหยาเสร็จ นางหันหน้าไปถามฮูหยินปี้กับซูอวี้ว่า “จิ่วหรงไม่ได้อยู่ที่หอโอสถหรือ? ”

“ทูลพระชายา ก่อนหน้านี้คุณชายจิ่วบอกว่าที่สำนักแพทย์เทียนอีมีเรื่องด่วนต้องกลับไป จนถึงเวลานี้ยังไม่กลับมาเลยเพคะ”

ยังไม่กลับมา?

ไม่รู้ว่าตอนนี้จิ่วหรงอยู่ที่สำนักแพทย์เทียนอีหรือไม่ หากไม่อยู่ การคิดจะตามตัวเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

“ฮูหยินปี้ ไม่ว่าอย่างไรต้องหาวิธีตามตัวจิ่วหรงให้พบและเชิญเขามาช่วยเหลือ อาการของเยี่ยโยวเหยาไม่สู้ดีอย่างมาก”

ฮูหยินปี้หันไปมองเยี่ยโยวเหยาที่นอนอยู่บนเตียง พลางขมวดคิ้วแน่น “พระชายา ให้หม่อมฉันลองดูได้หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นฮูหยินปี้แสดงวิชาแพทย์ จึงไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของฮูหยินปี้เป็นอย่างไร ทว่านางเป็นมารดาที่สามารถสั่งสอนวิชาแพทย์ให้กับซูอวี้จนเขาเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ วิชาความรู้ด้านการแพทย์ของนางคงไม่ด้อย

ซูจิ่นซีพยักหน้า

ฮูหยินปี้ทำความสะอาดมือ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง นางวางผ้าเช็ดหน้าลงบนแขนของเยี่ยโยวเหยาเพื่อตรวจชีพจร

หลังจากนั้นไม่นาน ฮูหยินปี้ก็ยกแขนซ้ายของเยี่ยโยวเหยามาตรวจดูบริเวณฝ่ามือ

จากการกระทำดังกล่าว ซูจิ่นซีจึงรู้ว่าวิชาแพทย์ของฮูหยินปี้ต้องไม่ด้อยไปกว่าหมอเทวดาหวาแน่นอน

“เป็นอย่างไร? ” ซูจิ่นซีไม่อาจปกปิดความรู้สึกตื่นเต้นไว้ได้

ฮูหยินปี้เก็บผ้าเช็ดหน้าและหันกลับมา “พระชายา นอกจากอาการบาดเจ็บภายในแล้ว ท่านอ๋องยังถูกวิชาอาคมที่เรียกว่าหมุดกร่อนรัก ตอนนี้พิษหมุดกร่อนรักได้กำเริบอย่างสมบูรณ์แล้ว เกรงว่า… การรักษาคงไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้เพคะ”